ตอนที่ 135 สองป้อมปราการ(ฟรี)
(ตอนเดียวนะครับ ช่วงอาทิตย์นี้ ยกเว้นวันหยุดผม อาจจะลงได้ตอนเดียวหรือวันเว้นวัน เพราะว่างานประจำเยอะมากจนไม่มีเวลาแปลครับต้องขออภัย)
“มีทางลงตรงนี้ด้วย”
ลี่ลี่ยืนมองทางที่ลงไปตามกระดองของเต่าทมิฬ
เธอเข้าใจมาตลอดว่าการจะขึ้นลงจากเต่าทมิฬน้อยนั้นต้องให้มู่เหลียงเป็นคนนำทาง โดยใช้แผ่นหิน แต่ตอนนี้มีทางขึ้นลงธรรมดาให้เห็นแล้ว
ที่ความสูงกว่า 500 เมตร ลี่ลี่เดินตามทางบันไดไป และเมื่อมองลงไปข้างล่างเธอก็รู้สึกเสียวๆ ที่ฝ่าเท้าจึงหันมองไปทางอื่นทันที
“เรื่องนี้ก็ต้องจดเอาไว้ด้วย”
ลี่ลี่เอาม้วนหนังออกมาจากซอกเสื้อเกราะ พร้อมกับดินสอถ่าน
เธอจดไปด้วย เดินลงบันไดไปด้วย ตอนนี้เธอกำลังบันทึกการเปลี่ยนแปลงของเมืองเต่าทมิฬอยู่
“อยากตายรึไง”
ลี่เยว่พูดขึ้นเมื่อเห็นลี่ลี่เดินไม่มองทาง
ก่อนที่เธอจะรีบคว้าแขนของลี่ลี่มาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุ
“ดูทางด้วยสิ อยากจะจดบันทึกอะไร ก็ไปเขียนคืนนี้!”
“ก็แค่จดรายละเอียดอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
ลี่ลี่พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
เธอจดบันทึกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว เพื่อที่เธอจะเอาไปเขียนเรื่องราวการผจญภัย
“งั้นหรอ ถ้าอยากตายก็เชิญจดต่อไปได้เลย ตกลงไปฉันไม่ช่วยจริงๆ ด้วย”
ลี่เยว่พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
เพราะหากพลาดท่าก้าวผิดจนตกบันไดไป หากไม่หัวกระแทกตาย ก็ตกลงไปยังพื้นเบื้องล่างตายอยู่ดี
“ฉันก็สวมชุดเกราะอยู่นี้ไง”
ลี่ลี่เถียงอย่างข้างๆ คูๆ
“ฮึ่ม เอาเถอะ อย่าลืมหน้าที่ของเธอแล้วกัน”
ลี่เยว่บ่นก่อนที่จะมองไปข้างหน้าก็เห็นว่ามู่เหลียงกำลังเดินนำทุกคนอยู่
ก่อนที่ลี่เยว่จะโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ ลี่ลี่และพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เธอไม่สามารถเอาทุกอย่างไปเขียนลงในหนังสือของเธอได้ หากว่านั้นเป็นข้อมูลสำคัญ”
“นี่เธอคิดว่าฉันโง่รึไงลี่เยว่! ฉันเขียนเฉพาะเรื่องราวการเดินทางของฉันเท่านั้นแหละ!!”
ตอนนี้สิ่งที่เธอจดบันทึกคือของล้ำค่าสำหรับเธอ มันคือข้อมูลอ้างอิงที่จะใช้เขียนลงในหนังสือการผจญภัย
ลี่ลี่เคยอ่านเรื่องราวกับผจญภัยมามากมายหลายเรื่อง และยังรู้อีกว่านักผจญภัยที่ดีไม่ควรจะเขียนทุกอย่างตามใจชอบ ไม่งั้นมันจะพาพวกเขาไปสู่ความตายได้
ยิ่งรู้ความลับมากเท่าไร ความตายก็มักจะมาหาคนที่รู้มากเร็วเท่านั้น
หากเก็บเงียบไว้ได้และทำให้เป็นความลับต่อไป ก็ยังทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยืนยาว แต่หากความลับใดรั่วไหลออกไป เมื่อนั้นแหละ ที่ยมทูตจะถามหาทันที
“....”
