ตอนที่ 456 กฎที่ไร้เหตุผลที่สุด
ตอนที่ 456 กฎที่ไร้เหตุผลที่สุด
เซี่ยเฟยหยิบผลน้ำค้างขาวขึ้นมากินอย่างต่อเนื่อง เพราะการต่อสู้ในก่อนหน้านี้ทำให้เขาสูญเสียพลังงานไปเยอะมาก แต่เมื่อระดับพลังของเขาเพิ่มมากขึ้นผลไม้พวกนี้ก็สามารถฟื้นฟูพลังงานให้กับเขาได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
แต่สำหรับขนอุยมันก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเติมเต็มพลังงานเลย เพราะเพียงแค่มันดูดซับพลังจากหัวใจจักรวาล มันก็สามารถฟื้นฟูพลังงานภายในร่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่พลังงานในหัวใจจักรวาลรุนแรงเกินไปสำหรับเซี่ยเฟย และถึงแม้ว่าเขาจะมีวิธีการดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาลแล้ว แต่วิธีการนั้นก็จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์แปลงพลังงานที่ซับซ้อน ซึ่งเขาก็ยังไม่มีวัตถุดิบและเวลามากพอที่จะไปจัดการเรื่องนี้
หลังจากที่ชายหนุ่มเคลื่อนที่ผ่านแท่นเคลื่อนย้ายมา เขาก็ได้มาปรากฏตัวในวิหารอันกว้างใหญ่ที่เงียบสนิท ซึ่งถ้าหากว่ามันได้มีเข็มตกกระทบลงบนพื้นเขาก็คงจะได้ยินเสียงเข็มนั้นได้อย่างชัดเจน
ทั่วทั้งวิหารถูกตั้งขึ้นบนเสาสีดำ 9 ต้นเรียงกันเป็นวงกลม โดยเสาแต่ละต้นมีความสูงมากกว่า 100 เมตร บนผนังหินถูกสลักไว้ด้วยลวดลายที่ซับซ้อน และบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ถูกตั้งอยู่บนพื้นที่อันมืดมิด
“อะไรกันเนี่ย?! จากนักสู้ชั้นยอด 100,000 คนมีคนรอดชีวิตมาจนถึงวิหารแค่คนเดียวเนี่ยนะ และคนคนนั้นยังเป็นมนุษย์ไม่ใช่เซิร์ก?” เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากระยะไกล และเมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงแล้วเจ้าของเสียงนี้ก็น่าจะเป็นผู้หญิงอารมณ์ร้าย
“มนุษย์คนนั้นมีสัญลักษณ์ของนายท่าน ดังนั้นถึงเขาจะมาอยู่ที่นี่แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เสียงของชายอีกคนหนึ่งดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
“เทพเจ้าดำคือเจ้านายของนายไม่ใช่ของฉันแล้วทำไมฉันจะต้องไปดูแลเขาด้วย อีกอย่างนี่ก็คือของขวัญที่เตรียมเอาไว้สำหรับเผ่าพันธุ์เซิร์ก แล้วมันก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องมอบมันให้กับมนุษย์”
“เอ่อ…”
เซี่ยเฟยแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่ด้วยความสนใจ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถที่จะระบุทิศทางของเสียงทั้งสองคนนั้นได้
ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกจากวิหารเพื่อไปยังถนนด้านนอก ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นนกแก้วตัวใหญ่ 2 ตัวบินเข้ามาโดยตัวหนึ่งเป็นสีดำและอีกตัวเป็นสีขาว และพวกมันทั้งคู่ต่างก็มีความสูงมากกว่า 2 เมตร ความยาวของปีกทั้งสองข้างรวมกันไม่น้อยกว่า 10 เมตรและบนหัวของพวกมันก็มีหงอนที่มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ
“เจ้ามนุษย์ไร้มารยาท! ไม่รู้หรือไงว่าหลังจากเข้ามาในวิหารจะต้องทำความเคารพเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำก่อน ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมเทพเจ้าดำถึงได้มอบกฎแห่งความโกลาหลให้กับนาย” นกแก้วขาวกล่าวพร้อมกับร่อนลงมาบนพื้น
“เธอพูดมากเปลี่ยนไปแล้ว” นกสีดำกล่าวพร้อมกับใช้ปีกของมันสะกิดนกตัวสีขาวเบา ๆ
“อ๊ะ ฉันคงไม่ได้เผลอพูดอะไรเกี่ยวกับกฎแห่งความโกลาหลออกไปใช่ไหม?” นกขาวรีบเอาปีกมาปิดปากด้วยความตกใจ
นกดำทำได้เพียงแต่ถอนหายใจราวกับว่าเขาไม่สามารถแก้ไขนิสัยของนกขาวในเรื่องนี้ได้จริง ๆ
