บทที่ 16 คำนับ
ตั้งแต่ที่ฉินชิงมีเสวี่ยถวน งานลูบแมวก็ถูกเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน เมื่อมีเสวี่ยถวนแล้ว ฉินชิงรู้สึกว่าเวลาว่างในแต่ละวันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และการบ้านที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง นางยังต้องส่งให้ฮ่องเต้ทุกๆ สามวัน สำหรับฮ่องเต้ก็จะแก้ไขส่งกลับมาที่ตำหนักจงชุ่ย ผ่านมาระยะหนึ่งทักษะการวาดภาพของฉินชิงก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อยแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ได้เวลาเข้าไปคำนับฮองเฮาอีกครั้ง เช้าตรู่ของวันนี้หยินผิงปลุกฉินชิงให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ฉินชิงลุกขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย จากนั้นก็ให้นางกำนัลแต่งตัวแต่งหน้าให้ด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
และตอนนี้ก็เพิ่งจะยามเฉิน (เจ็ดโมงเช้า) ซึ่งหมายความว่าฉินชิงถูกปลุกให้ตื่นอย่างไร้ความปรานีตอนซื่อเค่อ (หกโมงเช้า)
ในฐานะที่เป็นคนตื่นนอนตอนยามซื่อ (เก้าโมงเช้า) แทบทุกเช้า การถูกปลุกให้ตื่นเช้าเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ทรมานไม่น้อย เปรียบดั่งวันแรกหลังจากวันหยุดในยุคปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่น้อย
แม้ว่าตอนนี้ฉินชิงจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่สดชื่นและเหมือนไม่มีความสุข มองอะไรก็ขวางตาไปหมด
แน่นอนว่าในฐานะนักชิม ฉินชิงจะไม่มีวันเห็นอาหารขวางหูขวางตาเด็ดขาด
ดังนั้น หลังจากกินข้าวต้มทะเล ไข่ไก่ครึ่งฟอง แผ่นแป้งทอดชิ้นเล็กๆ และผักดองสองสามคำ ความโกรธของฉินชิงก็ถูกบรรเทาลง
หลังจากกินอาหารเช้า ฉินชิงจึงออกเดินทางไปที่ตำหนักคุนหนิงด้วยสภาพจิตใจที่สดชื่น แต่ตัวเอกย่อมไม่ใช่ฉินชิง เป็นฟางกุ้ยอี้ที่กำลังตั้งครรภ์
จะว่าไปก็ช่างบังเอิญ ฉินชิงคุกเข่า น้อมคำนับอยู่หลายครั้ง นางก็เป็นเหมือนกระดานหลังฉาก แทบไม่ได้พูดอะไรหรือบางครั้งก็จะพูดคุยกับสนมตวนเล็กน้อย
ครั้งแรกที่เป็นผู้มาใหม่เพิ่งเข้ามาในวัง นางไม่ใช่สนมที่มีตำแหน่งสูงสุด สนมขั้นสูงเหล่านั้นไม่สนใจนาง มัวแต่ต่อสู้กันเอง
การน้อมทักทายครั้งที่สอง ข่าวที่ฟางกุ้ยอี้ตั้งครรภ์ก็เป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจนางแม้ว่าจะเพิ่งได้รับตำแหน่งกุ้ยผินก็ตาม
ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ฟางกุ้ยอี้ที่ไม่ได้โผล่มาในคราวที่แล้วน่าจะมาด้วย และฉินชิงก็ยังคงเป็นฉากหลังเช่นเคย
หรือว่านางเกิดมาเพื่อเป็นตัวประกอบ? ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน เมื่อกล้องถ่ายภาพจับภาพมา นางมักจะเป็นคนที่หลุดเฟรมเสมอ ต้องจับภาพอยู่หลายครั้งถึงจะเจอนาง และมีหลายครั้งที่ภาพฉากหลังไม่ได้จับมาที่ใบหน้าของนาง
ฉินชิงที่นั่งอยู่บนเกี้ยวค่อยๆ คิดถึงปัญหานี้ ไม่นานนักก็ถึงตำหนักคุนหนิง
ครั้งนี้ฉินชิงเป็นหนึ่งในคนที่มาสาย ทันทีที่นางเข้าไป สนมหรงก็กล่าวอย่างโกรธเคือง
“เหตุใดวันนี้พี่ถึงมาสายนักเล่า ข้าได้ยินมาว่าท่านขยันหมั่นเพียรต่อการมาคำนับฮองเฮาตลอด เหตุใดวันนี้ถึงได้ละเลย?”
ช่วงนี้ฉินชิงเพิ่งจะได้รับความโปรดปราน อีกทั้งยังรักษาตำแหน่งนี้มาตลอด ไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปเลย สนมหรงที่เคยเป็นคนโปรดปรานก่อนหน้านี้จึงถูกฉินชิงแย่งความโปรดปรานของนางไป
เดิมทีสนมหรงคิดว่าฉินชิงจะอาศัยใบหน้าของนางเพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานและจะได้รับความโปรดปรานไม่เกินครึ่งเดือนเท่านั้น ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อความโปรดปรานของตน
พอคิดเช่นนี้ สนมหรงก็อยู่เฉยไม่ได้อีกแล้ว
ฉินชิงทำได้เพียงตอบกลับไปว่า “ข้าย่อมไม่สามารถเทียบได้กับความขยันหมั่นเพียรของสนมหรง ยังหวังว่าสนมหรงจะสามารถเป็นแบบอย่างให้ข้าได้ เช่นนั้นข้าก็จะได้ทำตามเพคะ”
สนมหรงฉุกคิดในใจว่าคำพูดนี้คือต้องการให้นางตื่นแต่เช้ามาคำยับฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลของนางมีอำนาจช้าไป เกรงว่าตำแหน่งฮองเฮาคงเป็นของนางแล้ว จะให้ตื่นแต่เช้ามาน้อมคำนับฮองเฮาต้องเป็นเรื่องน่าขันแน่ๆ
“ฝีปากของสนมเจาช่างเก่งกาจจริงๆ เลยนะ” เมื่อกล่าวจบก็หันไปอีกทาง ทำราวกับคนไม่สนใจใคร
ฉินชิงมองไปที่สนมหรง ในใจมีความคิดมากมาย ฉินชิงจำได้ว่าสนมหรงไม่ได้เข้ามาจากการคัดเลือกหญิงงาม แต่เพราะตระกูลของนางพยายามช่วยเหลือฮ่องเต้ตอนขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ๆ ดังนั้นนางจึงถูกส่งตัวเข้ามาในวัง นี่คล้ายกับกรณีของเจิ้งกุ้ยเฟย เพียงแต่เจิ้งกุ้ยเฟยถูกส่งมาตอนที่ฮ่องเต้ยังเป็นองค์ชาย
ว่ากันว่าเจิ้งกุ้ยเฟยในตอนนั้นก็เป็นที่โปรดปรานเช่นกัน อำนาจของนางในจวนอ๋องไม่เป็นสองรองใคร จนกระทั่งตอนที่ฮ่องเต้กำลังจะขึ้นครองราชย์ นางก็ค่อยๆ หลุดพ้นจากความโปรดปราน ส่วนตระกูลของสนมหรงที่คอยให้การช่วยเหลือฮ่องเต้มาตลอด แม้ว่านางจะเป็นสนมที่อยู่ในวังหลัง แต่ก็รู้ว่าตระกูลของนางในราชสำนักตอนนี้มีอำนาจอยู่ไม่น้อย ขุนนางขั้นสี่ที่เดินไปทั่วเมืองหลวงปีนป่ายจนมาถึงขั้นนี้ พูดได้คำเดียวว่าบิดาของนางเก่งกาจมาก
ฉินชิงสามารถมองบางอย่างในเรื่องนี้ออก ความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีให้สนมหรงอาจเป็นเพราะอำนาจที่มีอยู่ไม่น้อยในราชสำนัก? แต่นั่นก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว จนถึงตอนนี้ ตำแหน่งของฮ่องเต้ก็ควรจะมั่นคงแล้วถึงจะถูก จะโปรดปรานตระกูลใดตระกูลหนึ่งเพียงเพราะความแข็งแกร่งของตระกูลนั้นได้อย่างไร ฉินชิงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
ถ้าไม่เข้าใจก็เลิกคิดไปก่อน อีกอย่างฉินชิงก็ยอมแพ้มาเสมอ นางเป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะทำตัวให้ต่ำต้อยอยู่เสมอ
แต่บางครั้งการคิดมากไปตลอดเวลาก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลอะไร นางจึงปล่อยวางมันชั่วขณะ รอจนชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นความเข้าใจอะไรใหม่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็คงคิดออกเอง
จากนั้นสมาชิกคนอื่นๆ ก็ทยอยมากันครบแล้ว ฟางกุ้ยอี้เข้ามาพร้อมกับสนมโหลว
จริงๆ แล้วฉินชิงคิดว่าท้องของฟางกุ้ยอี้ไม่ได้ใหญ่และรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของนางไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก บนใบหน้ามีแป้งหนาๆ โบกมาหนึ่งชั้น แต่ท้องของนางก็นูนขึ้นมา เหมือนจะมาเพื่ออวดท้องของนางโดยเฉพาะ
ฉินชิงรู้สึกว่าท้องที่นูนออกมาเช่นนี้ของนางดูไม่เหมือนคนท้องเท่าไรนัก
