CD บทที่ 385 วัดพระทอง
ภูเขาเขียวขจี ต้นไผ่พลิ้วไหว ดอกไม้บานสะพรั่ง ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทุกสรรพสิ่งล้วนผสมผสานกันอย่างลงตัว
จ้าวหยู่และเหลียงฮวนกำลังเดินทางไปที่วัดพระทองด้วยรถตำรวจ
จ้าวหยู่ตั้งใจจะไปวัดพระทองเพื่อหาแนวทางการสืบคดีใหม่ ๆ เนื่องจากเขาขาดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ เขาจึงนำเหลียงฮวนมาเป็นที่ปรึกษาของเขา
“ใช้เวลาตั้งครึ่งวันกว่าจะมาถึงที่นี่!” เหลียงฮวนลงจากรถและสูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมกับยืดเส้นยืดสาย “ฉันรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกตั้งแต่เราเริ่มสืบสวนคดีนี้ เป็นเรื่องดีที่มีโอกาสเยี่ยมชมวัดในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้”
“คุณกำลังจะบอกว่าฉันทำเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ?” จ้าวหยู่กลอกตาไปทางเหลียงฮวน
“ไม่เอาน่า ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะขัดคอนายซะหน่อย แต่วัดพระทองเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น!” เหลียงฮวนกล่าว “วัดที่เรากำลังดูอยู่นั้นสร้างขึ้นในทศวรรษที่เจ็ดสิบ ประวัติศาสตร์ถูกทำลายไปนานแล้ว พวกนักโบราณคดีก็ต้องเคยมาที่นี่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดมาก่อน ถ้ามีอะไรจริง ๆ พวกเราก็ต้องร็ตั้งนานแล้ว นายคงไม่คิดว่าเทวรูปทองคำจะถูกซ่อนอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
"แน่นอนว่าไม่!" จ้าวหยู่ตอบ “อันที่จริง ฉันมาที่นี่เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มเติม ฉันตั้งใจจะไปหามืออาชีพหรือผู้ที่เชี่ยวชาญเพื่อถามเกี่ยวกับประวัติของวัดพระทองที่ไม่ได้บันทึกไว้ ฉันอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตำนานเทวรูปทองคำ และฉันคิดว่าผู้เชี่ยวชาญที่นี่น่าจะรู้มากกว่าที่คนทั่วไปรู้ ใครจะไปรู้ มันอาจจะเป็นประโยชน์กับคดีก็ได้”
“ก็ได้ ๆ ฉันยอมแล้ว” เหลียงฮวนส่ายหัว “วิธีการสอบสวนของนายเนี่ย มันผิดมนุษย์มนาจริง ๆ”
"โอ้ จริงสิ" จู่ ๆ จ้าวหยู่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้และถามว่า "ฉันได้ยินมาว่าฉินชานถูกเรียกว่า 'หลู่หย๋า' มาก่อน และที่ตั้งอย่างเป็นทางการของหลู่หย๋าไม่ได้อยู่ในฉินชาน แต่อยู่ในเขตหยุนหยาง นี่เป็นเรื่องจริงใช่มั้ย?”
"ใช่" เหลียงฮวนตอบอย่างมั่นใจ “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ยี่สิบกิโลเมตรทางตะวันตกของหยุนหยางมีโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมจำนวนมากที่ขุดค้นพบ และได้รับการรับรองแล้ว
หลู่ของหลู่หย๋า เป็นแม่น้ำที่ไหลพาดผ่านหลู่หย๋าในตอนนั้น ซึ่งก็คือแม่น้ำฉินในปัจจุบัน ส่วนเทือกเขาฉินชานทั้งหมดก่อตัวเป็นรูปพระจันทร์ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของชื่อ 'หลู่หย๋า'”
“ส่วนสาเหตุเป็นเปลี่ยนมาเป็นฉินซาน เป็นเพราะราชวงศ์ชิงมีประเทศฉินเป็นทหารรักษาการณ์ ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อ!”
“โอ้…” จ้าวหยู่งงงวย “คุณก็รอบรู้อยู่พอสมควรนะเนี่ย ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมวัดพระทองถึงอยู่ในภูเขาสูงฉินชาน แทนที่จะอยู่ในหยุนหยางล่ะ? มันไม่ไกลไปหน่อยเหรอ?”
