ตอนที่ 446 พื้นที่ชั้นแรก
ตอนที่ 446 พื้นที่ชั้นแรก
เมื่อไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออกนักรบระดับสูงก็ถูกเกณฑ์มาเข้าร่วมกองทัพเต็นท์ทองคำเป็นจำนวน 100,000 คน
ไซเรนฮิลล์เป็นหุบเขาที่เงียบสงัดและมันก็ไม่มีแม้แต่เสียงลมเล็ดลอดผ่านมาให้ได้ยิน มันจึงทำให้สมาชิกภายในกองทัพรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก และมันก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรรอคอยพวกเขาอยู่ตรงหน้า ซึ่งแน่นอนว่าเซี่ยเฟยกับชานี่ก็ได้เข้าร่วมกองทัพที่เดินทางเข้ามาในไซเรนฮิลล์ครั้งนี้ด้วย
รถของอูดี้อยู่รั้งท้ายของกองทัพ เพราะเขาไม่คิดที่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย และสาเหตุที่เขาได้เดินทางเข้ามายังหุบเขาแห่งนี้ นั่นก็เป็นเพราะธรรมเนียมปฏิบัติที่ราชาแห่งเต็นท์ทองคำจะต้องเป็นผู้นำกองทัพเข้ามาด้วยตัวเอง
ภาพที่เซี่ยเฟยเห็นคืออูดี้กำลังนั่งอยู่บนรถเปิดประทุนสีทอง โดยใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าไม่พอใจ ซึ่งมันก็คงจะเป็นเพราะเขาถูกบังคับให้ต้องเดินทางมาที่นี่เพราะตำแหน่งผู้ครองบัลลังก์
ข้างกายของอูดี้คือเหล่าบรรดานักรบระดับสูงทั้งหมดของเซิร์ก ซึ่งนอกเหนือจากหลี่โม่แล้วมันก็ยังมีวินดี้และทอมมี่ ผู้ซึ่งเป็น 2 ใน 7 ยอดนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้อูดี้ยังได้แต่งตั้งนานี่และบาทอรี่ขึ้นมาเป็นยอดนักรบศักดิ์สิทธิ์ก่อนการเดินทางในครั้งนี้ ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดนักรบที่อยู่ใน 30 อันดับแรกของการจัดอันดับที่เพิ่งประกาศออกมาในรอบล่าสุด
“ว่ากันว่าไซเรนฮิลล์เป็นมิติขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยท่านเทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำ โดยในมิตินี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ชั้น ซึ่งในแต่ละชั้นได้รับการคุ้มกันจากผู้พิทักษ์ที่เทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำได้คัดสรรมาเป็นอย่างดี”
“เมื่อเราเข้ามาในมิตินี้แล้วทางออกจะถูกเปิดออกในพื้นที่ชั้นที่ 5 อีก 14 วันต่อมา และถ้าหากว่าเราไม่สามารถผ่านพื้นที่ทั้งห้าชั้นในช่วงเวลานี้ได้ เราก็จะถูกกักขังเอาไว้ในพื้นที่แห่งนี้ตลอดกาล” ชานี่อธิบายสถานการณ์ให้เซี่ยเฟยฟัง
ปัจจุบันเซี่ยเฟยสวมใส่ชุดเครื่องแบบของนักรบเซิร์กซึ่งมีทั้งหน้ากากและฮู้ดช่วยปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ นอกจากนี้เขายังเดินตามหลังชานี่อย่างใกล้ชิดคล้ายกับเขาเป็นผู้ติดตามของชายชรา และเขายังใช้วิชาพรางจิตตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ใครจับสังเกตถึงตัวตนของเขาที่แฝงกายเข้ามาในกองทัพของศัตรู ส่วนขนอุยก็ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อของเซี่ยเฟยทำให้การมองผ่าน ๆ จะทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนคนอ้วนลงพุง
“เราต้องออกไปยังชั้นที่ 5 ให้ได้ในเวลาที่กำหนดสินะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับ
“หลังจากทุกคนเข้ามาจะได้รับแผนที่นำทางและอุปกรณ์บันทึกคะแนน ซึ่งคะแนนนี้จะได้รับหลังจากสังหารศัตรูและการข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ในมิติแห่งนี้ เมื่อคุณได้เดินทางไปจนถึงชั้นที่ 5 และได้พบกับนักบวชที่วิหาร คุณก็สามารถที่จะนำคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่คุณต้องการได้”