มู่เหลียงชำเลืองมองทั้งสองกระซิบกระซากกันอยู่ด้านหลังของเขา และแน่นอนเขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
สิ่งที่เขาพอใจเลยก็คือเด็กสาวทั้งสองนั้นรู้ความมากกว่าที่เขาคิด และมีไหวพริบที่ดี อีกทั้งยังจริงจังกับเรื่องเหล่านี้อีกด้วย
กลุ่มคนที่เดินลงมาตามแนวบันไดหินก็มองสำรวจไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กระดองของเต่าทมิฬนั้นใหญ่มาก แม้แต่ขอบกระดองเองก็ยังมีเนื้อที่ให้สร้างบันไดหินขนาดใหญ่ลงมาได้
มู่เหลียงเดินไปตามบันได พร้อมกับมองขึ้นไปบนหน้าผาของกระดองเต่าทมิฬ
เขาคิดว่าหากมีต้นไม้หรือปลูกต้นไม้บางชนิดไว้ตามเชิงผาคงจะเป็นเรื่องดี หากต้นไม้โตก็อาจจะสร้างเป็นห้องพักไว้รองรับคนได้สักสองถึงสามพันคน หรือเป็นดังหลังคากันแดดกันฝนให้กับคนที่ขึ้นลงบันไดนี้ได้
“จะสร้างที่พักยังคงอันตรายเกินไป และยังไม่จำเป็นในตอนนี้”
มู่เหลียงส่ายหัวและบ่นออกมาเบาๆ
ตอนนี้แค่พื้นที่บนหลังเต่าทมิฬก็ยังมีคนอยู่ไม่เต็มเลยด้วยซ้ำ เชิงผาตรงนี้เหมาะที่จะปลูกต้นไม้ไว้ให้สัตว์อสูรเลี้ยงของเขาอาศัยเฝ้าทางขึ้นลงมากกว่า
ขณะที่คิดทั้งกลุ่มก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้ว
“มีอาคารอยู่ด้านหน้าด้วย!”
ลี่ลี่ชี้ไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจที่เห็นอาคารหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่
มันเป็นอาคารสูงประมานสิบเมตร ตั้งขวางทางขึ้นอยู่ และนี้คืออีกหนึ่งในด่านของเมืองเต่าทมิฬ
“อย่าส่งเสียงดังสิ! อย่าลืมเราต้องปกปิดตัวตน”
ลี่เยว่พูดก่อนจะชำเลืองมองไปด้านหลัง
เพื่อมั่นใจว่ากลุ่มคนที่ตามมาจะไม่ได้ยิน หรือรู้ว่าพวกเธออยู่ตรงนี้
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ระดับเสียงฉันดี!”
ลี่ลี่ตอบอย่างมั่นใจ
ในฐานะที่เคยเป็นหน่วยสังหารเธอได้รับการฝึกฝนมากอย่างดี แม้แต่เธอเองก็ยังมั่นใจว่าแม้แต่มู่เหลียงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอก็ไม่ได้ยินเสียง
ลี่เยวเลิกสนใจและเดินตามมู่เหลียงไปถึงหน้าทางเข้าป้อมปราการ
“ทำไมตัวหนังสือมันแปลกๆ”
ลี่ลี่เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นแผ่นหินที่สลักตัวอักษรสักอย่างที่เธออ่านไม่ออก
“ป้อมเฉือนคงนี้คือชื่อของมัน” (แปลว่าศาลาแขวน)
มู่เหลียงกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“โอ้ จริงด้วยมันเหมือนกับศาลาที่ถูกแขวนอยู่บนอากาศ”
แววตาของลี่ลี่เป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนที่จะเอาม้วนหนังสัตว์ออกมาจดบันทึกอีก
ป้อมปราการที่แขวนอยู่บนอากาศ สิ่งนี้จะเป็นที่โด่งดังในหมู่นักผจญภัยแน่
“นี่เธอ…”
ลี่เยว่อดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นมากุมขมับด้วยความอ่อนใจ
ตั้งแต่โหย่วเฟ่ยบอกว่าการอยู่ที่เมืองเต่าทมิฬก็สามารถเขียนเรื่องราวการผจญภัยได้ ลี่ลี่ก็เริ่มเขียนทุกอย่างที่เธอเห็นในเมือง หรือสิ่งที่เธอสนใจทันที
“ไม่เป็นไร ให้เธอเขียนไปเถอะ”
มู่เหลียงพูดออกมาลอยๆ พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
เขารู้ว่านี้เป็นโอกาสที่ดีในการเผยแพร่เรื่องของเมืองเต่าทมิฬออกไป ผ่านเรื่องราวที่เขียนโดยลี่ลี่ และเมื่อไรที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ผู้แข็งแกร่งมากมายจะหลั่งไหลมาที่เมืองเต่าทมิฬ เพื่อจะตรวจสอบความจริง
และยิ่งมีผู้แข็งแกร่งมาเยือนนั้นแปลว่าพวกเขานำผนึกสัตว์อสูรจำนวนมากติดตัวมาด้วย และไม่มีทางที่พวกเขาจะอดใจไหวกับอาหารภายในเมือง
หากมีคนซื้อขายในเมืองมากเท่าไร มู่เหลียงก็ยิ่งได้ผลึกสัตว์อสูรมากขึ้นเท่านั้น
เขาจึงสนับสนุนงานเขียนของลี่ลี่ ที่จะช่วยโฆษณาเมืองให้เขาในอนาคต
“ฉันจะเขียนคือชื่อกับที่ตั้งของป้อมแห่งนี้ ฉันจะไม่เขียนว่ามันมีรูปร่างยังไง”
ลี่ลี่หดคอก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“ฉันรู้”
มู่เหลียงยิ้มและพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ตอนนี้สัมผัสการรับรู้ของเขาดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงของลี่ลี่ชัดเจน
ก่อนที่เขาจะก้าวเดินเข้าไปในป้อมเฉือนคง และทิ้งให้ลี่ลี่ตกใจและสับสนกับความคิดที่ว่า มู่เหลียงได้ยินที่เธอพูดทั้งหมดเลยอย่างงั้นหรอ?
“ยิ้มอะไรของเขากัน เขาได้ยินงั้นหรอ?”
ลี่ลี่มองลี่เยว่ด้วยความรู้สึกสงสัย และกลัวๆ
“ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว”
ลี่เยว่เชิดใส่ก่อนที่จะเดินต่อตามหลังมู่เหลียงไป
ลี่ลี่เริ่มคิดแล้วว่ามู่เหลียงอาจจะได้ยินทุกอย่างที่พูด
“จริงงั้นหรอ!....”
ลี่ลี่หน้าแดง แต่เมื่อเห็นว่าพวกของเว่ยกังกับคนอื่นๆ กำลังใกล้เข้ามาเลยรีบตามหลังมู่เหลียงไป
ป้อมเฉือนคงนั้นไม่ได้ใหญ่มาก หากเทียบกับประตูซานไห่กับประตูเวยฉางนั้นมันดูเล็กไปเลย
แต่ที่นี่ก็ยังมีถึงสามชั้น และแต่ละชั้นก็มีความสำคัญต่างกัน
“คนจากทั้งสามกองทัพจะพลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าเวรที่นี่”
มู่เหลียงพูดขึ้นเมื่อเห็นทุกคนเข้ามาแล้ว
“เมื่อใครก็ตามขึ้นมาจากข้างล่างจะต้องผ่านที่นี่ และจะต้องมีการตรวจสอบทุกคน”
มู่เหลียงเวลานี้เหลือเพียงรอพวกโต๊ะ เตียง อุปกรณ์เครื่องใช้ส่งมายังป้อมเฉือนคง เขาจะให้ทหารเริ่มมาประจำการที่นี่
ไม่งั้นเสี่ยวไกแทบจะไม่ได้นอนเลย
“ขอรับ”
ซานหยางตอบอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวจะมีคนมาฝึกฝนและสอนงานให้ในไม่ช้า”
มู่เหลียงพูดอย่างใจเย็นกับซานหยาง
ตอนนี้มีการปรับเปลี่ยนกฏหลายอย่าง และมีการเพิ่มลดทำให้ต้องเรียนรู้กันใหม่
และเมื่อระดับแม่ทัพได้รับการอบรมสั่งสอนแล้ว เขาจะมีหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้กับทหารในกองทัพต่อไป
“ตัวข้าจะตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนขอรับ”
ซานหยางตอบอย่างจริงจัง
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดในป้อมเฉือนคงแห่งนี้ ใครก็ตามที่เข้ามาต้องฝากอาวุธไว้ที่นี่ ห้ามใครพกอาวุธขึ้นไปด้านบนเด็ดขาด”
ด่านทั้งสามที่สร้างขึ้นมานั้นล้วนมีจุดประสงค์ของมัน
ป้อมเฉือนคงนั้นเป็นสถานที่คัดกรองคนที่จะเข้าเมืองเต่าทมิฬ ห้ามใครนำอาวุธเข้าไป หากใครไม่ทำตามก็ขับไล่ออกไปทันที
“ข้าจะจดจำเอาไว้”
สีหน้าของซานหยางนั้นดูเอาจริงเอาจังอย่างมากในเวลานี้
เพราะใครๆ ก็คงจินตนาการได้ว่างานนี้จะยากขนาดไหน เพราะอาวุธสำหรับคนในโลกแห่งนี้เปรียบดั่งชีวิต และคงมีการปะทะกันเกิดขึ้นบ่อยๆ ที่นี่แน่
……
“ไปกันต่อเถอะ”
มู่เหลียงพูดเบาๆ
มีทางออกจากป้อมเฉือนคงอีกทางที่มีความกว้างประมาณสามเมตร ซึ่งนี้คือทางเข้าที่แท้จริงของป้อมเฉือนคง ทางเข้าจะถูกบีบ ทำให้คนนอกไม่มีทางที่จะแห่กันเข้ามาได้ในคราวเดียว
และช่องทางนี้จะมีประตูหิน แต่ประตูหินตรงนี้ปิดเปิดสะดวก กว่าประตูหินที่คิดจะติดตั้งให้ประตูเวยฉาง
ตอนที่สร้างป้อมปราการแห่งนี้มู่เหลียงใช้หลักการของลิฟต์ในการทำประตูเพียงยกขึ้นยกลงเท่านั้น
และทั้งหมดก็ได้เดินออกจากป้อมเฉือนคงไปตามแนวบันไดของกระดองเต่าทมิฬ
ยิ่งเดินลงไป ทางก็ยิ่งชันขึ้น มองขึ้นไปด้านบนก็เห็นแต่กระดองของเต่าทมิฬ
“ยังมีป้อมอื่นอีกงั้นหรอ”
ลี่ลี่เอาม้วนหนังสัตว์ออกมาจดเพิ่มอีก
เธอแอบมองมู่เหลียงด้วยแววตาที่หวังว่าจะได้คำตอบจากเขา
“ป้อมปราการต่อไปชื่อของมันคือป้อมเทียนเหมิน เป็นสถานที่รองรับคนนอกในด่านแรก และเป็นที่ตรวจสอบว่าคนที่มามีคุณสมบัติพอจะเข้าเมืองเต่าทมิฬได้ไหม”
มู่เหลียงลงมายืนอยู่ต่อหน้าป้อมเทียนเหมิง หน้าที่ของมันเหมือนกับประตูด่านแรกสู่เมือง เทียบได้กับแผนกต้อนรับ
มันคือสถานที่คัดกรองคน เพื่อไม่ให้คนแห่กันขึ้นไปบนเต่าทมิฬมากเกินไป เพราะถนนการค้าเองในตอนนี้ยังรองรับคนจำนวนมากไม่ไหว