"ฮิฮิ" เหลียงฮวนตอบว่า “ก็ใช่ แต่ไม่สำคัญว่าภูเขาจะสูงแค่ไหน ตราบใดที่ความศรัทธายังเต็มเปี่ยม ผู้คนก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อสักการะบูชา
แล้วใครว่าวัดต้องสร้างในเมือง? พุทธคุณเน้นความเงียบสงบ ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงต้องสร้างวัดพระทองในที่ห่างไกลผู้คน ดูทิวทัศน์ภูเขาที่งดงามนั่นสิ มันช่างสวยงามเหลือเกิน!”
“โอ้…” จ้าวหยู่พยักหน้าและจำบางอย่างได้ในทันใด “ใช่แล้ว ฉันบังเอิญได้แจกันเคลือบสีม่วงหลอมด้วยเตาเผาจวิ้นจากราชวงศ์หมิงมาเมื่อไม่กี่วันก่อน คุณตามหานักสะสมมาซื้อมันในตอนที่เรากลับไปทีสิ!”
“ในหัวของนายเนี่ยมีแต่เรื่องแปลก ๆ เต็มไปหมดเลยนะ” เหลียงฮวนไม่เชื่อเรื่องที่จ้าวหยู่พูดแทบจะในทนัที เขาส่ายหัวและหัวเราะ “เหอเหอเหอ จ้าวหยู่ นายอย่ามาอำฉันเล่นเลย แจกันเคลือบสีม่วง นายรู้ไหมว่ามันแพงแค่ไหน? แล้วนายไปได้มันมาจากไหน? มันราคาเท่าไหร่? ด้านล่างคงไม่ได้เขียนว่า 'นำเข้าไมโครเวฟ' ได้ใช่ไหม?”
"จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามสบาย แต่อย่าลืมหาให้ฉันด้วยล่ะ ฉันต้องขายมันออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะปล่อยมันไว้ที่บ้าน!”
“ก็ได้ ๆ ตกลงตามนั้น…” แม้ว่าเหลียงฮวนจะแสร้งทำเป็นเห็นด้วย แต่ในใจของเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สิ่งที่จ้าวหยู่พูดมานั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?
จากนั้น ทั้งสองก็คุยกันถึงคดีหญิงสาวในชุดโบราณ เหลียงฮวนกล่าวว่าจางจิงเฟิงใช้ความพยายามและความสามารถทั้งหมดของเขาในการหาข่าวเกี่ยวกับ ‘เกอเกอ’ เขาสงสัยว่า ‘เกอเกอ’ อาจซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเธอไว้ก่อนตายโดยเจตนาเพื่อไม่ให้ใครสามารถระบุศพได้
แต่ตามเงื่อนงำที่หลี่เหมิงฉีให้ไว้ พวกเขาเริ่มสืบหาจิ้งจอกเฒ่าที่เคยติดต่อกับเกอเกอในตอนนั้น แต่จิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้ได้ตายแล้วหรือหนีหายไปแล้ว ต้องใช้เวลาพอสมควรในการค้นหาพวกเขา
แต่ถึงจะมีเบาะแสเกี่ยวกับ ‘เกอเกอ’ น้อยมาก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีแนวทางการสืบสวน ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
ขณะที่พวกเขาพูด พวกเขาก็มาถึงทางเข้าหลักของวัดพระทอง แม้ว่าประตูที่ทาสีทองจะดูเรียบง่ายและขลัง แต่ทั้งหมดเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่
แม้ว่าสถานที่นี้จะเรียกว่า 'วัดพระทอง' แต่สิ่งดึงดูดใจที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่นี้คือสระบัวในวัด มีสระบัวหลากสี นอกจากจะเปิดให้เข้าชมแล้วยังดึงดูดผู้รักการถ่ายภาพจำนวนมากอีกด้วย
แถมในวัดก็มีป่าศิลาจารึกด้วย มันมีศิลาจารึกโบราณและพระไตยปิฎกทางพระพุทธศาสนามากมาย มันจึงดึงดูดผู้รักการประดิษฐ์ตัวอักษร และการแกะสลักให้มาชมเป็นจำนวนมาก
ตั๋วเข้าชมราคายี่สิบห้าหยวน แน่นอนว่าจ้าวหยู่และเหลียงฮวนไม่ต้องการซื้อตั๋ว ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงบัตรประจำตัวตำรวจออกมา และบอกกับคนขายตั๋วว่าพวกเขามาที่นั่นเพื่อสอบสวนคดีหนึ่ง และต้องการพบผู้รับผิดชอบสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
เมื่อคนขายตั๋วได้ยินว่าทั้งสองคนเป็นตำรวจ เขาก็มองพวกเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ เขาไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป แถมไม่ได้บอกว่าจะไปหาคนรับผิดชอบด้วย
จ้าวหยู่โกรธจัดและตะโกนใส่คนขายตั๋วว่า “มองอะไร!? เรากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่!? คุณกำลังพยายามขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่งั้นเหรอ!?”
