ตอนที่ 136 หนังสือของลี่ลี่(ฟรี)
(ตอนเดียวนะครับวันนี้ แปลไม่ทันติดงานที่ออฟฟิตต้องขออภัยช่วงนี้ด้วย ไม่สามารถลงได้ต่อเนื่อง)
ป้อมเทียนเหมินนั้นอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 5 เมตร แต่ทางเข้านั้นยังไม่ถูกสร้างขึ้น
มู่เหลียงเลยใช้พลังของตัวเอง สร้างช่องขนาดใหญ่ 4 เมตรใต้ป้อมเทียนเหมิงขึ้นมา และสร้างบันไดหินยื่นลงไปที่พื้นดิน
แต่หากว่าเต่าทมิฬลุกขึ้นป้อมเทียนเหมินจะยกสูงขึ้นไปหลายสิบเมตร แต่หากว่าเต่าทมิฬนอนอยู่มันจะสูงจากพื้นเพียง 5 เมตรเท่านั้น
มู่เหลียงเดินลงมาถึงพื้นเป็นคนแรก และหันกลับขึ้นไปมองดูเต่าทมิฬ
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปมาเห็นคงคิดว่านี้เป็นเพียงแค่ภูเขาแน่นอน
ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะออกเดินทางเข้าไปในป่ารกร้างอยู่ครึ่งชั่วโมง
“แยกกันไปสองกลุ่ม และช่วยกันล่า”
มู่เหลียงบอกทหารของเขา
“หากเจอสิ่งผิดปกติหรืออันตรายใดก็ตาม ให้รีบส่งสัญญาณทันที”
“รับทราบ”
เว่ยกังกับซานหยางนำกำลังของตัวเองแยกออกไปสองกลุ่ม
“พวกเราก็ไปเถอะ เริ่มจากเก็บไม้ก่อน”
มู่เหลียงต้องการที่จะเก็บไม้ด้วยตัวเอง
การจะปล่อยให้ทหารมานั่งขนไม้ที่ละคนมันจะเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์
เว้นแต่ว่าวันหนึ่งมู่เหลียงจะมีคนมากพอที่จะตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมาอีกหน่วยได้
“มาเดี๋ยวฉันช่วย”
ลี่ลี่ยกเลิกการล่องหน
เธอมั่นใจในพละกำลังของเธออย่างมากในการยกของหนักๆ
“อย่าได้สร้างปัญหาเลย”
ลี่เยว่คว้าแขนของลี่ลี่เอาไว้ ก่อนที่เธอจะทันลงมือทำอะไร
ลี่ลี่มองด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งและพูดอย่างรำคาณ
“ทำไมต้องเป็นฉันทีสร้างปัญหาด้วย?”
“ก็มองดูด้วยตาของตัวเองสิ”
ลี่เยว่ตอบกลับไปพร้อมกับชี้นิ้วไปด้านหน้า
“มองอะไร?”
ลี่ลี่ก็หันมองไปทางที่ลี่เยว่ชี้
ทันทีที่ลี่ลี่เห็นปากเล็กๆ ของเธอก็ถึงกับอ้ากว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นเส้นใยแมงมุมนับพันเส้นปลิวว่อนไปหมด
มู่เหลียงพ่นใยออกมาและพันรอบต้นไม้เอาไว้ก่อนที่จะปล่อยมันลงกับพื้น
“ศิลาโลก:หนักเบา 20 ขั้น”
แล้วตอนนั้นเองก็มีคลื่นสะท้อนขึ้นมาจากพื้นดิน และทำให้ต้นไม้ที่ตายแล้วกระดอนขึ้นมาจากพื้น โดยมีใยแมงมุมพันเอาไว้เหมือนกับลูกโป่งสวรรค์
ภายใต้พลังหนักเบา 20 ขั้น ต้นไม้พวกนี้ก็ลอยขึ้นมาราวกับไร้น้ำหนัก ก่อนที่จะถูกกองเป็นพะเนินเทินทึก
“เข้าใจรึยังว่า ที่ว่าสร้างปัญหาคืออะไร เพราะเมื่อกี้มู่เหลียงกำลังจะดึงต้นไม้ออกมาจากพื้น”
ลี่เยว่ยิ้มและเอามือขึ้นมาตบไหล่ลี่ลี่อย่างเป็นกันเอง
ในตอนที่เธออยู่ในกลุ่มทะเลสาบพระจันทร์ เธอเคยเห็นมู่เหลียงทำแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในโรงเพาะชำของผู้อาวุโสใหญ่
“ขะ–เขา เขาเป็นผู้ตื่นขั้น 7 แน่ๆ”
ลี่ลี่พูดอย่างตะกุกตะกัก
“ใช่”
ลี่เยว่ตอบพร้อมกับหรี่ตาของเธอลง
ครั้งหนึ่งลี่เยว่เคยเห็นชายผู้มีพลังขั้น 6 มาแล้ว แต่เธอไม่เคยเห็นผู้มีพลังขั้น 7 ใช้พลังจริงๆ ออกมาเลย สักครั้ง ดังนั้นจึงยากมากที่จะเทียบได้ว่าพลังของมู่เหลียงคือขั้น 7 จริงๆ หรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ ผู้ตื่นขั้น 6 ไม่มีทางทำอะไรแบบที่มู่เหลียงทำได้แน่
“เอาจริงงั้นหรอ นี้ฉันกำลังยืนมองผู้มีพลังขั้น 7 อยู่งั้นหรอ”
ลี่ลี่พูดด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
“คิดว่าพลังของเขาก่อนหน้านี้คือทั้งหมดแล้ว”
ก่อนที่ลี่เยว่จะถามด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
“นี้ลี่ลี่ไม่คิดว่ามู่เหลียงเป็นผู้ตื่นขั้น 7 ตั้งแต่แรกบ้างเลยหรอ?”
“ก็นั่น…..”
ลี่ลี่หน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอายกับความคิดของเธอ
ในวันที่มู่เหลียงปรับปรุงเมืองทั้งเมือง เธอนั้นกำลังเสียขวัญกับภาพที่เห็น จนคิดอะไรไม่ออก
“รู้แล้วๆ”
ลี่เยว่เห็นว่าลี่ลี่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ด้วยท่าทางรู้สึกผิด ทำให้เธอรู้ทันทีว่าลี่ลี่จะพูดอะไร และหยุดเอาไว้ก่อน
วันนั้นเองเธอก็ตกใจไม่ใช่น้อย แต่ก็พอที่จะเรียกสติกลับมาได้ เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
“มันเกิดอะไรขึ้น”
เว่ยกังกับซานหยางที่พึ่งแยกทางไปได้ไม่นานก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติและสังเกตเห็นสิ่งนี้ได้
พวกเขาตื่นตกใจอย่างมากกับภาพของต้นไม้ที่ลอยอยู่ในอากาศ
“มันมาจากจุดที่ท่านเจ้าเมืองอยู่”
หนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น
เว่ยกังและซานหยางนั้นหันไปก็เห็นกองต้นไม้ กองเป็นพะเนินอยู่ในพื้นที่โล่ง
“รีบออกไปล่าสัตว์กันเถอะ”
เว่ยกังพูดอย่างจำใจ
“ไม่งั้น พวกสัตว์จะหนีไปหมด หากท่านเจ้าเมืองลงมือทำอะไรอีก”
ทางซานหยางเองก็คิดเช่นเดียวกัน ทั้งคู่ต้องรีบล่าสัตว์เพื่อสร้างผลงานให้มู่เหลียงเห็น
“ตามฉันมา”
เว่ยกังมุ่งหน้าไปทางขวาของป่า
“เร็วตามข้ามา”
ส่วนซายหยางไปทางซ้ายของป่า
มู่เหลียงสัมผัสได้ถึงทั้งสองที่แยกกันไปคนละทาง ก่อนที่จะพูดอย่างสบายๆ
“อีกสองสามกองก็เสร็จแล้ว”
ด้วยวิธีกการนี้ทำให้การเก็บรวบรวมไม้ได้ในเวลาอันสั้น
ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีกองต้นไม้ที่ตายแล้วสี่กองตั้งอยู่ในที่โล่ง
“รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันจะเอาทั้งหมดกลับขึ้นไปบนเมือง”
มู่เหลียงต้องการเอาไม้ขึ้นไปเก็บก่อน และเขาจะกลับลงมาล่าสัตว์อีกที
“เข้าใจแล้ว”
สองสาวขานรับอย่างเชื่อฟัง
พวกเธอทั้งสองแทบไม่ได้ช่วยอะไรมู่เหลียงเลย ได้แต่ยืนมองดูภาพอันน่าอัศจรรย์อย่างตื่นเต้น
“เอ้าล่ะ ขึ้นไปแล้วนะ”
มู่เหลียงกระทืบเท้าไปหนึ่งครั้ง
ก่อนที่พื้นจะไหวจนเกิดเป็นคลื่น เหมือนกับน้ำก่อนที่กองไม้ทั้งหมดจะไหลมารวมกัน และพุ่งตามตัวมู่เหลียงขึ้นไปด้านบน
“นี้มันเกินไปแล้ว”
ลี่ลี่มองมู่เหลียงหายไปในพริบตาจากที่ไกลๆ
เธอหยิบม้วนหนังออกมาจดบันทึกอีกครั้ง วันนี้เป็นวันที่เธอโชคดีอย่างมาก ที่ได้เห็นอะไรน่าอัศจรรย์มากมายไปหมด ได้เห็นผู้มีพลังขั้น 7 และวิธีการถอนไม้ที่น่าทึ่ง เพียงการสะบัดนิ้วครั้งเดียวก็ถอนต้นไม้ออกจากดินได้ทั้งหมด
ลี่ลี่เขียนแต่งเติมอยู่พักหน่อยก่อนที่จะสรุปทุกอย่างได้
“ที่เธอเขียนลงไปมันอาจจะเกินจริงไปก็ได้นะ”
ลี่เยว่มองดูลี่ลี่ด้วยท่าทางแปลกๆ
แต่ก็ไม่ได้เกินจริง เพราะยังไม่เคยมีใครเห็นพลังของผู้ตื่นขั้น 7 มาก่อน
ลี่ลี่เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็เก็บม้วนหนังสัตว์ก่อนที่จะพูดออกมา
“ไม่หรอก ฉันไม่เขียนลงไปทั้งหมด เวลาที่มีคนมาเห็นกับตาจริงๆ มันจะได้ดูน่าทึ่งมากกว่านี้”
“งั้นหรอ?”
ลี่เยว่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เพราะงั้นเรื่องราวการผจญภัยถึงสนุกยังไงล่ะ”
ลี่ลี่เอามือเท้าเอว ก่อนที่จะพูดอย่างภูมิใจ
“นักผจญภัยที่มีชื่อเสียง พวกเขามักจะไม่เขียนเรื่องราวเอาไว้ทั้งหมด แต่จะเขียนไว้เป็นปริศนาให้คนมาค้นหา หรือทิ้งข้อความลับเอาไว้ให้คนมาตามหาความจริง”
“งั้นหรอ ฉันเริ่มจะสนใจเรื่องที่เธอพูดแล้วสิ”
เสียงของมู่เหลียงดังขึ้นก่อนที่ร่างของเขาจะร่อนลงมาหยุดอยู่ตรงหน้าลี่ลี่
มู่เหลียงใช้พลังควบคุมน้ำหนักทำให้เขาสามารถร่อนลงมาจากกระดองของเต่าทมิฬได้อย่างรวดเร็ว
“เอ๋!?”
ลี่ลี่ถึงกับตกใจ และเสียภาพลักษณ์ของความมั่นใจเมื่อครู่ไปทันที และไปหลบอยู่หลังลี่เยว่ พร้อมกับแอบมองมู่เหลียงด้วยความสนใจ
“ลี่ลี่ กำลังเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวผจญภัยน่ะ”
ลี่เยว่พูดขึ้นอย่างสบายๆ
“การผจญภัยที่ไหน มันต้องเรียกว่าเป้าหมายสูงสุดของนักผจญภัย”
ลี่ลี่ลูบไปบนหน้าอกเพื่อระงับความตกใจ ระหว่างที่พูด
แต่แววตาของเธอเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก ก่อนที่จะพูดราวกับคลั่งไคล้ในสิ่งนี้
“นักผจญภัยทุกคนล้วนตามหาสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างโลกใต้พิภพในตำนาน ป่าหลังความตาย ตำนานป่ากลางทะเลทราย ตามหามังกร หรือค้นพบต้นไม้แห่งชีวิตในตำนาน…”
“เอาหล่ะๆ พอก่อน”
มู่เหลียงขัดจังหวะการพูดของลี่ลี่
เธอเล่นพูดเป้าหมายของนักผจญภัยเกินครึ่งโหลได้ในเวลาแป๊บเดียว แต่ละเรื่องนั้นก็ดูไม่น่ามีมูลความจริงเลยด้วยซ้ำ
“ยังมีอีกนะ อย่างเรื่องยักษ์สูงสิบเมตร..”
ลี่ลี่ยังไม่หยุด และพูดอย่างสนุกปาก
“มีพวกยักษ์ที่มีหัวเป็นสัตว์อสูร พวกนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่นักผจญภัยออกตามหา”
“แล้วสิ่งที่เธอพูดมามีหลักฐานที่มารึป่าว? หรือแค่คำบอกเล่า”
มู่เหลียงรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็ก
“ไม่ ฉันอ่านจากหนังสือบันทึกการผจญภัย”
ลี่ลี่ดูกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อโดนตั้งคำถาม
เธออยู่ในเมืองเซิงหยางมานาน และชอบอ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางของนักผจญภัยเพื่อฆ่าเวลา
บันทึกเหล่านั้นได้ไปจุดประกายความฝัน และไฟแห่งการเดินทางให้กับเธอ
“หนังสือ? พวกมันสามารถหาซื้อได้ในเมืองเซิงหยางงั้นหรอ?”
แววตาของมู่เหลียงดูมีประกายขึ้นมาทันที
เขาอยากเห็นสิ่งที่เรียกว่าหนังสือในโลกแห่งนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที
และเขาก็ลืมตรวจสอบเรื่องนี้ตอนอยู่ในเมืองสิบขั้น เพราะเขาเองก็รีบเหมือนกัน
เพราะอาจจะมีหนังสือหรือบันทึกอะไรสักอย่างเกี่ยวกับโลกแห่งนี้อยู่ก็ได้
“ไม่การจะซื้อหนังสือนั้นยากมาก มีเพียงตำหนักของเจ้าเมืองเท่านั้นที่มีหนังสือ”
ลี่ลี่ส่ายหัว
“แต่ก็พอมีที่ซื้อขายได้”
ลี่เยว่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แต่ต้องเอาหนังสือไปแลกหนังสือ”
“อย่างั้นหรอ”