จากนั้นพวกมันทั้งคู่ก็ก้มศีรษะทำความเคารพเซี่ยเฟย ซึ่งท่าทางของมันก็ดูมีความเคารพแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ ๆ นกทั้งสองตัวก็เปลี่ยนท่าทางไปจากเดิมอย่างกะทันหัน เขาจึงรีบยื่นมือออกไปพยุงนกทั้งสองตัวนั้นพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่สุภาพ
“นี่พวกคุณทำอะไร? รีบลุกขึ้นเร็วเข้า”
“อะไรกันมนุษย์! ฉันไม่ได้ทำความเคารพนายสักหน่อย แต่เป็นท่านมารขาวที่อยู่บนไหล่นายต่างหาก” นกขาวกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เมื่อได้เห็นว่าเซี่ยเฟยกำลังเข้าใจท่าทางของพวกมันผิดไป
แต่ก่อนที่นกขาวจะทันได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นนกดำที่อยู่ข้าง ๆ ก็สะกิดเตือนนกขาวขึ้นมาเสียก่อน นกขาวจึงมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง ก่อนที่มันจะรีบนำปีกทั้งสองข้างมาปิดปากอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เข้าใจแล้วว่านกทั้งสองตัวนี้กำลังทำความเคารพขนอุยอยู่ต่างหาก ซึ่งเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนไหล่ของเขาก็กำลังมองไปด้านหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม และมันก็พยายามยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะเขาไม่รู้ว่าเจ้านี้มันคือตัวอะไรกันแน่ มันถึงทำให้แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อมันออกมาแบบนี้
“ท่านมารขาวฉันชื่อ ‘แบล็คกี้’ เป็นผู้พิทักษ์ที่เทพเจ้าดำทิ้งเอาไว้ที่นี่ ส่วนเธอคนนี้ชื่อ ‘ไวท์ตี้’ เป็นผู้พิทักษ์จากเทพเจ้าขาว หน้าที่ของพวกเราคือการดูแลพื้นที่แห่งนี้ ดังนั้นท่านมารขาวโปรดอย่าถือสาถ้าหากว่าพวกเราทำอะไรผิดพลาดไป” นกดำกล่าวขึ้นมาด้วยความเคารพ
ขนอุยพยักหน้ารับเล็กน้อยเพื่อสื่อว่ามันไม่ได้ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“นายคือมารขาวงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับมองไปยังขนอุย
เจ้าตัวน้อยเริ่มแสดงท่าทางออดอ้อนเซี่ยเฟยอีกครั้งในทันทีลบภาพลักษณ์ที่มันเคยทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้านกขาวดำไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งท่าทางของมันก็แปรเปลี่ยนไปยังรวดเร็วมากจนถึงกับทำให้แบล็คกี้แล้วไวท์ตี้พูดอะไรไม่ออก
“ชื่อมารขาวมันฟังดูไม่ค่อยดีเลย นายชื่อขนอุยเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าว
ขนอุยพยักหน้ารับและยังคงใช้ตัวของมันถูกับใบหน้าของชายหนุ่มเพื่อออดอ้อนเซี่ยเฟยต่อไป
เหตุการณ์นี้ทำให้แบล็คกี้รู้สึกตกตะลึง และมันก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามารขาวผู้ยิ่งใหญ่จะเชื่อฟังมนุษย์ได้มากถึงขนาดนี้
“มนุษย์นี่นายบ้าไปแล้วหรือยังไงถึงได้ตั้งชื่อท่านมารขาวว่าขนอุย” ไวท์ตี้กล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
แม้ว่าเสียงของไวท์ตี้จะไม่ดังมากนักแต่เนื่องจากวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ มันจึงทำให้เสียงของเธอดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ขนอุยจึงหันไปมองหน้าเธออย่างไม่พอใจจนทำให้ไวท์ตี้ต้องรีบก้มหัวลงไปไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาขนอุยอีกเลย
แบล็คกี้ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า เพราะท้ายที่สุดเขาก็อยู่กับไวท์ตี้มาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เขาจึงรู้ดีว่านกขาวตัวนี้เป็นพวกปากไวมากแค่ไหน และเพราะการชอบพูดอะไรออกมาก่อนที่จะคิดมันจึงทำให้ไวท์ตี้มักที่จะสร้างปัญหาขึ้นมาอยู่เสมอ
“ตามกฎแล้วเมื่อใครมาถึงวิหารจะต้องทำความเคารพท่านเทพเจ้าขาวกับท่านเทพเจ้าดำเสียก่อน เชิญคุณตามผมมาทางนี้ได้เลย” แบล็คกี้กล่าวพร้อมกับแสดงท่าทางเชื้อเชิญเซี่ยเฟยให้เดินไปยังประตูในวิหารห้องหนึ่ง
ห้อง ๆ นี้มีโครงสร้างเป็นวงกลมที่มีความสูงขึ้นไปมากกว่า 300 เมตร โดยมีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ 2 รูป โดยรูปหนึ่งเป็นรูปปั้นคนสีดำขณะที่อีกรูปหนึ่งนั้นเป็นรูปปั้นคนสีขาว
ทั้งคู่มีความสูงเท่า ๆ กันและพวกเขาก็ได้สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ นอกจากนี้พวกเขายังสวมเสื้อคลุมปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างมิดชิด จนทำให้เซี่ยเฟยไม่สามารถที่จะระบุรูปลักษณ์ที่อยู่หลังเสื้อคลุมดำได้เลย
เมื่อการทำความเคารพคือธรรมเนียมปฏิบัติ เซี่ยเฟยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องทำความเคารพรูปปั้นทั้งสอง ซึ่งแบล็คกี้ก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ ขณะที่ท่าทางของไวท์ตี้ยังคงหงุดหงิดอยู่เช่นเดิม
หลังจากชายหนุ่มได้แสดงความเคารพต่อรูปปั้นเทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำแล้ว นกทั้งสองก็พาเซี่ยเฟยกลับไปยังห้องโถงในก่อนหน้านี้ โดยแบล็คกี้ได้นำแก้วน้ำมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มายื่นให้เซี่ยเฟยหยิบไปดื่มอย่างสดชื่น
“คุณแบล็คกี้กฎแห่งความโกลาหลที่คุณไวท์ตี้พูดถึงเมื่อกี้คืออะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
แบล็คกี้เหลือบสายตามองไปทางไวท์ตี้พร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มกล่าวขึ้นมาว่า
“นายท่านจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ ๆ ที่มอบสัญลักษณ์นี้ให้กับคุณโดยไม่อธิบายอะไร แต่ในเมื่อไวท์ตี้หลุดปากพูดออกไปแล้วฉันก็จะพูดให้ฟังว่ามันคืออะไรก็แล้วกัน แต่คุณควรรู้ไว้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องนี้คือเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นฉันจะพูดแค่ในสิ่งที่ฉันสมควรพูดและจะไม่พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดอย่างเด็ดขาดแม้ว่าคุณจะพยายามซักถามฉันมากแค่ไหนก็ตาม”
“แน่นอนว่าผมย่อมไม่ถามอะไรที่ไม่ควรทำอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สัญลักษณ์นี้คือสัญลักษณ์ของกฎแห่งความโกลาหล และมันก็เป็นหนึ่งในกฎลึกลับที่มีอยู่ในจักรวาล” แบล็คกี้กล่าวพร้อมกับชี้ไปยังรอยสักบนแขนซ้ายของเซี่ยเฟย จากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายต่อไปว่า
“ทุกสิ่งในจักรวาลจะถูกแบ่งออกเป็นหยินและหยาง แต่พลังของกฎแห่งความโกลาหลคือการย้อนกลับหยินหยางจนก่อให้เกิดความวุ่นวาย และนั่นก็คือเหตุผลที่มันถูกเรียกว่ากฎแห่งความโกลาหล”
“ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น ฉันเกิดมาพร้อมกับขนสีดำ ส่วนไวท์ตี้เกิดมาพร้อมกับขนสีขาว แต่ถ้าหากว่าคุณเชี่ยวชาญกฎแห่งความโกลาหลคุณก็จะสามารถเปลี่ยนให้ฉันกลายเป็นนกตัวสีขาวได้ ขณะที่คุณก็สามารถจะเปลี่ยนไวท์ตี้ให้กลายเป็นนกตัวสีดำได้ด้วยเช่นเดียวกัน”
“เปลี่ยนขาวเป็นดำงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานด้วยความตกตะลึง
“กฎแห่งความโกลาหลเป็นกฎที่ไร้เหตุผลและสามารถเปลี่ยนขาวเป็นดำได้อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ” แบล็คกี้กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ท่านเทพเจ้าดำน่าจะเห็นว่านายคือพวกไม่มีเหตุผลและพร้อมจะฝ่าฝืนกฎทุกอย่างของจักรวาลนี้ ดังนั้นเขาถึงมอบกฎที่ไร้เหตุผลที่สุดในจักรวาลให้กับนาย ฉันหวังว่าวันหนึ่งนายจะทำความเข้าใจกฎแห่งความโกลาหลอย่างลึกซึ้ง และกลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเหมือนกับท่านเทพด้วยนะ” ไวท์ตี้กล่าวหลังจากที่มันนิ่งเงียบมาเป็นเวลานาน
