บทที่ 1032 (153) ทำลายความยับยั้งชั่งใจของพวกเธอ (ตอนฟรี)
บทที่ 1032 (153) ทำลายความยับยั้งชั่งใจของพวกเธอ (ตอนฟรี)
จี้เฟิงหัวเราะและตบบั้นท้ายอันกลมกลึงของทั้งสองสาวจากนั้นกระซิบเสียงเบา “ทำไมล่ะ? พวกเราจะไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้อีกต่อไปถ้ามีพวกเขาคอยเฝ้าดูอยู่งั้นเหรอ? ช่างไร้เหตุผลจริงๆเลย!”
พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่ที่หานเซิ่นและเสี่ยวอิงมาอยู่ที่บ้านด้วย เซียวหยูซวนและถงเล่ยแทบจะไม่เคยมานอนพร้อมหน้าพร้อมตากับเขาเลย ในตอนที่มีเสี่ยวอิงคนเดียวยังถือว่าดีหน่อย เพราะพวกเขาพอรู้จักคุ้นเคยกันอยู่บ้าง หลังจากที่คุ้นชินก็ไม่มีอะไรให้ต้องเขินอายเท่าไหร่นัก
แต่หลังจากที่มีหานเซิ่นเพิ่มเข้ามา เซียวหยูซวนและถงเล่ยก็ขี้อายมาก พวกเธอไม่ยอมมานอนกับจี้เฟิงอีกต่อไป ถ้าจะดีหน่อย พวกเธอก็แยกกันมา แต่ที่ยิ่งน่าเจ็บปวดกว่านั้นคือแฟนสาวของเขาไม่กล้าร้องออกมาในเวลาที่เธอมีความสุข พวกเธอจะอดกลั้นและกัดปากเอาไว้แน่น
นี่เป็นความเจ็บปวดสำหรับจี้เฟิง ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือการได้ใช้ชีวิตในฐานะคู่รักแบบชายและหญิงอย่างเต็มที่ แต่ในตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้จริงๆ!
ดังนั้นจี้เฟิงจึงใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดเป็นครั้งคราวเพื่อให้เซียวหยูซวนและถงเล่ยละทิ้งความยับยั้งชั่งใจของพวกเธอและกลับสู่สถานะเดิมเหมือนเมื่อก่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน้อยมาก แฟนสาวทั้งสองคนของเขานั้นขี้อายเกินไปจริงๆ
แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ถงเล่ยดีกว่าเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอมีบุคลิกนิสัยที่เย็นชา ยกเว้นเมื่อเวลาเธออยู่กับจี้เฟิง เธอจะมีความสุขมาก ไม่อย่างนั้นในเวลาปกติเธอก็แทบจะไม่แสดงรอยยิ้มเลย แต่นั่นไม่ใช่ว่าเธอโกรธอยู่ตลอดเวลาหรือไม่มีความสุข เพียงแค่ว่านี่คือบุคลิกและนิสัยของเธอ
แต่เซียวหยูซวนแตกต่างออกไป เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ นิสัยของเธอค่อนข้างขี้เล่นและเป็นกันเอง คำพูดของเธอดึงดูดผู้คนได้เสมอ ถ้าถงเล่ยเป็นสาวงามที่เย็นชา เซียวหยูซวนก็เป็นเปลวไฟแห่งความหลงใหล ความร้อนแรงที่ไร้การควบคุมของเธอสามารถละลายจี้เฟิงได้
แต่นั่นก็ต่อเมื่อเธออยู่ต่อหน้าจี้เฟิงเป็นการส่วนตัวเท่านั้น เพราะเมื่อเธออยู่กับหานเซิ่นและเสี่ยวอิง เธอไม่สามารถปล่อยวางได้ เสน่ห์ของเธอสามารถเบ่งบานได้เฉพาะเวลาที่เธอได้มีเวลาส่วนตัวกับจี้เฟิงเท่านั้น
ตามที่เซียวหยูซวนพูด เธอกังวลว่าวันหนึ่งเสี่ยวอิงและหานเซิ่นจะรู้ว่าชีวิตของพวกเขาไร้สาระมากจริงๆ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองไม่ดีหรืออาจขั้นถูกดูถูกเหยียดหยาม ดังนั้นแม้ว่าเซียวหยูซวนจะมีความต้องการที่จะถูกจี้เฟิงกวนก่อนที่จะนอนหลับไปพร้อมกันอย่างมีความสุข เธอก็เลือกที่จะระงับความต้องการของเธอเอาไว้และนอนคนเดียวในห้องนอน
ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!
ครั้งนี้จี้เฟิงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทลายกำแพงแห่งความยับยั้งชั่งใจในใจของพวกเธอและทำให้ความเขินอายเหล่านั้นค่อยๆกลายเป็นความคุ้นชิน
จี้เฟิงรู้ดีว่าเมื่อตัวเขาตกเป็นเป้าหมาย ความปลอดภัยของถงเล่ยและเซียวหยูซวนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหานเซิ่นและเสี่ยวอิงจะต้องอยู่รวมชายคาเดียวกันกับพวกเขาอีกเป็นเวลานาน
ในกรณีนี้ การปกป้องจากหานเซิ่นและเสี่ยวอิงจึงยิ่งมีความสำคัญมาก
และเพราะสาเหตุเหล่านี้ บอดี้การ์ดหญิงทั้งสอง จะยังคงอยู่อาศัยบ้านเดียวกับพวกเขาอีกเป็นเวลานานแน่นอน ดังนั้นจี้เฟิงจึงต้องหาวิธีค่อยๆตะล่อมแฟนสาวทั้งสองคนของเขาให้ลดความเขินอายลงและใช้ชีวิตตามปกติ
คุณไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองหรือแม้แต่ใช้ชีวิตไร้สาระได้ตามใจแม้จะอยู่ในบ้านของคุณเอง แบบนั้นชีวิตก็ไร้ความหมายเกินไป...
จี้เฟิงคิดเช่นนั้น
วันนี้เป็นโอกาสอันดี หลังจากที่เขาห่างจากถงเล่ยและเซียวหยูซวนเป็นเวลาสองวัน แฟนสาวทั้งสองคนของเขาคิดถึงเขามาก
ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำลายความยับยั้งชั่งใจของพวกเธอ จี้เฟิงจึงไม่ยอมที่จะพลาดโอกาสนี้และเสนอให้พวกเธอมานอนด้วยกัน เขาคิดว่าตราบใดที่เขาได้ลงมืออีกครั้ง แฟนสาวทั้งสองคนของเขาจะต้องค่อยๆปล่อยวาง
“หยูซวน เล่ยเล่ย ที่จริงพวกเธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย!” จี้เฟิงพูดพลางใช้มือลูบและบีบบั้นท้ายของสองสาว ทำให้ใบหน้าสวยของพวกเธอแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ดวงตาแวววาวเป็นประกาย แต่พวกเธอยังคงเขินอายมาก เนื่องจากเสี่ยวอิงและหานเซิ่นยังอยู่ในห้องนั่งเล่น และเมื่อสองสาวบอดี้การ์ดเห็นว่าจี้เฟิงกลับมาพวกเธอก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อต้อนรับเขา
ในขณะที่ถูกจ้องมองจากสายตาของบอดี้การ์ดหญิงทั้งสอง มือของจี้เฟิงก็ยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ไม่แปลกใจเลยที่ถงเล่ยและเซียวหยูซวนจะเขินอาย
“นักเลงน้อย หยุดสร้างปัญหาเดี๋ยวนี้เลยนะ! แต่ถ้ายังเลิกคิดเรื่องนี้ไม่ได้ เดี๋ยวคืนนี้ให้เล่ยเล่ยไปเล่นกับนายทั้งคืนเลย โอเคมั้ย.. ไว้หน้าพวกเราบ้างสิ ทำแบบนี้แล้วเราจะมองหน้าเสี่ยวอิงกับหานเซิ่นได้ยังไง?!”
จี้เฟิงทำเหมือนไม่ได้ยิน มือของเขายังคงลูบและนวดไปที่บั้นท้ายอันอวบอิ่มของเซียวหยูซวนอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบและรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างช่วยไม่ได้ ขาของเธอหนีบเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ไหลออกมาจากร่างกายส่วนล่างที่น่าอาย ริมฝีปากสีแดงของเธอแยกออกจากกันเล็กน้อยและกระซิบเบาๆที่ข้างหูของจี้เฟิง ลมหายใจของเธอแผ่วเบาราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน
ถงเล่ยก็ทนไม่ได้เช่นกัน ร่างกายของเธอโอนอ่อนพิงแขนของจี้เฟิงอย่างแผ่วเบา ร่างกายของเธอค่อยๆกดทับไหล่และแขนของจี้เฟิง ถ้าไม่ใช่เพราะแขนของจี้เฟิงที่โอบเธอไว้ เธอคงจะยืนไม่อยู่แล้ว
“ป้าบ—!”
จี้เฟิงตบบั้นท้ายอวบๆของเซียวหยูซวนและถามว่า “ยังไง? ตกลงคืนนี้จะให้เล่ยเล่ยมาหาฉันคนเดียวใช่มั้ย?”
“อือ.. แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปกับนาย...” เซียวหยูซวนหอบหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาและพูด ดวงตาของเธอฉ่ำวาวเป็นประกาย ในเวลานี้เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอร้อนวูบวาบไปหมด
“ไม่! วันนี้เธอต้องมากับฉัน..! ทั้งสองคน!” จี้เฟิงพูดอย่างแข็งกร้าว ในขณะที่พูดเขาก็ตบบั้นท้ายของเซียวหยูซวนอีกครั้ง
“อ๊า~!”
ร่างกายของเซียวหยูซวนอ่อนยวบทันทีที่ถูกเขาตี หลังจากที่หลุดคำสั้นๆออกไปเธอก็รีบปิดริมฝีปากของเธอไว้ทันทีและแทบไม่กล้าเงยหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ว่าใบหน้าของเธอแดงระเรื่อจนเกือบถึงหู เธอไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไปเพราะกลัวว่าจี้เฟิงจะทำอะไรที่มันมากกว่านี้ เพราะถ้าเขาทำจริงๆ ทุกอย่างจะตกอยู่ในสายตาของเสี่ยวอิงและหานเซิ่น... จากนั้นเธอจะกล้าเอาหน้าไปให้พวกเขาเห็นได้อย่างไร?
“ไม่ต้องเถียงเรื่องนี้แล้ว ฉันตัดสินใจแล้ว!” จี้เฟิงหัวเราะ
“คนบ้าอำนาจ! ทำขนาดนี้ฉันจะกล้าพูดอะไรได้อีก ไม่อย่างนั้นนายคงได้ทรมานฉันจนตาย..” เซียวหยูซวนพูดด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์ แม้จะมีความโกรธอยู่ในน้ำเสียง แต่การกระทำของจี้เฟิงมันทำให้เธอร้อนรุ่มจนเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
จี้เฟิงหายใจเข้าลึกๆแล้วหันกลับมาถามว่า “เล่ยเล่ย เธอว่ายังไง?”
ถงเล่ยที่กำลังส่งเสียงครางเบาๆอยู่ในลำคอเนื่องจากถูกจี้เฟิงสัมผัสอย่างต่อเนื่องก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าจี้เฟิงหันกลับมาถามเธอ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเก่งให้เท่าพี่หยูซวน”
ทั้งสองสาวกลัวเขา ทั้งคู่ตระหนักดีว่าวันนี้พวกเธอจะไม่สามารถหาทางหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน หากพวกเธอยังคงปฏิเสธอยู่เช่นนี้ พวกเธออาจถูกลงโทษอย่างรุนแรงในค่ำคืนนี้... เกี่ยวกับความสามารถอันทรงพลังของจี้เฟิงในเรื่องนั้น เป็นอะไรที่ช่วยไม่ได้หากมันจะทำให้พวกเธอทั้งรักทั้งหลงและกลัว...
สิ่งที่พวกเธอชอบคือความรู้สึกอันยอดเยี่ยมเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของจี้เฟิง พวกเธอรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของพวกเธอกำลังสั่นสะท้าน มันช่างเป็นความรู้สึกที่เบาสบายและวิเศษเกินกว่าจะพรรณนาสิ่งที่รู้สึกออกมาได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่พวกเธอกลัวก็คือ จี้เฟิงใช้เวลากับเรื่องนี้นานเกินไป บางครั้งสองสาวก็ไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจได้แม้จะร่วมมือกันก็ตาม จนสุดท้ายพวกเธอทำได้เพียงตอบสนองเขาด้วยปากเล็กๆของพวกเธอ...
แท้จริงๆแล้ว พวกเธอกลัวจริงหรือ?
อาจจะไม่ใช่...
เมื่อเห็นว่าแฟนสาวทั้งสองเห็นด้วยแทบจะในทันที จี้เฟิงก็หัวเราะอย่างพึงพอใจและเดินไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับแฟนสาวทั้งสองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
แต่ในเวลานี้ เสี่ยวอิงและหานเซิ่นกำลังหน้าแดงด้วยความเขินอาย แม้ว่ากิริยาท่าทางของพวกเธอจะสงบนิ่ง แต่ในใจของพวกเธอรู้สึกลุกลี้ลุกลนและเขินอาย พวกเธอได้แต่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยที่ไม่กล้ามองไปทางพวกเขาสามคนเลยด้วยซ้ำ พวกเธอไม่รู้ว่าควรจะเอาสายตาไปวางไว้ที่ตรงไหนจึงจะเหมาะสมที่สุดในเวลานี้
แม้แต่หานเซิ่นที่ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อจี้เฟิงมาตั้งแต่ต้นก็ยังหน้าแดงอยู่ในตอนนี้ แต่คราวนี้เธอไม่ได้มีความคิดในแง่ร้ายต่อจี้เฟิง เพียงแค่เป็นความเขินอายและรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเท่านั้น
อันที่จริง ตั้งแต่ที่เซียวหยูซวนคุยกับหานเซิ่นในคืนนั้นไปตามตรง เธอก็เริ่มให้ความกับสนใจจี้เฟิงมากขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่ความสนใจในเชิงชู้สาว แต่เป็นการสังเกตพฤติกรรม
เช่นเดียวกับที่เซียวหยูซวนพูด แท้จริงแล้วจี้เฟิงเป็นคนแบบนั้น ขึ้นอยู่กับว่าการกระทำของเขาเป็นอย่างไร และผลลัพธ์นั้นจะเกิดก็ต่อเมื่อคุณมองอย่างเป็นกลางด้วยการสังเกตของคุณเองไม่ใช่คำพูดจากปากของคนอื่น
หานเซิ่นตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นอย่างจริงจัง ดังนั้นตั้งแต่นั้นมา เธอจึงมักจะให้ความสนใจกับพฤติกรรมต่างๆของจี้เฟิงร่วมถึงทัศนคติที่เขามีต่อคนอื่นๆด้วย
ซึ่งเป็นผลให้ความประทับใจที่หานเซิ่นมีต่อจี้เฟิงค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป
จี้เฟิงเป็นคนง่ายๆ เขามักจะทำกิจวัตรประจำวันโดยทั่วไปและไม่มีพิธีรีตอง เขาไม่ได้เป็นลูกคุณหนูที่มักจะเย่อหยิ่งเฉกเช่นลูกชายในตระกูลชนชั้นสูง นอกจากนั้นเขายังเป็นคนมั่นคงหนักแน่นและมีความเป็นผู้ใหญ่ ดูฉลาดมาก
ยิ่งไปกว่านั้น จี้เฟิงยังเป็นคนที่มีความยุติธรรมและมีความรักต่อคนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ทำให้หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็เพราะจี้เฟิงมีข้อดีเหล่านี้ ถึงได้ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจมากขึ้นและความประทับใจที่ไม่ดีก็ค่อยๆหายไป
จากนั้นในระหว่างเดินทางไปยังเมืองฮั่วเหอ จี้เฟิงได้พบกับเหตุการณ์เด็กถูกลักพาตัว เขาได้ช่วยเหลือเด็กเหล่านั้นโดยไม่ลังเลและทุบตีทำร้ายคนชั่วเหล่านั้นด้วยความโกรธ เพราะเมื่อตัดสินจากอาการบาดเจ็บที่อีกฝ่ายได้รับ พวกเขาอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานนับปี หรือบางคนก็ต้องพิการนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต!