“ตามธรรมเนียมราชาจะเป็นคนแลกเปลี่ยนในสิ่งที่เขาต้องการ แต่เหตุการณ์ทุกอย่างคงจะแตกต่างออกไปถ้าหากว่าเราสามารถสังหารอูดี้ได้สำเร็จ”
“ไม่ใช่ว่าใครเป็นคนสังหารศัตรูแล้วพวกเขาจะเป็นคนได้คะแนนงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ในเมื่อราชาคือคนนำกองทัพคะแนนทั้งหมดจึงถูกบังคับให้ต้องส่งให้ราชาในตอนจบ ท้ายที่สุดมันก็ไม่เคยมีความเท่าเทียมในเผ่าเซิร์กตั้งแต่แรกแล้ว” ชานี่กล่าวพร้อมกับยักไหล่
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อเขามองย้อนกลับไปเขาก็ได้เห็นหลี่โม่ที่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาแห่งความโง่เขลา แล้วถึงแม้ว่าชายคนนี้จะสูญเสียความทรงจำดั้งเดิมของเขาไปจนหมดแล้ว แต่ความแค้นที่มีต่อเซี่ยเฟยยังคงฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขาอยู่เสมอ มันจึงทำให้เขาได้จ้องมองไปยังร่างที่คุ้นเคยตามสัญชาตญาณ
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยอดที่จะรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้ และถึงแม้ว่าเขาจะจดจำใบหน้าของหลี่โม่ได้ แต่ตอนนี้ร่างกายของอีกฝ่ายก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อน
“พวกเราไปข้างหน้ากันเถอะ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“อย่าพึ่งถามเยอะ ผมบอกได้แค่ว่าในกองทัพมีศัตรูเก่าของผมปะปนอยู่ในนั้นด้วย”
ชานี่เก็บคำถามของตัวเองเอาไว้ก่อนที่เขาจะเร่งฝีเท้าเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยก็ยังคงติดตามชายชราไปอย่างใกล้ชิด โดยแจ้งว่าขอเป็นผู้ติดตามที่เคลื่อนไหวตามอารมณ์ของชายชรา
“สวัสดีท่านชานี่”
“ครั้งนี้พวกเราคงต้องหวังพึ่งท่านชานี่แล้ว”
เหล่านักสู้ชั้นยอดที่มารวมตัวกันเริ่มทักทายชานี่อย่างเคารพ เพราะท้ายที่สุดชายชราคนนี้ก็เป็นถึงนักสู้อันดับที่ 3 ในกระดานจัดอันดับ เขาจึงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในเผ่าพันธุ์มากพอสมควร
แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ได้ให้ความสนใจกับเซี่ยเฟยผู้ซึ่งเป็นผู้ติดตามของชานี่เลย นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังใช้วิชาพรางจิตอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตัวตนของเขาเป็นเสมือนอากาศที่ไม่มีใครให้ความสนใจ
ชานี่กับเซี่ยเฟยค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปจนถึงกองหน้าของกองทัพที่มีการแบ่งกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่ม แน่นอนว่าทุกคนสามารถจดจำชานี่ได้ทันทีแล้วพวกเขาก็เริ่มเชิญชวนชายชราพูดคุยในระหว่างที่พวกเขาเดินหน้าไปตามเส้นทาง
ในที่สุดหลังจากที่พวกเขาได้เดินทางมาอย่างยาวนาน พวกเขาก็ได้พบกับประตูบานยักษ์ที่สร้างขึ้นในหุบเขา โดยประตูบานนี้ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ และบนบานประตูก็ได้มีการแกะสลักลวดลายประหลาดเอาไว้อย่างมากมาย
“ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงประตูแห่งความว่างเปล่าแล้ว”
“นี่สินะคือทางเข้าไปยังบททดสอบของเทพเจ้า”
“รีบส่งรายงานไปที่กองหลังบอกว่ากองหน้าได้เดินทางมาจนถึงประตูแล้ว”
