ตอนที่ 445 แนวป้องกันสุดท้ายของมนุษยชาติ
ตอนที่ 445 แนวป้องกันสุดท้ายของมนุษยชาติ
“แล้วแบบนี้เลยูตี้จะถูกเรียกตัวมาด้วยหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างจริงจัง
ในบรรดาเหล่าเซิร์กทั้งหมดเลยูตี้คือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับเซี่ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาก็ยังเป็นศัตรูเพียงคนเดียวที่ชายหนุ่มไม่ต้องการจะเผชิญหน้าด้วย ดังนั้นถ้าหากเลยูตี้เดินทางไปยังไซเรนฮิลล์ มันก็จะส่งผลกระทบต่อการลงมือในครั้งนี้อย่างมาก
“เรื่องนี้ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ฉันรู้แค่ว่าอูดี้รีบเดินทางไปหาเลยูตี้แล้ว แต่ผลลัพธ์ของการเจรจาจะเป็นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะคาดเดาได้” ชิววี่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ
“ถ้าเลยูตี้เข้าร่วมการเดินทางด้วย คุณจะล้มเลิกแผนการในครั้งนี้หรือเปล่า?” ชิววี่กล่าวถามอีกครั้ง
“ล้มเลิก? ในชีวิตผมไม่มีคำว่าล้มเลิก ไม่ว่ายังไงผมก็จะไปไซเรนฮิลล์แน่นอนและอูดี้ก็ต้องตายอยู่ในนั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้พูดเสียงดังนักแต่ทุกถ้อยคำของเขาดังกึกก้องอยู่ในใจของทุกคนอย่างชัดเจน ชิววี่กับบิทินี่จึงมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยความประหลาดใจ และในเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้นบิทินี่ก็กำลังมองไปที่เซี่ยเฟยอย่างเหม่อลอย
—
ณ หุบเขาที่เต็มไปด้วยพายุหิมะซึ่งเป็นสถานที่พำนักของเลยูตี้
ทุกครั้งที่อูดี้เดินทางมาที่นี่เขาก็รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น และหลังจากที่เขาเดินเข้ามาในตัวอาคาร เขาก็พยายามปรับลมหายใจเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นบนร่างกาย
“ขอแสดงความยินดีด้วยที่ไซเรนฮิลล์ได้ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนท่านจะได้รับความเอ็นดูจากท่านเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำนะ” เสียงเลยูตี้ดังขึ้นมาจากระยะไกล
หมิงจู้ยกเก้าอี้มาให้อูดี้นั่งพร้อมกับชงชาร้อน ๆ มาให้เขาดื่มเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น
“ท่านนักพรต ฉันเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องไซเรนฮิลล์” อูดี้กล่าว
“ไม่ทราบว่าท่านราชาต้องการอะไรอย่างนั้นเหรอ?” เลยูตี้ถาม
“ท่านนักพรตทุกครั้งที่ไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออก ราชาแห่งเต็นท์ทองคำจะต้องรวบรวมกองทัพนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อเดินทางเข้าไปยังสถานที่พิเศษแห่งนั้น เพราะท้ายที่สุดถึงแม้ว่ามันจะมีสมบัติซุกซ่อนอยู่ในไซเรนฮิลล์อย่างมากมาย แต่มันก็เป็นสถานที่ที่อันตรายสำหรับพวกเรามากอยู่ดี” อูดี้กล่าวด้วยความเคารพ
“ตอนที่ท่านเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำสร้างสถานที่แห่งนั้นขึ้นมา นั่นก็เพราะว่าพวกท่านต้องการที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของคนรุ่นหลังในเผ่าพันธุ์ของเรา ดังนั้นพวกท่านจึงทิ้งทั้งความเสี่ยงและโอกาสเอาไว้ในเวลาเดียวกัน”
“แต่ในครั้งนี้เผ่าพันธุ์เซิร์กกำลังอยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์เนื่องมาจากสติปัญญาของคุณ และกองทัพของเต็นท์ทองคำในคราวนี้ย่อมเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน การเดินทางเข้าไปในไซเรนฮิลล์คราวนี้ย่อมไม่ทำให้กองทัพได้รับความเสียหายเหมือนในยุคราชาคนก่อน ๆ” เลยูตี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเลยูตี้ตอนนี้นักสู้ชั้นแนวหน้าของเราต่างก็ล้วนแล้วแต่ออกไปทำสงครามในดินแดนของมนุษย์และยากที่จะกลับมาในช่วงระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นกองกำลังของเต็นท์ทองคำในตอนนี้จึงจัดว่าอยู่ในระดับที่อ่อนแอมาก” อูดี้กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไปอีกว่า
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าฉันจะเป็นราชาที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์หรือเปล่า ฉันแค่หวังว่าครั้งนี้เราจะเก็บเกี่ยวสมบัติกลับมาจากไซเรนฮิลล์ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่ายังไงไซเรนฮิลล์ก็จะถูกเปิดออกเพียงครั้งเดียวในรอบนับพันปี ซึ่งถ้าหากว่าพวกเราพลาดโอกาสนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะได้รับโอกาสอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามฉันก็ขอความกรุณาให้ท่านนักพรตเดินทางเข้าไปในไซเรนฮิลล์ครั้งนี้พร้อมกับพวกเราด้วย”
