ตอนที่แล้วบทที่ 17 การนอนหลับของเสวี่ยถวนในวันฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 แข่งขันทักษะการทำอาหาร (ต้น)

บทที่ 18 ชาร์จพลัง


เรื่องการถูกพลิกป้ายนี้ ตอนแรกๆ ฉินชิงให้ความสำคัญมาก ถึงอย่างไรก็เป็นการพบหน้าเพื่อสร้างสัมพันธ์ ต้องทำให้ฮ่องเต้ประทับใจ

แต่ตอนนี้ฉินชิงเริ่มขี้เกียจ เครื่องสำอางก็เริ่มแต่งบางลงกว่าเดิม หลังจากอาบน้ำก็เปลี่ยนเป็นชุดที่เรียกว่าสีขาวพระจันทร์ แต่จริงๆ แล้วมันคือชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน นางอุ้มเสวี่ยถวนมายืนรอฮ่องเต้อยู่หน้าประตูตำหนัก

เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ทำให้คนรู้สึกตะลึงงันแล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้ฉินชิงเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น และยิ่งเหมือนกับภรรยาที่รอสามีกลับบ้าน ไม่ใช่พระสนมที่กำลังรอฮ่องเต้อย่างกดดัน

จริงๆ แล้วในฐานะที่ฉินชิงเป็นคนยุคปัจจุบัน แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณมาสิบเจ็ดปี แต่ก็ยังมีบางอย่างที่นางต่างจากคนยุคโบราณ

นางไม่เคยรู้สึกว่ามนุษย์ควรถูกแบ่งชนชั้นสูงต่ำ สำหรับฮ่องเต้นางก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษอะไรขนาดนั้น แต่ฉินชิงและเหลียงอี้ก็เข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวอะไร

และความรู้สึกนี้ก็เป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ตอนนี้เหลียงอี้เลือกมาตำหนักจงชุ่ยที่ทำให้เขาสบายใจ

เรื่องนี้ฉินชิงย่อมไม่รู้ นางคิดแค่ว่าตอนนี้นางกับฮ่องเต้ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้ว นางสามารถหยิ่งยโสได้เล็กน้อย เป็นตัวของตัวเอง ในเมื่อฮ่องเต้ยังคงพลิกป้ายตำหนักของนาง นั่นหมายความว่าเขาก็น่าจะไม่ได้ไม่พอใจ

ในยุคปัจจุบันฉินชิงรู้สึกว่าทัศนคติของคนที่ไม่สนิทกับนางมักจะคิดว่านางเป็นคนเย็นชายากจะเข้าหา แต่หลังจากได้รู้จักก็จะรู้ว่านางเป็นคนโก๊ะๆ คนหนึ่ง ดังนั้นฉินชิงจึงคิดว่านางกับฮ่องเต้ได้พบกันหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะนับว่าเป็นคนรู้จักกันได้แล้วกระมัง

ดังนั้นฉินชิงจึงพยายามแต่งหน้าให้บางลงเรื่อยๆ เวลาที่ฮ่องเต้มาหา เสื้อผ้าก็ไม่ได้เลือกอย่างพิถีพิถันนัก ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนฮ่องเต้จะไม่สังเกตเห็น หรือสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ?

สรุปแล้วตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่พูด ฉินชิงก็จะทำตามอารมณ์ตนเองเช่นนี้ต่อไป

แต่เมื่อเหลียงอี้มาที่ตำหนักจงชุ่ย เขากลับได้เห็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ สตรีสวมชุดกระโปรงสีขาวพระจันทร์ใต้แสงไฟ ในอ้อมกอดนั้นอุ้มแมวสีขาวราวหิมะทั้งตัว เครื่องสำอางบนใบหน้าก็แต่งบางมาก แต่กลับดึงเอาความงามของสตรีออกมาได้อย่างเต็มที่

ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านอย่างแท้จริง ความมีชีวิตชีวาเช่นนี้ทำให้เหลียงอี้รู้สึกสบาย ราวกับว่าความเหนื่อยล้าในตำหนักเซวียนเจิ้งที่สะสมมาทั้งวันได้หายไปแล้ว

จู่ๆ เหลียงอี้ในตอนนี้ก็เกิดความคิดพิสดารขึ้นมา เขาอยากจะกลายเป็นเสวี่ยถวนในอ้อมกอดของฉินชิง ถูกฉินชิงอุ้มอย่างนั้นต้องสบายมากแน่ๆ เขาอิจฉาเสวี่ยถวนที่อยู่ในอ้อมกอดของฉินชิง แต่ความคิดนี้ก็ถูกเหลียงอี้ข่มกลั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว ในฐานะคนในราชวงศ์ คิดจะเป็นแมวย่อมไม่ใช่ขอบเขตที่เหลียงอี้จะรับได้

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาลงจากเกี้ยวจึงเดินไปหาฉินชิง

ฉินชิงส่งเสวี่ยถวนในอ้อมกอดให้หยินผิงที่อยู่ข้างๆ และน้อมทักทายฮ่องเต้ ทว่ากลับถูกเขาพยุงเอาไว้

“สนมของข้ายังตั้งใจเช่นเคย” ก่อนจะมองเสวี่ยถวนที่ออกไปจากอ้อมกอดของฉินชิง ใจลึกๆ ของเหลียงอี้ก็พอใจไม่น้อย

เขาลากฉินชิงเข้าไปในตำหนักด้านใน หลังจากฉินชิงถูกลากไปนั่งบนเตียงก็ถูกโอบกอดทันที อ้อมกอดอันอบอุ่นทำให้ฉินชิงมีความสุขมาก ดังนั้นนางจึงรออย่างเงียบๆ ทำตัวเป็นเครื่องสูบลมให้ฮ่องเต้

และเหลียงอี้ที่โอบกอดฉินชิงเอาไว้ก็รู้สึกว่าตัวเองถูกเติมเต็ม บนร่างกายของฉินชิงไม่มีกลิ่นแป้งหวานเลี่ยนเหมือนสนมคนอื่นๆ (กลิ่นแป้งที่แต่งก็ไม่เหมือนแต่ง) มีแค่ผมของนางที่มีกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ (น้ำหอมที่ฉินชิงใช้ตอนสระผม) คนในอ้อมกอดร่างกายนุ่มนิ่มไปทั้งตัว (เพราะมีแต่เนื้อ) กอดแล้วก็รู้สึกสบายยิ่งนัก

เหลียงอี้ถูกงานในราชสำนักรบกวนทุกวัน จัดการกับงานในราชสำนักตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เมื่อก่อนเวลาไม่สบายใจเขาก็จะไปชมระบำดาบที่หอแสดงวรยุทธ์ หลังจากเหนื่อยล้าก็ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว พอระบายมันออกมาก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก และตอนนี้ เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าเขาหาสิ่งทดแทนอันสมบูรณ์แบบได้แล้ว

เมื่อถูกฮ่องเต้กอดเป็นหมอนรูปคนอยู่พักหนึ่ง ฉินชิงก็รู้สึกว่าฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

เมื่อเหลียงอี้ปล่อยฉินชิง เขาก็ถามขึ้นมาว่า “ภาพที่เจ้าส่งมาวันนี้เป็นแมวที่เจ้าเลี้ยงไว้อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่เพคะ เสวี่ยถวนดูดีมาก เวลาอุ้มแล้วก็รู้สึกสบายยิ่งนัก หม่อมฉันชอบเสวี่ยถวนมากจริงๆ”

“เพราะในวังมันน่าเบื่อใช่หรือไม่?”