“ที่นี่จะเป็นสถานที่ออกบัตรผ่านเข้าเมืองยังงั้นหรอขอรับ”
ซานหยางถามด้วยความนอบน้อม
“หลังจากตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ที่นี่พวกเขาจะได้รับบัตรผ่าน”
เดิมทีมู่เหลียงคิดถึงหนังสือเดินทางในโลกเดิมของเขา และตั้งใจจะตั้งชื่อบัตรผ่านแบบเดียวกัน แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว ใช้คำว่าบัตรผ่านก็น่าจะเพียงพอ
ป้อมเทียนเหมินนั้นไม่ต่างจากป้อมเฉือนคงมากนัก เพียงแต่มีจำนวนชั้นที่มากกว่าหนึ่งชั้น
“นายท่าน ตัวข้านั้นไม่รู้หนังสืออาจจะขอให้ใครสักคนที่อ่านเขียนได้มาช่วยงานนี้”
ซานหยางก้มหน้าลงและพูดอย่างหนักใจ
เขานั้นเขียนไม่ได้อ่านไม่ออก อาจจะมีปัญหาเวลาตรวจบัตรผ่าน
“เดี๋ยวจัดการเรื่องนี้ให้”
มู่เหลียงคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า
ด้วยการทำแบบนี้เขาจะต้องแบ่งหน่วยงานและหน้าที่ระหว่างสายนั่งโต๊ะกับสายปฏิบัติการไว้ด้วย
“เฮ้อ….”
ซานหยางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“....”
เมื่อได้เห็นท่าทางของซานหยางเว่ยกังก็ถึงกับคิ้วขมวดและคิดอยู่พักหนึ่ง เขาคิดว่าเขาพอจะหาใครมาช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้บ้าง
เขาเองก็พึ่งจะเรียนจนอ่านเขียนได้เมื่อไม่นานมานี้ แต่การอ่านนั้นทำให้เขาปวดหัวอย่างมาก ซึ่งสำหรับเขาแล้วล่าสัตว์อสูรยังง่ายกว่า
“นายท่าน กระผมขอคนที่อ่านออกเขียนได้มาช่วยงานในหน่วยของกระผมด้วยได้ไหมขอรับ”
เว่ยกังพูดขึ้นหลังจากคิดเรื่องนี้ได้ และพูดอย่างเกรงใจ
“กลัวว่าหากไม่มีคนที่แม่นยำเรื่องการอ่านเขียน การทำบันทึกหรือตรวจสอบอาจจะผิดพลาดได้”
“ก็ได้”
มู่เหลียงตอบพร้อมกับมุมปากที่กระตุกเล็กน้อย และเหลือบไปมองทุกคน
ก่อนที่เขาจะพูดอย่างสบายๆ
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาต้องออกล่าแล้ว”
พวกเขาคิดว่าการจะอยู่ประจำที่นี่ไม่ต้องเรียนรู้ตัวหนังสือเพิ่มเลยงั้นหรอ
ฝันไปเถอะ ยังไงทุกคนก็ต้องอ่านออกเขียนได้
เพราะมู่เหลียงเองก็ต้องผ่านระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานถึง 9 ปีเต็ม และเขาไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะให้ทุกคนอ่านออกเขียนได้เด็ดขาด
เจ้าหน้าที่ระดับกลางและสูงของเมืองเต่าทมิฬทุกคนจะต้องอ่านออกเขียนได้คล่อง
ไม่งั้นอนาคตของพวกเขาในเมืองเต่าทมิฬจะถูกจำกัด
“....”
ลี่เยว่เห็นถึงรอยยิ้มมุมปากของมู่เหลียง และรู้สึกสงสารเว่ยกังกับซานหยางที่กำลังทำท่าทางมีความสุขอยู่
พวกเขาไร้เดียงสาเกินไป
เธอรู้ว่าในเมืองตอนนี้มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ตัวหนังสือและอ่านออกเขียนได้ หากว่ามู่เหลียงตบปากรับคำแบบนี้ เธอนั้นพอจะเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นได้เลยว่าคนที่อ่านออกเขียนได้จะเจองานหนักขนาดไหน</br >