หลังจากพูดจบอูดี้ก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับเลยูตี้เพื่อเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย
ในดินแดนเซิร์กมักจะมีคำพูดติดปากกันอยู่ว่าอูดี้คือกษัตริย์ ขณะที่เลยูตี้คือนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสองตำแหน่งนี้ต่างก็สามารถปกครองอาณาจักรได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นอูดี้ก็ไม่ใช่คนที่ทะนงตัว เพราะเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นเขาก็พร้อมที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากเลยูตี้ได้เช่นกัน
“ท่านอูดี้นั่งลงเถอะ มันไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการช่วยแต่มันเป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถช่วยได้ต่างหาก” เลยูตี้กล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ท่านนักพรตหมายความว่ายังไง?” อูดี้อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ท่านราชาคุณรู้หรือไม่ว่าตอนนี้อาจารย์มีพลังอยู่ในระดับไหนแล้ว? ย้อนกลับไปในตอนที่ท่านเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำได้ทิ้งไซเรนฮิลล์เอาไว้ให้กับเผ่าพันธุ์ของเรา พวกท่านก็หวังที่จะให้มันเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป แต่ตอนนี้อาจารย์ไม่ใช่คนทั่วไปอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าอาจารย์จะต้องการเข้าไปด้านในไซเรนฮิลล์แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ เนื่องมาจากความแข็งแกร่งของอาจารย์อยู่เกินกว่าขีดจำกัดสูงสุดที่จะเข้าไปด้านในไซเรนฮิลล์” จู่ ๆ หมิงจู้ก็พูดแทรกขึ้นมา
คำอธิบายนี้ทำให้อูดี้รู้สึกตกตะลึงและเขาก็เริ่มแอบคิดภายในใจว่าเลยูตี้ได้กลายเป็นเทพเจ้าที่อยู่สูงกว่าพวกเขาไปแล้วงั้นเหรอ?
ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วทำไมเขายังคงอยู่ในดินแดนเซิร์ก แทนที่จะเดินทางไปยังดินแดนของเหล่าทวยเทพ?
“นายไม่มีสิทธิ์พูดต่อหน้าราชาแห่งเต็นท์ทองคำนะ” เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเลยูตี้เป็นคำตำหนิ แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านความตำหนินั้นมากลับเป็นความภาคภูมิใจในความฉลาดของลูกศิษย์ของตัวเอง
อูดี้ไม่พูดอะไรอีกโดยที่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความอับอาย
ในฐานะที่เขาเป็นราชาแห่งเต็นท์ทองคำเขาควรจะเดินเชิดหน้าไปได้ทุกที่ แต่เขากลับต้องรู้สึกต่ำต้อยทุกครั้งที่ได้พบกับเลยูตี้ และนั่นก็เป็นปมด้อยเพียงปมเดียวที่เขายังไม่สามารถจะหาทางแก้ไขมันได้
ในเวลาเดียวกันเลยูตี้ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างยินดีที่ได้เห็นอูดี้ไม่สามารถที่จะแสดงอำนาจของราชาออกมาได้
“ท่านนักพรตมันไม่มีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ เหรอ?” อูดี้กัดฟันพยายามขอร้องอีกครั้ง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากจริง ๆ แต่มันก็ใช่ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยเหลือได้ซะทีเดียว” เลยูตี้กล่าว
“เชิญท่านนักพรตบอกมาได้เลย ตราบใดก็ตามที่คุณช่วยเหลือฉันได้ เผ่าพันธุ์ของเราจะตอบแทนความเมตตาของคุณอย่างงาม” อูดี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
นี่คือสิ่งที่เลยูตี้กำลังรอคอย เพราะตั้งแต่ที่เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในไซเรนฮิลล์ เขาก็ได้คิดแผนการนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้วและบทสนทนามันก็เป็นไปตามแผนการที่เขาได้วางเอาไว้
“เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้รับศิษย์มาใหม่ ซึ่งถ้าหากว่าเขาเดินทางไปพร้อมกับกองทัพของคุณทุกอย่างย่อมประสบความสำเร็จราบรื่นอย่างแน่นอน” เลยูตี้กล่าว
“ถ้าได้แบบนั้นก็ดีเลย” อูดี้กล่าว
เลยูตี้โบกมือให้สัญญาณก่อนที่หลี่โม่ซึ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเทียมจะค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมาจากความมืด โดยตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขากำลังเปลือยเปล่าและเขาก็กำลังกัดชิ้นเนื้อดิบที่ยังคงเปื้อนเลือดภายในมือ
ดุร้าย! รุนแรง! โหดเหี้ยม!