“น่าเบื่อนิดหน่อยเพคะ ฝ่าบาท ท่านก็รู้ว่าหม่อมฉันไม่ชอบการแวะไปนั่งคุยที่ตำหนักของผู้อื่น ส่วนเหล่านางกำนัลหม่อมฉันก็พูดคุยด้วยบ่อยๆ ไม่ได้ พวกนางไม่เข้าใจสิ่งที่หม่อมฉันพูด อยู่แต่ในตำหนักจงชุ่ยก็น่าเบื่อเล็กน้อย”

“เช่นนั้นข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าให้มากขึ้นดีหรือไม่?” เหลียงอี้วางศีรษะลงบนไหล่ฉินชิง

“ฝ่าบาทมาอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันได้มากขึ้นหม่อมฉันก็ดีใจเพคะ แต่ถ้าฝ่าบาทไม่รักษาคำพูด ให้หม่อมฉันรอเก้อ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่ชอบฝ่าบาทแล้ว” ฉินชิงหันหน้าไปอีกทาง

ขณะที่พูดเช่นนั้น ฉินชิงกลับคิดในใจว่าในวังหลังมีสตรีตั้งมากมาย เขาพูดประโยคนี้กับทุกคนหรือไม่ ขึ้นชื่อว่าบุรุษย่อมไม่มีใครดีสักคน เวลารักก็เทิดทูนเหมือนไข่มุก เวลาเกลียดก็ทอดทิ้งเหมือนรองเท้าเก่า ฉินชิงย่อมไม่คิดว่าคำพูดของเขาเป็นจริง

ฉินชิงหวังเพียงว่าช่วงเวลาแห่งความหวานชื่นและสดใหม่ของนางจะอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย จนกว่าตำแหน่งของนางในวังหลังจะพัฒนาไปจนถึงจุดที่ไม่ต้องพึ่งพาเขา

เมื่อเหลียงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็มองฉินชิงอย่างจริงจัง มองตาของนางและกล่าว

“เมื่อเจิ้นได้พูดออกมาแล้ว แม้รถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากที่จะตามทัน เมื่อพูดแล้วไม่มีว่าจะไม่ทำ เจ้ารออย่างสบายใจเถอะ เจิ้นจะมาแน่นอน จะไม่ให้เจ้าเสียแรงเปล่า”

“ถ้าเช่นนั้นถือว่าฝ่าบาทสัญญากับหม่อมฉันแล้วนะเพคะ ถ้าฝ่าบาทไม่ทำ หม่อมฉันจะลงโทษฝ่าบาท”

“ตกลง พอถึงตอนนั้นข้าจะยอมทำตามบทลงโทษของเจ้าแน่นอน”

เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินชิง เหลียงอี้รู้สึกว่าตนจะไม่มีวันผิดสัจจะเด็ดขาด เขาจะไม่มีวันยอมสูญเสียคนผู้นี้ไป ไม่มีวัน

“ไม่รู้ว่าเหตุใดเจิ้นถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเหมือนกับเสวี่ยถวนมาก? สวยงามและน่ามอง ชอบกิน เวลาไม่พอใจก็จะชอบข่วนเจิ้น”

“เหตุใดฝ่าบาทถึงพูดอย่างนั้นกับหม่อมฉันล่ะเพคะ หม่อมฉันไม่สนใจฝ่าบาทแล้ว” ขณะที่พูดฉินชิงก็ถอยออกไปจากอ้อมแขนของเหลียงอี้และลงจากเตียงไป

เหลียงอี้มองฉินชิง ในใจก็คิดว่าแบบนี้ไม่ใช่แมวตรงไหน? ไม่สบายใจก็ไม่สนใจคนแล้ว ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและวิ่งตามฉินชิงไป

ฉินชิงย่อมวิ่งได้ไม่เร็วเท่าเหลียงอี้ ไม่นานนักก็ถูกเหลียงอี้จับ ถูกขังไว้ในอ้อมกอดของเขา

“ยังจะวิ่งหนีอีกหรือ?”

