MDB ตอนที่ 329 สมาคมผู้ประเมินมาร
“เหลียงเหล่าซาน เจ้าไปทำอะไรมาถึงมีสภาพเยี่ยงนี้?” ผู้อาวุโสโจวถาม มือของเขาขยับเพื่อหยิบเม็ดยาซึ่งเขาเอามาป้อนให้กับเหลียงเหล่าซาน
เม็ดยาของผู้อาวุโสโจวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดของมันใหญ่กว่าเม็ดยาทั่วไป และดูเหมือนจะมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน
หลังจากกินเม็ดยา เหลียงเหล่าซานก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ตอนนี้เขาสามารถนั่งได้ด้วยตัวเองแล้ว
“ผู้อาวุโสโจว ข้าถูกเล่นงานตลบหลัง ในฐานะสมาชิกของสมาคมผู้ประเมินมาร ท่านไม่ควรปล่อยให้ข้าถูกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวนะขอรับ” เหลียงเหล่าซานพูดพลางกัดฟัน หลังจากได้รับเรี่ยวแรงกลับคืนมา
"พูดช้า ๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แล้วสัตว์เลี้ยงของเจ้าล่ะ? มันอยู่ที่ไหน?” ผู้อาวุโสโจวถาม
“มันตายแล้ว ข้าโชคดีที่ใช้คาถาสับเปลี่ยนเพื่อให้สัตว์เลี้ยงของข้ารับเปลวไฟประหลาดเหล่านั้นแทนข้า ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าข้าคงไม่รอดกลับมาที่นี่”
ราวกับว่าเขาเพิ่งนึกถึงประสบการณ์อันน่าสยดสยอง ใบหน้าของเหลียงเหล่าซานปรากฏให้เห็นถึงความกลัวและความหวาดวิตก
ต่อจากนั้น เหลียงเหล่าซานเริ่มอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่นานมานี้ ข้าเจอสัตว์วิเศษสายเลือดสิงโตตัวหนึ่งในระหว่างที่ข้าเดินทางผ่านเมืองเมเปิ้ล ข้าไม่ได้วางแผนที่จะทำอะไรและแค่อยากจะสอบถามเกี่ยวกับสัตว์วิเศษตัวนี้เท่านั้น แต่เจ้าของสิงโตกลับหยิ่งยโสอย่างน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นข้าจึงปล่อยแมลงสัญญาเลือดบนสิงโตโดยที่เขาไม่ทันสังเกต…”
ผู้อาวุโสโจวพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากคำอธิบายของเหลียงเหล่าซาน
“พูดตามตรง คนทั่วไปไม่น่าจะสังเกตเห็นแมลงสัญญาเลือดของเราได้ และเจ้าเกือบจะสามารถควบคุมสิงโตตัวนั้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทุกอย่างล้มเหลวในช่วงเวลาสำคัญใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสโจวถาม
เหลียงเหล่าซานพยักหน้า
“ถูกต้องขอรับ เมื่อเช้านี้ ข้ารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของแมลงสัญญาเลือด ดังนั้นข้าจึงร่ายคาถา ข้าแค่อยากจะดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น
แต่ยังไม่ทันไร ไฟก็เริ่มลุกไหม้ ข้าโชคดีที่ได้ใช้เลือดของสัตว์เลี้ยงของข้าเพื่อร่ายคาถาตรวจสอบ เปลวไฟเหล่านั้นเริ่มแผดเผาสัตว์เลี้ยงของข้าแทน และข้าก็ดับมันไม่ได้ด้วยซ้ำ มันคงแย่มากหากข้าโดนเปลวไฟนั่นแผดเผาเข้าโดยตรง”
หลังจากนั้น เหลียงเหล่าซานคำนับให้ผู้อาวุโสโจวพร้อมกับกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสโจวขอรับ ข้าแค่กลัวว่าจะมีคนจงใจวางแผนต่อต้านเรา หลายปีผ่านไปก็ไม่มีใครทำลายแมลงสัญญาเลือดของเราได้”
“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ต้องมียอดฝีมือที่ทรงพลังเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ผู้อาวุโสโจวยื่นแขนไปตบไหล่ของเหลียงเหล่าซาน
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันรู้ตัว ผู้อาวุโสโจวก็กระทุ้งจุดฝังเข็มของเหลียงเหล่าซานสามจุดอย่างช่ำชอง การแสดงออกของฝ่ายหลังสะดุดเมื่อเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกครอบงำด้วยความร้อนที่ทนไม่ได้
“อดทนไว้ มีเปลวไฟไหลเวียนในร่างกายของเจ้า ถ้าเราปล่อยมันไว้ เจ้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันมะรืน”
คำพูดของผู้อาวุโสโจวทำให้เหลียงเหล่าซานตกใจ และเขาก็กัดฟันทันทีเพื่อทนต่อความเจ็บปวด
ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสโจวหยิบมีดขนาดเล็กออกมาเพื่อกรีดบาดแผลระหว่างคิ้วของเหลียงเหล่าซาน จากนั้นเขาใช้คาถาเพื่อดึงเลือดออกมา
หยดเลือดกระเซ็นออกมา มันปะทุขึ้นพร้อมกับเผาไหม้ในอากาศ ความร้อนที่แผดเผาทำให้ผู้อาวุโสโจวกระโดดถอยหลังด้วยความตื่นตัว แม้ผู้อาวุโสจะไม่เป็นอะไร แต่ไม่ใช่กับเหลียงเหล่าซาน คิ้วและหนวดของเขาถูกไฟไหม้
“ช่างเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้” ผู้อาวุโสโจวอ้าปากค้างขณะที่เหลียงเหล่าซานถูใบหน้าด้วยความเจ็บปวด
ด้วยเหตุนี้ ใบหน้าของเหลียงเหล่าซานจึงเสียโฉม เดิมทีเขามีรูปร่างหน้าตาที่สง่างาม เหมือนกับนักวิชาการที่เก่งกาจ แต่เมื่อคิ้วและหนวดของเขาหายไป สิ่งที่เหลือไว้จากใบหน้าโล้นของเขาคือใบหน้าที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว
ขณะที่เหลียงเหล่าซานกำลังร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ผู้อาวุโสโจวกล่าวว่า
“เจ้าจะร้องไห้เสียใจไปเพื่ออะไร? เจ้าถือว่าโชคดีมากที่กลับมาให้ข้าดับไฟได้ทันเวลา หากเจ้ามาช้าแม้แต่นิดเดียว แม้ฮัวโต๋จะกลับชาติมาเกิดก็คงไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
จากนั้น เมื่อเห็นท่าทางอาฆาตของเหลียงเหล่าซาน ผู้อาวุโสโจวก็เตือนว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการแก้แค้น แต่ว่ามันต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม อย่างที่เจ้าพูด คู่ต่อสู้ของเราเป็นยอดฝีมือ แม้แต่คาถาเปลวเพลิงนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้อาวุโสโจวพยายามแนะนำให้เหลียงเหล่าซานยอมถอยและถอดใจไปเสีย
สมาคมผู้ประเมินมารของพวกเขาทำงานทุกอย่างอย่างรอบคอบ และจะทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจโดยไม่สนใจว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย นั่นจึงทำให้พวกเขาเป็นที่น่ารังเกียจของพวกมีคุณธรรมสูงส่ง
พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นคนที่พวกเขาสามารถยั่วยุได้ พวกเขาก็จะไม่แสดงความเมตตา ในทางกลับกัน ถ้าพวกเขาเจอคนที่ไม่สามารถยั่วยุได้ พวกเขาจะทำตัวเยี่ยงนักปราชญ์ที่รู้ว่าเวลาไหนควรยอมจำนนและถอยหนี
ไม่อย่างงั้น พวกเขาคงอยู่ไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
“เจ้าควรอยู่บนเกาะและพักฟื้นสักระยะ ตอนนี้สัตว์เลี้ยงของเจ้าตายไปแล้ว แต่โชคดีที่พวกเราผู้ประเมินมารสามารถทำพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้ทันที เจ้าเข้าไปเลือกมาสักตัวในคอกสัตว์วิเศษในสวนหลังบ้าน และฟื้นพลังของเจ้าซะ อีกสองวันเรามีธุระสำคัญในเมืองรี้ด”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสโจวเจือด้วยความเข้มงวด
เหลียงเหล่าซานเข้าใจถึงท่าทีของผู้อาวุโสโจวดีพอที่จะรู้ว่าชายผู้นี้จะต้องทำให้เขาตกนรกอย่างแน่นอน หากเขาเลือกที่จะหาทางแก้แค้นในเมืองเมเปิ้ลในตอนนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะกลืนความโกรธลงไปไม่ได้ แต่ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เขาก็ต้องทำมัน
มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะเลวร้ายและอาจถึงแก่ชีวิตได้
“ไม่เป็นไร ถึงข้าจะไม่สามารถแก้แค้นได้ในตอนนี้ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถแก้แค้นได้ในอนาคต ไอ้ระยำนั่นเป็นใคร? รอก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะไปหาเจ้า” เหลียงเหล่าซานบ่นพึมพำ
“ว่าแต่ผู้อาวุโสโจว ธุระสำคัญในเมืองรี้ด มันคืออะไรหรือขอรับ?” เหลียงเหล่าซานถาม
ผู้อาวุโสโจวหัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดเพียงสามคำ
“ตระกูลเฉียว!”
...
ผู้คุมจางมาถึงเมืองรี้ดในช่วงบ่าย เขาไม่เคยหยุดพักระหว่างการเดินทางเลย เพราะหลังจากที่สิงโตภูเขาของเขาวิวัฒนาการ แม้กระทั่งร่างกายของเขาก็ดีขึ้น ดังนั้น แม้จะเป็นการเดินทางที่เร่งด่วน แต่เขาไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เขากลับมีความสุขและตื่นเต้นแทน เพราะหลังจากได้รับสัตว์วิเศษระดับสาม ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เหตุผลเดียวที่เขารีบกลับมาคือเพื่ออธิบายความผิดพลาดในการจัดส่งให้ตระกูลเฉียวรับทราบ เนื่องจากเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ประเมินหลิน ผู้คุมจางจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น เขาจึงไม่แวะสำนักงานของกองคาราวานหรือบ้านของเขาเลย ผู้คุมจางมุ่งหน้าตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉียวโดยตรง
ตระกูลเฉียวนั้นโดดเด่นที่สุดในเมืองรี้ด
พวกเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เพราะตระกูลนี้เป็นพ่อค้ามาสามชั่วอายุคน ทุกคนในเมืองรู้จักตระกูลนี้ ในขณะที่หลายคนพึ่งพาธุรกิจการค้าของพวกเขาเพื่อหาเลี้ยงชีพ
อย่างไรก็ตาม นั่นตอนนี้กำลังจะมีพายุพัดเข้ามาหาตระกูลเฉียว
ผู้อาวุโสปัจจุบันของตระกูลเฉียว คือเฉียวเฟยกง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนประเภทที่หัวก้าวหน้า พร้อมที่จะบุกเบิกตลาดใหม่และขยายธุรกิจของตระกูล แต่เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรได้ค่อนข้างดี เขาสามารถรักษาธุรกิจของตระกูลเฉียวไว้ได้หลายปี ผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองและธุรกิจที่เฟื่องฟูของตระกูลเฉียว
อย่างไรก็ตาม ทุกตระกูลที่มีชื่อเสียงต่างก็ต้องประสบกับความทุกข์ยากบางอย่างไม่มากก็น้อย
และเฉียวเฟยกงก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในห้องโถงด้านใน เฉียวเฟยกงเงียบขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองภาพบรรพบุรุษของเขาที่แขวนอยู่บนผนัง
ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือสมาชิกหลักของตระกูลเฉียว พวกเขารวมถึงน้องชายของเขา ลุงของเขา และคนอื่น ๆ ที่เหลือคือเยาวชน คนรุ่นต่อไปในอนาคตของตระกูล
“ตอนนี้พายุกำลังก่อตัวขึ้นมาแล้ว...” เฉียวเฟยกงพึมพำขึ้นมา
อีกฝ่ายดูกังวลพอ ๆ กัน
เมื่อไม่นานมานี้ ตระกูลเฉียวถูกโจรพยายามบุกปล้นคฤหาสน์ของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่ตระกูลใหญ่จะดึงดูดพวกหัวขโมย แต่คราวนี้ต่างออกไป
คนเหล่านี้ไม่ใช่แค่หัวขโมยธรรมดา
พวกเขามุ่งเป้าไปที่แกนกลางของตระกูลเฉียวซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามซึ่งที่นั่นเป็นบ้านของบรรพบุรุษของพวกเขา
สมาชิกตระกูลเฉียวต่างทราบดีว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเคยอยู่ในบ้านหลังเล็กหลังนั้น ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของคฤหาสน์ของตระกูล คฤหาสน์หลังใหญ่ที่พวกเขามีทุกวันนี้ มันได้เริ่มต้นจากบ้านไม้เล็ก ๆ หลังนี้