คำนิยามเหล่านี้พอจะช่วยอธิบายลักษณะของสิ่งมีชีวิตเทียมนี้ได้ และการปรากฏตัวของหลี่โม่ก็ทำให้อูดี้รู้สึกกลัวจนแทบที่จะกระโดดตกเก้าอี้
เมื่อได้เห็นท่าทางตื่นตกใจของอูดี้ เลยูตี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น
“มินนี่ตามท่านราชาไปซะ! แล้วทำตามคำสั่งของเขาอย่าได้ขัดข้อง ถ้าหากเขาบอกให้นายฆ่านายก็ต้องฆ่า ถ้าหากเขาบอกว่าให้นายตายก็ต้องตายเข้าใจชัดเจนนะ?”
หลี่โม่พยักหน้ารับอย่างโง่เขลาก่อนที่เขาจะเดินมายืนอยู่เคียงข้างอูดี้ ขณะที่มือยังคงยกเนื้อดิบขึ้นมาแทะจนทำให้เลือดสด ๆ เปื้อนชุดของอูดี้ไปหมด และกลิ่นเลือดที่กำลังลอยมาก็ทำให้ราชาคนนี้รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
“ถึงแม้ว่ามินนี่จะดูน่าเกลียดไปบ้างแต่เขาก็เป็นลูกศิษย์ที่ซื่อสัตย์ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะขอให้เขาทำอะไรเขาก็จะทำตามคำสั่งของคุณโดยไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็สามารถให้คำรับรองได้เลยว่าทั่วทั้งเผ่าพันธุ์เซิร์กแล้วเขาก็มีความแข็งแกร่งเป็นรองแค่ฉันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น” เลยูตี้กล่าว
แข็งแกร่งเป็นรองเพียงแค่เลยูตี้แค่คนเดียว!?
คำพูดนี้ทำให้อูดี้ตกใจมากแล้วถ้าหากว่าเลยูตี้ไม่ได้พูดคำนี้ขึ้นมาเอง เขาย่อมไม่มีทางเชื่อถือคำพูดนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเลยูตี้ให้การรับรองอูดี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดเพิ่มเติมอีก และท้ายที่สุดถึงแม้ว่าหลี่โม่จะน่าเกลียดมากแค่ไหน แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือทหารที่แข็งแกร่งและเชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด
เลยูตี้ได้เสนอความช่วยเหลือนี้แลกมากับการที่เขาจะได้มีสิทธิ์เลือกสมบัติทั้งหมด 30 รายการที่เต็นท์ทองคำจะได้รับมาจากไซเรนฮิลล์ ซึ่งอูดี้ก็ตอบตกลงแต่โดยดี เพราะมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของตัวเขาเอง
“ครั้งที่แล้วฉันก็ได้ลูกศิษย์ที่เป็นใบ้กลับมา ตอนนี้ฉันก็ได้ลูกศิษย์ประหลาดของเขากลับมาอีกคน” อูดี้บ่นพร้อมกับส่ายหัวแล้วถอนหายใจหลังจากที่เขาเดินทางออกมาจากที่พักของเลยูตี้
—
“ไทสันตอนนี้พวกเราไม่มีทางออกแล้วนะ” วิลเลียมกล่าวอย่างอดกลั้นและถึงแม้ว่าพวกเขาจะหารือในห้องทำงานของไทสันมานานกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว แต่ท้ายที่สุดคำตอบที่พวกเขาได้รับก็มีเพียงแค่ความสิ้นหวังอยู่ดี
กองยานทางใต้ที่อยู่ภายใต้การนำทัพของเลย์ตันได้ล่าถอยมาจนถึงแนวรบทางด้านตะวันตกแล้ว ทำให้กองยานหลักทั้งสามกองได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ยานรบภายในกองก็สูญเสียไปแล้วมากกว่าครึ่ง มันจึงทำให้พวกเขาไม่อาจดีใจกับสถานการณ์ครั้งนี้ได้