เซิร์กหลายสิบคนตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ ซึ่งคนเหล่านี้สนใจเพียงแต่สมบัติที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในนั้น โดยลืมไปเสียสนิทว่ามันก็มีอันตรายที่รอคอยพวกเขาอยู่เช่นกัน
“ประตูบานนี้ถูกเรียกว่าประตูแห่งความว่างเปล่า ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำ เมื่อประตูถูกเปิดออกมันจะยอมรับนักรบให้เข้าไปด้านในเพียงแค่ 100,000 คนเท่านั้น และมันก็จะเปิดออกอีกครั้งในอีก 14 วันหลังจากที่พวกเราได้เข้าไปด้านใน” ชานี่กล่าวพร้อมกับแหงนหน้ามองประตู
“จำเอาไว้ให้ดี ๆ ว่าเราจะต้องออกมาจากไซเรนฮิลล์ให้ได้ใน 14 วัน ไม่อย่างนั้นประตูบานนี้จะหายไปและพวกเราจะไม่สามารถหลบหนีออกมาจากดินแดนของเทพเจ้าได้อีกเลย”
“ด้านในถูกตัดระบบสื่อสารทุกอย่างเลยใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ใช่”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“จำเอาไว้ว่าคนของเราจะสวมปลอกแขนสีขาวที่แขนด้านซ้าย ดังนั้นถ้าหากว่ามันมีการต่อสู้เกิดขึ้น พยายามอย่าทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ…”
ชานี่พยายามเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้ แต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้ฟังรายละเอียดพวกนั้นเลย เพราะเขารู้สึกเจ็บที่แขนซ้ายราวกับว่ามันมีเข็มเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงแขนของเขาอยู่ ซึ่งความเจ็บที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับที่สูงมากจนทำให้เขาแทบที่จะไม่สามารถทนรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้
ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มก็รู้สึกคล้ายกับมันมีเสียงเรียกจากประตูบานสีดำ เขาจึงเดินเข้าไปหาประตูที่มีความสูงมากกว่า 100 เมตรอย่างไร้สติ
ทหารเซิร์กส่วนใหญ่ยังคงยุ่งอยู่กับการส่งข่าวไปยังกองหลัง ขณะที่ชานี่กำลังพูดคุยกับนักรบศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ชายชรารู้จักเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีใครทันสังเกตว่าผู้ติดตามของชานี่ได้หายตัวไปแล้ว
แว๊บ!
หลังเซี่ยเฟยได้สติกลับคืนมาอีกครั้งเขาก็ได้พบกับแม่น้ำที่อยู่ด้านหน้าและต้นไม้ที่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างมากมาย โดยบนพื้นมีใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาจนกลายเป็นสีเหลือง แล้วมันก็มีเสียงแมลงเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ
เมื่อชายหนุ่มหันหลังกลับเขาก็ได้พบว่าประตูแห่งความว่างเปล่าได้มาอยู่ข้างหลังเขาแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเขาได้เข้ามาในประตูแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นายมาถามฉัน แล้วฉันจะต้องถามใคร?” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
“เมื่อกี้นายเดินไปที่ประตูแห่งความว่างเปล่าเหมือนคนไม่มีสติ ไม่ว่าฉันจะพยายามเรียกนายยังไงแต่นายก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด แล้วลองเดาดูสิว่าหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดอะไร?”
“นายค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ประตูบานสีดำ ก่อนที่นายจะเดินผ่านประตูบานนั้นไปเหมือนกับนายเดินทะลุกำแพง”
“อะไรนะ?! นายกำลังบอกว่าฉันเดินทะลุประตูเข้ามางั้นเหรอ?”