“ไม่… ไม่…” จู่ ๆ คนขายตั๋วก็เลิกคิ้ว ชี้ไปที่สถานที่ท่องเที่ยวแล้วพูดว่า “เออคือ... เมื่อกี้นี้เพิ่งมีตำรวจเข้ามา ทำไมพวกคุณถึงมากันติด ๆ กันล่ะ?”
‘อะไรนะ!?’ จ้าวหยู่อุทานในหัวของเขา เขาตกตะลึงและตื่นตัวโดยสัญชาตญาณ ‘มีนักสืบคนอื่นมาที่นี่เพื่อสืบสวนด้วยงั้นเหรอ? พวกเขาเป็นใคร? หรือว่า! ฝูเจียนซิง เขาอีกแล้วเหรอ!’
“หมายความว่ายังไง? มันเกิดอะไรขึ้น?” เหลียงฮวนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ยังเร่งคนขายตั๋วว่า “เร็วเข้า บอกมาว่าใครคือผู้รับผิดชอบที่นี่?”
"เดี๋ยวก่อน!" จ้าวหยู่หยุดเหลียงฮวน และโบกมือไปที่คนขายตั๋ว จากนั้นเขาก็ลากเหลียงฮวนและเดินเข้าไปข้างในตัววัดอย่างเงียบ ๆ
ตามทิศทางที่คนขายตั๋วชี้ไป พวกเขาเห็นอย่างรวดเร็วว่ามีตำรวจสองนายในเครื่องแบบ พวกเขากำลังถามคำถามอยู่ที่ประตูทางเข้าแหล่งท่องเที่ยว
ในตอนแรก จ้าวหยู่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เมื่อเห็นเครื่องแบบของตำรวจก็ผ่อนคลาย ปรากฎว่าตำรวจสองคนสวมเครื่องแบบท้องถิ่น ดังนั้นมันควรจะเป็นแค่ตำรวจท้องที่ ไม่ใช่นักสืบ
‘ฟู่… เกือบจะก่อเรื่องวุ่นวายแล้วมั้ยล่ะ’
จ้าวหยู่เดินไปพร้อมกับเหลียงฮวน พวกเขาเห็นว่าตำรวจสองคนกำลังถือสมุดบันทึกและจดบันทึก และยืนอยู่นอกประตู มีอีกคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตและแว่นสายตากำลังตอบคำถามของพวกเขา
"สวัสดี!" จ้าวหยู่ถือบัตรตำรวจของเขาในขณะที่เขาทักทายพวกเขา
"ฮะ? นักสืบ? พวกคุณมาจากสถานีไหน?” ตำรวจท้องที่สองคนตกใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประหลาดใจกับการปรากฏตัวของจ้าวหยู่และเหลียงฮวน
“พวกเรามาจากสถานีหรงหยาง เรามาที่นี่เพื่อถามคำถามกับผู้รับผิดชอบที่นี่!” จ้าวหยู่ประกาศจุดประสงค์ของการมาเยือนของเขา
"ฉะฉันเป็นหัวหน้าของแหล่งท่องเที่ยว ฉันขอถามหน่อยได้ไหม…” แน่นอนว่าชายผู้นี้ดูประหลาดใจมากกว่าเดิม แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ถูกตำรวจท้องถิ่นตัดหน้า
"เกิดอะไรขึ้น?" ตำรวจมองไปที่จ้าวหยู่ด้วยความประหลาดใจและถามว่า “พี่ชาย ทำไมพวกเขาถึงเรียกนักสืบมาด้วย? แน่ใจนะว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
"ฮะ? ปัญหาใหญ่?" จ้าวหยู่รู้สึกสับสนและถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?"
"คือว่า..." ตำรวจอีกคนกล่าวว่า “เหตุที่เกิดขึ้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แล้วก็ไม่มีอะไรสูญหาย มันไม่น่าจะถือเป็นปัญหาใหญ่ จริงไหม? เอ๊ะหรือว่า...” ตำรวจทั้งสองก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ “พวกคุณมาที่นี่เพื่อสืบคดีอื่นใช่ไหม?”
"อะไร!? คดีอื่น!?“จ้าวหยู่รู้สึกสับสนมากและถามด้วยความสงสัยว่า”บอกฉันมา มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่อีกหรือเปล่า?”