“ฉันรู้” ไทสันลุกยืนขึ้นพร้อมกับมองออกไปยังช่องหน้าต่างเพื่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“พวกเรามาสู้กับพวกมันกันเถอะ ตอนนี้กองทหารทั้งหมดอยู่ที่แนวรบทางตะวันตกหมดแล้วแม้แต่กองยานอิสระก็อยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเราล่าถอยไปมากกว่านี้เราจะถูกบังคับให้เข้าไปในดินแดนของเผ่านาวีแล้วนะ” เลย์ตันกระทืบเท้าและส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ
“นายคิดว่ายังไงวิลเลียม?” ไทสันกลับมานั่งยังที่นั่งของตัวเองหลังจากปล่อยให้บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดอยู่สักพัก
“ตอนนี้ดินแดนพันธมิตรกว่า 70% ได้ถูกพวกเซิร์กยึดครองไปจนหมดแล้ว และถ้าหากว่าเรายังไม่สู้ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเราควรจะสู้กับพวกมันตอนไหน”
ไทสันพยักหน้ารับอย่างเงียบขรึม
“อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีแนวรบทางทิศตะวันตกคอยต้านเอาไว้ ป้อมปราการบนดาวเคราะห์ทั้ง 1,165 ดวงไม่ใช่สิ่งที่สร้างเอาไว้เล่น ๆ ซึ่งถ้าหากว่าพวกมันต้องมาทำสงครามกับพวกเราที่นี่ แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถทำลายยานของพวกมันทั้งหมดได้ แต่มันย่อมจะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนักกลับไปอย่างแน่นอน” วิลเลียมกล่าวเสริม
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องก็ตกอยู่ในความหดหู่อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ไทสันจะตบโต๊ะอย่างแรงและส่งเสียงคำรามออกมาด้วยเสียงดังสนั่น
“ระดมกองยานทั้งหมด! ตั้งแนวรบพร้อมปะทะเต็มกำลัง คราวนี้พวกเราจะไม่ยอมถอยอีกต่อไปแล้ว”
แม้ว่าคำพูดของไทสันจะเป็นการปลุกใจแต่มันก็ไม่มีการส่งเสียงเชียร์ที่น่าตื่นเต้นตามมาหลังจากคำสั่งของเขาเลย
“ติดต่อไปที่กระทรวงพลเรือนพยายามนำคนของเราลี้ภัยเข้าสู่ดินแดนของนาวีให้ได้ ทางกองทัพจะพยายามทำให้ทุกคนลี้ภัยออกไปได้อย่างปลอดภัย” ไทสันกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า
ในที่สุดเลย์ตันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็ก ๆ
ทุกคนรู้ดีว่าการตัดสินใจของไทสันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามต่อสู้แลกชีวิตแต่มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถหยุดยั้งกองกำลังเซิร์กได้อยู่ดี ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ทำในฐานะของทหารคือการยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ประชาชนอพยพไปยังดินแดนนาวีให้ได้มากที่สุด
ในเวลาเดียวกันคำสั่งนี้ก็คือคำสั่งให้มนุษย์ละทิ้งดินแดนของตัวเอง ซึ่งหลังจากการเดินทางในครั้งนี้มันก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอเวลาอีกนานแค่ไหนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้กลับมายังดินแดนพันธมิตรอีกครั้ง หรือบางทีพวกเขาก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสกลับมายังดินแดนบ้านเกิดของพวกเขาอีกเลย
ขณะที่บรรยากาศอันน่าเศร้ากำลังแผ่ขยายไปทั่วทั้งกองทัพ ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เดินทางมาจนถึงเมืองหลวงของดินแดนเซิร์กแล้ว
***************