ฟางกุ้ยอี้ดูเหมือนถ่อมตนมาก ไม่ว่าอะไรก็เชื่อฟังสนมโหลว เพียงแต่เรื่องหลงใหลในรูปร่างหน้าตานั้นยังมีอิทธิพลที่รุนแรงมาก ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะคลอดออกมาได้หรือไม่ ดูจากท่าทางของฟางกุ้ยอี้แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ราบรื่นเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะแพ้ท้องจนกินไม่ได้ก็ได้ ด่วนสรุปตอนนี้ยังเร็วเกินไปนัก
“หม่อมฉันน้อมทักทายฮองเฮาเพคะ” สนมโหลวพาฟางกุ้ยอี้ไปทักทายฮองเฮา
ดูฮองเฮาจะเป็นห่วงลูกในท้องของฟางกุ้ยอี้มาก นางสั่งให้นางกำนัลหลิ่วเย่เข้าไปพยุงฟางกุ้ยอี้
“ฟางกุ้ยอี้ ตอนนี้เจ้ากำลังอุ้มท้องสายเลือดมังกรอยู่ เรื่องเล็กน้อยอย่างน้อมทักทายเช่นนี้ก็ไม่ต้องแล้ว แค่เจ้ามาก็พอแล้วล่ะ ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ส่งคนมาบอกข้าทันที ข้าจะส่งหมอหลวงไปตรวจดูอาการของเจ้า”
ฟางกุ้ยอี้ไม่ได้ทำความเคารพแล้ว นางนั่งลงในตำแหน่งของตนแล้วกล่าวว่า
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วง พอมีสนมโหลวคอยดูแล หม่อมฉันก็รู้สึกดีทุกอย่างแล้วเพคะ”
เมื่อสนมโหลวได้ยินเช่นนั้นริมฝีปากก็ยกยิ้มเล็กน้อย
และเจียเจี๋ยอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ฟางกุ้ยอี้ เจ้าต้องดูแลเด็กคนนี้ให้ดี ติดตามสนมโหลวให้มาก ไม่แน่ต่อไปเจ้าอาจจะได้เห็นหน้าลูกตัวเองหลายครั้ง”
ที่เจียเจี๋ยอวี้กล่าวมาเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล สนมโหลวต้องการรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยง ในวังหลังไม่ว่าจะถามนางกำนัลคนไหนก็รู้ทั้งนั้น แค่พูดต่อหน้าฟางกุ้ยอี้มันจะดูไม่ดี
เมื่อฟางกุ้ยอี้ได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็ซีดเผือด เพียงหวังให้ตัวเองคลอดองค์หญิงออกมา ไม่แน่อาจจะได้เลี้ยงเองเหมือนสนมหนิง ถ้าคลอดองค์ชาย ถูกอุ้มจากไปจะไปมีประโยชน์อะไร
ฮองเฮาที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหลักได้ยินเจียเจี๋ยอวี้กล่าวเช่นนั้นก็อยากตำหนินางเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าสนมโหลวจะเป็นฝ่ายพูดตำหนิเจียเจี๋ยอวี้ก่อน
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ ยังมีคุณธรรมอันดีงามของการเป็นพระสนมอยู่หรือไม่?”
หลังจากพูดจบแล้วก็หันไปทางฮองเฮา “หม่อมฉันเห็นว่า คำพูดของเจียเจี๋ยอวี้ไม่สอดคล้องกับกฎการสั่งสอนของสตรีในวัง หม่อมฉันทูลขอฮองเฮาให้เจียเจี๋ยอวี้ได้ทบทวนกฎของสตรีใหม่อีกรอบด้วยการคัดกฎของสตรีและแบบอย่างของสตรีห้าสิบรอบ เพื่อจะได้เรียนรู้คุณธรรมจากหญิงโบราณ”
เมื่อฉินชิงได้ยินบทลงโทษนี้ สีหน้าของนางก็คือ w (�1�9Д�1�9) w การคัดลอกกฎของสตรีและแบบอย่างของสตรีต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี การลงโทษของสนมโหลวช่างโหดเหี้ยมจริงๆ
แต่ฮองเฮาไม่ต้องการให้เจียเจี๋ยอวี้ถูกลงโทษหนักเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีหากจะหักหน้าสนมโหลว ทำได้แค่ต้องประนีประนอม
ดังนั้นจึงทำได้แค่บอกว่า “ข้ามองว่าไม่จำเป็นต้องลงโทษหนักขนาดนี้ เจียเจี๋ยอวี้ก็ไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นข้าจึงขอให้เจียเจี๋ยอวี้ขอโทษฟางกุ้ยอี้ แล้วค่อยให้คัดลอกกฎของสตรีและแบบอย่างของสตรีสามสิบรอบเถอะ”
ด้วยข้อคิดเห็นของฮองเฮา เจียเจี๋ยอวี้ได้ขอโทษฟางกุ้ยอี้อย่างไม่เต็มใจ ขณะที่ขอโทษนั้นเล็บของเจียเจี๋ยอวี้ก็แทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น การน้อมทักทายย่อมจบอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉินชิงกลับตำหนักก็ลูบแมวพลางคิดเรื่องของเจียเจี๋ยอวี้ที่ถูกครอบครัวตามใจจนเคยตัวเกินไป พูดอะไรไม่ค่อยคิด คนเช่นนี้เกรงว่าจะอยู่ในวังได้ไม่นาน