มู่เหลียงพยักหน้าฟังอย่างสนใจ
เขาได้เรียนรู้ว่าหนังสือที่เขียนขึ้นมาสามารถเอาไปแลกกับหนังสือของผู้อื่นได้
“ไม่ต้องคิดมาก รอจนกว่าฉันจะเขียนเรื่องราวการผจญภัยเสร็จ”
ลี่ลี่พูดเบาๆ
“และตอนนั้นฉันจะคัดลอกทำหนังสือหลายเล่มออกมา”
ในโลกนี้หนังสือหากไม่ถูกนำมาคัดลอกก็ถูกขโมยหรือปล้นเอาไปถึงจะมีได้
ในสายตาของคนบางคนหนังสือมีค่ามากกว่าเนื้อสัตว์เป็นแสนชิ้น
นักเขียนที่มีชื่อเสียง มักจะไปตามเมืองใหญ่
เพื่อจะได้อาศัยอ่านบันทึกการผจญภัย และขายหนังสือของตัวเอง
“คัดลอกมันช้าไป”
มู่เหลียงส่ายหัว
การคัดลอกต้องเขียนทุกคำ หนังสือเล่มหนึ่งไม่สามารถคัดลอกได้ในเวลาวันเดียว
แต่มันได้ทำให้มู่เหลียงได้ความคิดใหม่ๆ หนังสืออาจจะเป็นแหล่งรายได้ของเขาอีกทาง
นิยายจอมยุทธ เรื่องเล่าพื้นบ้าน เรื่องซุบซิบของสาวๆ ที่ไม่เคยมีใครรู้
“แต่หากมีหลายคนช่วยกันก็สามารถคัดลอกได้ในวันเดียว”
ลี่ลี่เสนอความคิดที่ดูฉลาดเล็กน้อย
เธอคิดวิธีการนี้มานานแล้ว และขอให้ลี่เยว่กับโหย่วเฟ่ยช่วยเธอ
“การเขียนมันช้าไป”
มู่เหลียงพูดอย่างใจเย็น
“อีกสองสามวันเราก็จะถึงเมืองเซิงหยางแล้ว เรื่องราวผจญภัยของเธอคงเขียนเสร็จไม่ทัน”
“แต่…แต่ฉันเขียนมันจบแน่ในเวลาครึ่งปี และนั้นก็เร็วที่สุดแล้ว”
ลี่ลี่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“ในเวลานั้นเราค่อยไปเมืองใหญ่อื่นแล้ว แลกเปลี่ยนหนังสือก็ได้”
เธอสามารถเขียนเรื่องราวผจญภัยได้หนึ่งวันต่อหนึ่งหน้า และยังต้องมีเวลาขัดเกลาอีกอย่างน้อยก็ใช้เวลาสักหนึ่งปีถึงจะเสร็จสมบูรณ์ดี
“เอาเถอะ ค่อยว่ากัน ไปล่าสัตว์กันก่อน”
มู่เหลียงเดินนำหน้าออกไปพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
หนึ่งปีต่อจากนี้เขาอาจจะสร้างเครื่องพิมพ์แบบง่ายๆ ขึ้นมาแล้วก็ได้
“อะไร!! นี้ไม่เชื่อฉันเลยหรอ!”
ลี่ลี่เอาหัวมุดไปบนหน้าอกของลี่เยว่ด้วยท่าทางไม่พอใจ และกระทืบเท้าเล็กๆ ของเธอสองสามครั้ง
“ไม่เอาน่า มู่เหลียงเขาอาจจะมีความคิดอะไรอยู่ก็ได้”
ลี่เยว่ลูบหัวของลี่ลี่เบาๆ
“ฉันมั่นใจว่ามันจะเสร็จภายในหนึ่งปี! ไม่สิ ครึ่งปีด้วย!!”
ลี่ลี่พูดอย่างมั่นใจ คืนนี้เธอจะรีบกลับไปแต่งหนังสือเพิ่ม
เธอจะเขียนเรื่องราวผจญภัยให้เร็วที่สุด จนทำหนังสือได้สองสามเล่ม และจะทำให้มู่เหลียงตกใจหงายหลังให้จงได้
“จ้ะๆ”
ลี่เยว่มองลี่ลี่พร้อมกับตบหัวเธอเบาๆ สองสามครั้ง