“นี่นายไม่รู้ตัวเลยรึไง? ตอนแรกฉันก็คิดว่านายแอบฝึกวิชาอะไรลับหลังฉัน ถึงทำให้นายเดินทะลุประตูเข้ามาได้แบบนั้น”
เซี่ยเฟยส่ายหัวด้วยใบหน้าที่จริงจัง ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปจับรอยสักที่แขนซ้ายเนื่องมาจากความเจ็บปวดยังคงไม่ทุเลาลง
“เมื่อกี้ฉันรู้สึกปวดแขนซ้ายมากและฉันก็รู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังเรียกหาฉันอยู่ แต่หลังจากนั้นมันก็เหมือนฉันสติหลุดไปเลย” เซี่ยเฟยกล่าว
“รอยสักนั่นใช่รอยสักที่เทพเจ้าดำได้ทิ้งเอาไว้ให้หรือเปล่า?” อันธกล่าว
“ใช่”
“รอยสักบนแขนซ้ายของนายเกิดขึ้นจากเทพเจ้าดำ ส่วนประตูบานสีดำก็ถูกสร้างขึ้นจากเทพเจ้าดำด้วยเหมือนกัน บางทีมันอาจจะมีการเชื่อมโยงอะไรบางอย่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้ มันจึงทำให้นายเดินผ่านประตูเข้ามาได้เหมือนกับเล่นกล” อันธสันนิษฐาน
“มันไม่น่าจะมีคำอธิบายอะไรที่ดีกว่านี้แล้วล่ะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ถอดเสื้อเพื่อปล่อยขนอุยออกมาและตรวจสอบรอยสักที่แขนซ้าย ก่อนที่เขาจะได้เห็นว่ารอยสักยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ขนอุยส่งเสียงร้องออกมาอย่างเกียจคร้านและกระโดดขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเซี่ยเฟยในตำแหน่งประจำของมัน ก่อนที่มันจะตื่นตัวขึ้นมาในทันทีเนื่องมาจากชายหนุ่มส่งความรู้สึกผ่านทางพันธสัญญาให้มันเตรียมพร้อมที่จะทำการต่อสู้
ทันใดนั้นมันก็มีลำแสงถูกส่งออกมาในระยะไกลพุ่งตรงไปที่เซี่ยเฟยด้วยความรวดเร็ว ซึ่งชายหนุ่มก็พยายามที่จะหลบเลี่ยงลำแสงนี้ แต่จู่ ๆ เขากลับไม่สามารถขยับขาของตัวเองได้ราวกับว่ามันมีใครได้มาจับขาของเขาไว้
ตูม!
ลำแสงพุ่งเข้าปะทะร่างของเซี่ยเฟยและก่อให้เกิดแสงสว่างที่ส่องประกายไปทั่วทั้งบริเวณ
วินาทีต่อมาชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรรัดที่ข้อมือซ้าย และเมื่อเขาได้มองลงไปเขาก็ได้พบกับอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายนาฬิกาปรากฏขึ้นมาบนข้อมือโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เมื่อเขายกมือขึ้นมามองดูยังนาฬิกาที่ได้รับมาใหม่นี้ เขาก็ได้เห็นหน้าจอแสงที่ระบุว่าตอนนี้เขามีแต้มอยู่ 0 คะแนน
นอกจากนี้มันยังมีแผนที่ของสถานที่แห่งนี้เอาไว้ให้บนนาฬิกาด้วย ซึ่งมันก็ได้ทำเครื่องหมายเอาไว้ทั้งหมดว่ามันมีภูเขา, แม่น้ำ, ถนนและฝูงสัตว์อสูรอยู่ตรงไหนบ้าง
“นี่สินะอุปกรณ์ในไซเรนฮิลล์ที่ชานี่ได้พูดถึง” อันธกล่าว
“ฉันก็ว่าแบบนั้นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“แล้วตอนนี้พวกเราจะเอายังไง?”
“ฉันคิดว่าอูดี้อาจจะต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีก 2-3 ชั่วโมง ในเมื่อเราเข้ามาก่อนพวกเขาแล้วนี่ก็เป็นโอกาสดีสำหรับพวกเรา” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องมองไปยังแผนที่บนหน้าจอ
“บนแผนที่ระบุตำแหน่งของสัตว์อสูรเอาไว้อย่างชัดเจน ถ้าฉันเดาไม่ผิดการทดสอบในพื้นที่ชั้นแรกน่าจะเกี่ยวกับสัตว์อสูรพวกนี้ แล้วนายลองเดาดูสิว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะหมายถึงอะไร?”
“หมายถึงคะแนนงั้นเหรอ?” อันธถามอย่างสงสัย
“นายลืมไปหรือเปล่าว่าฉันฝึกวิชามนตราอสูร ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะได้ทดลองใช้วิชานี้ในรูปแบบอื่นบ้างแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“รีบ ๆ เข้ามาล่ะอูดี้ คราวนี้ฉันจะเตรียมของขวัญสุดพิเศษเอาไว้กับแกเอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
***************