นอกจากนี้ จี้เฟิงไม่ได้สนใจอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเลย หลังจากที่เขารับสาย เขารีบไปช่วยเซียงหยงซานในทันทีแม้ว่าเขาจะเป็นคนนอกก็ตาม หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเขาในเรื่องนี้จากใจจริง
ดังนั้นหานเซิ่นจึงได้เปลี่ยนจากทัศนคติในแง่ลบต่อจี้เฟิงมาเป็นความประทับใจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าความรู้สึกดีๆเหล่านี้เป็นเพียงการรับรู้ของคนรู้จักหรือเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้สึกแบบชู้สาว
แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้หานเซิ่นเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเป็นองครักษ์เคียงข้างจี้เฟิงและคอยปกป้องถงเล่ยต่อไป ที่สำคัญไปกว่านั้น คนอย่างหานเซิ่น เมื่อเธอตัดสินใจบางอย่างไปแล้ว เธอจะไม่เปลี่ยนมันง่ายๆ ตราบใดที่จี้เฟิงไม่ขับไล่เธอ เธอก็จะอยู่ตลอดไป!
ดังนั้นในเวลานี้ เมื่อจี้เฟิงมีพฤติกรรมที่น่าอับอายต่อเซียวหยูซวนและถงเล่ย ในฐานะหญิงสาวคนหนึ่ง หานเซิ่นจึงรู้สึกเขินอายโดยสัญชาตญาณ หัวใจของเธอเต้นเร็วมากจนไม่กล้ามองหน้าพวกเขาทั้งสามคน
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจพฤติกรรมแบดบอยของจี้เฟิง เพียงแค่รู้สึกถึงความร้อนในร่างกาย....
ทางด้านเสี่ยวอิงก็รู้สึกเขินอายไม่น้อยไปกว่าหานเซิ่น ในเวลานี้เธอยืนอยู่กับหานเซิ่น แต่เมื่อจี้เฟิงโอบกอดถงเล่ยและเซียวหยูซวนเข้ามา เธอและหานเซิ่นก็กลับไปนั่งลงบนโซฟา แม้ว่าสายตาของพวกเธอจะจับจ้องไปที่ทีวี แต่ใครจะรู้ว่าจิตใจของพวกเธอล่องลอยไปอยู่ที่ไหนกันแน่
เซียวหยูซวนและถงเล่ยรับหน้าที่เตรียมอาหารเย็น ส่วนเสี่ยวอิงและหานเซิ่นกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเหลือบมองจี้เฟิงเป็นครั้งคราว และเมื่อพวกเธอมองเห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา มันทำให้พวกเธอรู้สึกลนลานจนสุดท้ายก็ไม่กล้านั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นต่อ พวกเธอรีบไปที่ห้องครัวและเรียนรู้วิธีทำอาหารกับเซียวหยูซวนและถงเล่ย....
ในตอนค่ำ หลังจากมื้ออาหารเย็น จี้เฟิงก็คุยกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยโดยพูดว่า “ดึกแล้วนะ เราไปเข้านอนกันเถอะ เร็วเข้า!”
ใบหน้าสวยๆของทั้งสองสาวยังคงแดงเล็กน้อย ในขณะที่สองบอดี้การ์ดสาวอย่างเสี่ยวอิงและหานเซิ่นนั้นหน้าแดงจนถึงหูแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีเขินอายของบอดี้การ์ดสาวทั้งสอง จี้เฟิงก็ชำเลืองมองเล็กน้อย แต่นอกจากยิ้มจางๆแล้วเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรและไม่ได้สนใจพวกเธออีก จากนั้นเขาลากตัวเซียวหยูซวนและถงเล่ยขึ้นไปชั้นบนเพื่อจัดการทำให้พวกเธอละทิ้งความยับยั้งชั่งใจให้ได้ในคืนนี้อย่างที่เขาตั้งใจไว้ และในเวลาเดียวกันก็ปล่อยให้เสี่ยวอิงและหานเซิ่นคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่พวกเธอจะต้องพบเจอไปอีกนาน...
เดิมทีนายน้อยของพวกเขาเป็นคนจริงจัง แต่ชีวิตมักมีหลายมุม ในความชั่วร้ายของชายหนุ่ม ไม่ว่าอย่างไรมันจะต้องมีวันแบบนี้เกิดขึ้นให้พวกเธอรับรู้อยู่ดีอย่างแน่นอน!
....จบบทที่ 1032 ~