“เอ่อ… ฉันดูป่าเถื่อนขนาดนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคาดหวังให้เติบโตกลายเป็นผู้ใช้กฎที่ไร้เหตุผล
“นกสองตัวนี้พูดได้ดีจริง ๆ นายเป็นพวกที่ไม่ชอบทำตามกฎเหมือนที่พวกเขาว่าเอาไว้เลย” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้าซ้ำ ๆ อย่างเห็นด้วย
เซี่ยเฟยมองไปทางอันธด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะเลิกให้ความสนใจวิญญาณนักฆ่าคนนี้
“สิ่งที่ไวท์ตี้พูดไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ในจักรวาลมีกฎที่ควบคุมสิ่งต่าง ๆ อยู่อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการถือกำเนิดของชีวิต, การที่ชีวิตต้องดับสิ้นลง, การที่ดาวเคราะห์ถือกำเนิดขึ้นมา, การที่หลุมดำดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไป ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากกฎของจักรวาล”
“สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในจักรวาลต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องปฏิบัติตามกฎโดยไม่เคยรู้เลยว่าแท้จริงแล้วกฎเหล่านี้มันมีหน้าที่เพื่ออะไรกันแน่”
“แน่นอนว่าความหมายของกฎแห่งความโกลาหลคือการฝ่าฝืนกฎของธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จึงคิดว่ากฎแห่งความโกลาหลคือกฎของคนที่ไร้เหตุผล แต่ในความเป็นจริงพวกเขาก็ไม่เคยมองอีกมุมหนึ่งว่าในเมื่อกฎข้อต่าง ๆ ถูกบัญญัติขึ้นมาได้แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถที่จะฝ่าฝืนกฎพวกนั้นได้”
“กฏแห่งความโกลาหลจึงเป็นเหมือนกบฏต่อกฎต่าง ๆ ในจักรวาล และมันก็เป็นตัวแทนของกฎที่ดื้อรั้นซึ่งจะไม่ยอมเดินตามเส้นทางที่คนอื่นได้บัญญัติเอาไว้”
“แม้ว่าภายนอกกฏแห่งความโกลาหลจะดูเหมือนขัดกับกฎดั้งเดิมของจักรวาล แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือกฎที่สำคัญอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แล้วมันก็ทำให้กฎแห่งความโกลาหลกลายเป็นกฎที่มีความสัมพันธ์กับกฎดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง” แบล็คกี้กล่าวอธิบายเนื่องจากกลัวว่าเซี่ยเฟยจะตีความกฎแห่งความโกลาหลผิดไปจากความจริง
เซี่ยเฟยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและเขาก็เป็นคนที่ชอบแหกกฎของคนอื่นมาโดยตลอดอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือการที่เขาเลือกที่จะเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดของค่ายฝึกจัสทิสลีก ขณะที่คนอื่นเลือกทำการฝึกฝนในศูนย์ฝึกอย่างบ้าคลั่ง นี่จึงเป็นตัวอย่างว่าเขาชอบที่จะเลือกเดินบนเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร
แม้ว่าการเดินบนเส้นทางใหม่จะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แต่มันก็ทำให้ชายหนุ่มได้พบกับวิวทิวทัศน์ที่คนอื่นไม่เคยเห็น และมันก็คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ผมเคยได้ยินแค่ว่ากฎแห่งจักรวาลถูกแบ่งออกเป็นกฎแห่งมิติ, กฎแห่งสสารและกฎแห่งเวลา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเรื่องกฎแห่งความโกลาหล ผมขอขอบคุณคุณมากที่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง” เซี่ยเฟยกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“คุณยังไม่ได้สัมผัสถึงดินแดนของผู้ใช้กฎ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะยังไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เอาล่ะนี่คือทุกอย่างที่ฉันสามารถเล่าให้คุณฟังได้ ส่วนที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าคุณจะสามารถทำความเข้าใจกฎแห่งความโกลาหลได้มากน้อยแค่ไหน” แบล็คกี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
***************