“ไม่หนีแล้วเพคะ ฝ่าบาทร้ายกาจนัก แกล้งหม่อมฉันได้อย่างไร”

“นี่จะเรียกว่าแกล้งได้อย่างไร”

“ไม่สนใจแล้ว นี่แหละเรียกว่าแกล้ง”

“ได้ๆๆ เช่นนั้นจะให้เจิ้นชดเชยอย่างไรดี? เจ้าอยากได้อะไร? เจิ้นจะให้เจ้า” เหลียงอี้มองท่าทางน้อยใจของฉินชิง จะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่ตามใจเท่านั้น

“หม่อมฉันอยากได้ห้องครัวเล็กๆ ได้หรือไม่เพคะ ห้องครัวที่หม่อมฉันเลือกเอง” ฉินชิงมองเหลียงอี้ ในใจก็คิดว่าบุรุษหลายใจผู้นี้มอบประโยชน์ให้ตนแบบไม่มีสาเหตุ หากไม่รับไว้ก็น่าเสียดายแน่

สถานที่ใดในวังที่ง่ายต่อการทำร้ายคนได้มากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นอาหารการกิน ของอื่นๆ ไม่เอาก็ได้ แต่กินก็ต้องกินทุกวัน เรื่องกินอาหารจึงต้องคอยระวัง

ฉินชิงเองก็รู้สึกว่าตนรักการกิน ของกินต้องมีทุกวันห้ามขาดปาก และส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ง่ายต่อการถูกคนลงมือที่สุด ในห้องเครื่องมีคนมาก อาหารหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าผ่านกี่มือ ไม่ว่าการดูแลจะเข้มงวดแค่ไหน มันก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นสักวัน ฉินชิงยังไม่วางใจ

การเลือกพ่อครัวก็ต้องเลือกที่ตัวเองชอบ ถ้าเลือกที่ฝีมือทำอาหารไม่ดี เช่นนั้นฉินชิงคงต้องร้องไห้ตายแน่ๆ

“ตกลง เจิ้นรับปาก” เหลียงอี้ลูบหัวของฉินชิง ในใจก็คิดว่าเหตุใดนางถึงได้หวาดกลัวขนาดนี้ กังวลแม้กระทั่งห้องเครื่อง

“จริงหรือเพคะ ฝ่าบาทดีที่สุดเลย ฝ่าบาทไม่ใช่แค่หล่อเท่านั้น แต่ยังดีอีกด้วย” ฉินชิงได้ยินว่าฮ่องเต้รับปากแล้ว แววตาก็เป็นประกายทันที

“จริงสิ ข้าไม่โกหกเจ้า พรุ่งนี้เช้าข้าจะเรียกให้กรมกิจการภายในมาสร้างให้เจ้า ส่วนพ่อครัวเจ้าก็เลือกเอง”

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปหากหม่อมฉันมีอาหารอร่อยๆ จะส่งให้ฝ่าบาทแน่นอนเพคะ” เมื่อได้ประโยชน์มากขนาดนี้ ฉินชิงย่อมต้องเยินยอฮ่องเต้เสียหน่อย แสดงความตั้งใจของตัวเองต่อหน้าฮ่องเต้สักครั้ง

“ตกลง เช่นนั้นเจิ้นจะรอ แต่ตอนนี้เจิ้นอยากกินเจ้าก่อน” จากนั้นก็อุ้มฉินชิงไปที่เตียง

เมื่อฉินชิงได้รับผลประโยชน์ นางย่อมตั้งใจรับใช้เหลียงอี้อย่างดี ต้องขอบคุณโยคะที่นางแอบทำในช่วงที่ผ่านมา เหลียงอี้เป็นลูกค้าเพียงรายเดียวทั้งยังมีประสบการณ์มาก เขาได้พัฒนาท่วงท่าการขับขี่ใหม่ๆ ออกมา

และประสบการณ์ของฉินชิงก็คือ ฮ่องเต้ที่สมกับชื่อว่ารถเทพ พอได้ขับก็ขับเร็วอย่างกับเสือ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด