ตอนที่ 444 ไซเรนฮิลล์
ตอนที่ 444 ไซเรนฮิลล์
3 วันต่อมา
เลยูตี้นำหมิงจู้ลงไปยังชั้นใต้ดินอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่เขาได้ตรวจสอบเครื่องมือโดยรอบเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“อัตราการเต้นของหัวใจกับความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติแล้ว หลังจากนี้เขาจะได้รับชีวิตใหม่อย่างสมบูรณ์ หมิงจู้ถอดอุปกรณ์ทุกอย่างออกจากร่างของเขาได้เลย อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมงเขาก็น่าจะได้สติกลับคืนมาแล้ว”
หมิงจู้พยักหน้ารับก่อนที่จะเริ่มถอดสายท่อระโยงระยางออกจากร่างที่นอนอยู่บนเตียง
เลยูตี้กับหมิงจู้ยืนรออยู่ข้างเตียงอย่างอดทน และเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนเตียงก็เริ่มมีการขยับอวัยวะส่วนต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่ทั่วทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกขาว มันจึงทำให้ไม่มีใครสามารถระบุรูปลักษณ์ของคนผู้นี้ได้
ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตบนเตียงก็เด้งตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่าเขาเป็นคนที่เพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ขณะเดียวกันหมิงจู้ก็สะดุ้งจนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เนื่องมาจากจิตสังหารอันรุนแรงที่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน
“นายจะกลัวอะไร? มาดูผลงานชิ้นเอกของฉันกันเถอะ” เลยูตี้กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะและตบไหล่ของลูกศิษย์ตัวเองเบา ๆ
แคว๊ก!
เลยูตี้ฉีกเปลือกสีขาวที่ห่อหุ้มร่างบนเตียงเอาไว้เพื่อเผยลักษณะที่แท้จริงของคนที่อยู่บนเตียงออกมา
เขาคนนี้มีหัวของมนุษย์แต่มีลำตัวสีแดงเข้มที่ปกคลุมไปด้วยเปลือกแข็ง แขนข้างหนึ่งของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและมีความยาวมากกว่าปกติ ขณะที่แขนอีกข้างมีความคมเหมือนกับใบมีดคล้ายกับแขนของพวกตั๊กแตน ขาทั้งสองข้างของเขามีความกำยำราวกับหัวกระทิง แต่ที่น่าแปลกคือบนเท้าของเขากลับมีพังผืดคล้ายกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
นี่คือสิ่งมีชีวิตเทียมที่ถูกสร้างขึ้นจากเลยูตี้ โดยมันมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนของมนุษย์, เซิร์กและออร์ค!
ดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยความเย็นชามองไปรอบ ๆ แต่จู่ ๆ สิ่งมีชีวิตเทียมนี้ก็สำรอกของเสียออกมาจากปากเป็นเวลานานกว่า 10 นาที
“นี่เป็นปฏิกิริยาปกติของสิ่งมีชีวิตเทียม หลังจากนี้อีกไม่นานเขาจะรู้สึกหิว นายได้เตรียมของที่ฉันบอกเอาไว้มาหรือเปล่า?” เลยูตี้กล่าวด้วยรอยยิ้มขณะหันไปมองหน้าลูกศิษย์ที่กำลังยกมือขึ้นมาปิดจมูกราวกับเขาทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว
หมิงจู้พยักหน้าและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของอาจารย์ เพราะท้ายที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็มีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดมากจนเกินไป และเขาก็ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไหนมีรูปร่างอันโหดร้ายแบบนี้มาก่อน
สิ่งมีชีวิตเทียมพยายามลุกยืนขึ้นเผยให้เห็นร่างที่มีความสูงมากกว่า 2.3 เมตร และถึงแม้ว่าจะเปรียบเทียบร่าง ๆ นี้กับเผ่าพันธุ์เซิร์กเขาก็ยังถือว่าเป็นคนตัวใหญ่เกินกว่ามาตรฐานของเผ่าพันธุ์อยู่ดี
“เอาอาหารไปให้เขาซะ” เลยูตี้กล่าว
หมิงจู้หยิบเนื้อเปื้อนเลือดออกมาจากแหวนมิติ ก่อนที่จะขว้างเนื้อชิ้นใหญ่ลงไปบนพื้นด้านหน้าสิ่งมีชีวิตเทียม
สิ่งมีชีวิตเทียมมองไปยังชิ้นเนื้อด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนที่มันจะหยิบเนื้อชิ้นนั้นขึ้นมาและใช้ฟันอันแหลมคมของมันตัดชิ้นเนื้อลงไปตามสัญชาตญาณ
วินาทีต่อมาสิ่งมีชีวิตเทียมก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา ก่อนที่มันจะฉีกกระชากชิ้นเนื้อที่อยู่บนพื้นอย่างโหดเหี้ยมคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังหิวโหย
เลยูตี้ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ โดยสายตาของเขายังคงจ้องมองไปยังผลงานอันน่าภาคภูมิใจของตัวเอง
หากเซี่ยเฟยได้มาเห็นสิ่งมีชีวิตเทียมที่อยู่ตรงนี้ เขาก็คงจะต้องรู้สึกตกตะลึงอย่างแน่นอน เพราะใบหน้าของสิ่งมีชีวิตเทียมนั้นมันก็ไม่ใช่ใบหน้าของคนอื่นคนไกลสำหรับเขาเลย
มันคือใบหน้าของหลี่โม่!
—
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่บิทินี่รู้สึกหดหู่ใจมากขนาดนี้ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะพยายามใช้เสน่ห์ยั่วยวนของเธออย่างเต็มที่ แต่เธอก็ยังคงถูกเซี่ยเฟยไล่ออกมาจากห้องและต้องอาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่เคยเป็นห้องพักของคนรับใช้
สิ่งที่ทำให้เธอยอมรับได้อย่างยากลำบากมากที่สุดนั่นก็คือเซี่ยเฟยไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อร่างกายของเธอเลย ท้ายที่สุดตั้งแต่เกิดจนโตเธอก็มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของเธอมาก แต่ปฏิกิริยาของเซี่ยเฟยก็ทำให้เธอต้องมองตัวเองในกระจกอย่างพิจารณาอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้พบว่ารูปร่างของเธอก็ยังคงความงดงามอยู่เช่นเดิม
บิทินี่เชิดศีรษะขึ้นอย่างภาคภูมิใจ แต่ทันใดนั้นปีกเล็ก ๆ คู่หนึ่งก็เผยให้เห็นในกระจก โดยมันเป็นจุดตำหนิเพียงจุดเดียวที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากมนุษย์
ปีกคู่นี้ทำให้บิทินี่ทั้งรู้สึกโกรธและเศร้าในเวลาเดียวกัน ซึ่งเธอก็คิดว่าเหตุผลที่เซี่ยเฟยไม่ชอบเธอนั่นก็เพราะว่าเธอยังคงมีปีกของผีเสื้ออยู่บนหลัง
ปีกบนหลังคู่นี้ทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อย เธอจึงกัดฟันหยิบกรรไกรออกมาเพื่อพยายามตัดปีกบนหลังของเธอออกไป จากนั้นเธอก็ทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าพร้อมกับร้องไห้ออกมาเบา ๆ เนื่องจากน้อยเนื้อต่ำใจในชาติกำเนิดของตัวเอง
“ถึงยังไงฉันก็ยังเป็นเซิร์ก แม้ว่าฉันจะตัดปีกออกไปแต่ฉันก็ยังคงเป็นเซิร์กที่ต่ำต้อยอยู่ดี”
ฉึก
บิทินี่ส่งเสียงคร่ำครวญพร้อมกับเสียบกรรไกรเข้าไปในผนังหินอ่อนจนถึงด้ามจับ
—
เซี่ยเฟยไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ยึดห้องนอนมาจากบิทินี่ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจราวกับว่าห้อง ๆ นี้เป็นห้องของตัวเอง
ในระหว่างนั้นเซี่ยเฟยก็สั่งอาหารเข้ามาภายในห้องผ่านทางบิทินี่ ซึ่งในตอนแรกเขาสั่งอาหารวันละ 18 ชุด แต่เนื่องมาจากว่าอาหารพวกนั้นยังไม่เพียงพอที่จะเติมพลังงานให้กับเขาได้ เขาจึงสั่งอาหารเพิ่มเป็นวันละ 28 ชุด
การที่จู่ ๆ ราชินีได้สั่งอาหารเพิ่มอย่างกะทันหัน มันจึงทำให้มีข่าวลือว่าราชินีตั้งครรภ์กระจายไปทั่วทั้งยานรบอย่างรวดเร็ว
มันมีความเชื่อสืบทอดต่อ ๆ กันมาว่าหญิงตั้งครรภ์มักจะหงุดหงิดง่าย สาวใช้ทุกคนจึงระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากว่าราชินีกำลังตั้งท้องอยู่จริง ๆ เด็กที่อยู่ในท้องก็อาจจะเป็นราชาแห่งเต็นท์ทองคำคนต่อไป
“ยินดีด้วยที่ฝึกวิชาเล่ห์มายาระดับ 5 ได้สำเร็จแล้ว ตอนนี้นายก็สามารถรักษาสภาพร่างแยกของนายเอาไว้ได้ 16 ชั่วโมงและสามารถแบ่งปันพลังงานกับร่างแยกได้ถึง 50%” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างมีความสุข
เซี่ยเฟยลืมตาตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิพร้อมกับเข้าห้องน้ำไปชำระล้างคราบเหงื่อไคล จากนั้นเขาก็รับประทานอาหารสุดหรูเข้าไปยังตะกละตะกลาม เนื่องจากการฝึกฝนอย่างหนักทำให้ร่างกายของเขาใช้พลังงานออกไปเป็นจำนวนมาก เขาจึงจำเป็นจะต้องเติมพลังงานกลับเข้าไปให้ร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่นานมานี้เซี่ยเฟยทดลองใช้วิชาเล่ห์มายากับขนอุยดูแล้ว ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะสามารถเปลี่ยนร่างของขนอุยกลายเป็นตัวเขาอีกคนได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถแบ่งปันพลังงานในร่างของเขากับร่างของเจ้าตัวเล็กได้อีกด้วย
เขาไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ว่าในร่างของขนอุยมีปริมาณพลังงานอยู่มากเท่าไหร่ แต่เมื่อนึกถึงหัวใจจักรวาลสีม่วงที่ขนอุยได้ดูดซับพลังงานเข้าไปในแต่ละวัน มันก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยวิชาอันแปลกประหลาดนี้มันก็จะทำให้เขาสามารถยืมพลังจากขนอุยในระหว่างการต่อสู้ได้ และการยืมพลังงานผ่านวิชาเล่ห์มายาก็ยังเป็นการฟื้นฟูพลังงานที่รวดเร็วกว่าการกินผลน้ำค้างขาวอีกด้วย เพราะการกินผลน้ำค้างขาวจำเป็นจะต้องมีกระบวนการย่อยเพื่อเปลี่ยนแปลงผลไม้ให้กลายเป็นพลังงาน แต่การขอยืมพลังงานจากขนอุยคือการดึงพลังงานจากอีกฝ่ายเข้าสู่ร่างของตัวเองโดยตรง
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นและเมื่อเซี่ยเฟยเปิดประตูออกไป เขาก็ได้พบกับบิทินี่ที่ยืนตาเขียวอยู่ด้านนอก
“อาหารเย็นล่ะ?” เซี่ยเฟยถาม
“ฮิ ๆ ในที่สุดฉันก็ได้เรียนรู้วิธีการกินแบบมนุษย์แล้ว วิธีการกินแบบนี้มันน่ารักมากเลย” บิทินี่กล่าวพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากและส่งเสียงหัวเราะออกไปเบา ๆ
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วพร้อมกับแสดงท่าทางออกมาอย่างไม่สนใจ
“ท่านพ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพวกเรา” บิทินี่กล่าวพร้อมกับเดินเข้ามาภายในห้องอย่างเคร่งขรึม จากนั้นเธอก็หยิบเครื่องสื่อสารออกมาวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับว่าเครื่องสื่อสารขนาดเล็กนี้น่าจะเป็นเครื่องสื่อสารเฉพาะของสมาพันธ์นักปราชญ์
เมื่อหน้าจอสื่อสารถูกเปิดออกมันก็เผยให้เห็นชิววี่ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออกแล้ว!”
“เรื่องจริงเหรอท่านพ่อ? ไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออกแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?!” บิทินี่อุทานขึ้นมาอย่างมีความสุข
“ใช่ ตอนนี้ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์กำลังตื่นเต้นมาก” ชิววี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“ไซเรนฮิลล์งั้นเหรอ? มันเกี่ยวอะไรกับแผนการของพวกเรา?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยความสับสน
“ไซเรนฮิลล์คือพื้นที่พิเศษที่ท่านเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำได้ทิ้งเอาไว้ให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา และการมีอยู่ของเต็นท์ทองคำก็เพื่อปกป้องทางเข้าของไซเรนฮิลล์นี่เอง” ชิววี่กล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“มันเป็นพื้นที่พิเศษเหมือนกับไฮเอนด์ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“มันก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ไฮเอนด์ที่คุณพึ่งผ่านบททดสอบมาเป็นพื้นที่ของเทพเจ้าดำเพียงผู้เดียว แต่ไซเรนฮิลล์เป็นพื้นที่พิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาจากทั้งเทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำ ส่วนระยะเวลาการเปิดปิดของพื้นที่พิเศษนี้ก็ไม่แน่นอน ถ้าฉันจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่มันเพิ่งเปิดออกมาคือเมื่อประมาณ 2,300 ปีก่อนและก่อนหน้านั้นก็ต้องย้อนกลับไปมากกว่า 7,000 ปีนู่นเลย”
“ทุกครั้งที่ไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออกมันจะมีสมบัติถูกซุกซ่อนเอาไว้ด้านในอย่างมากมาย ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ครั้งที่แล้วเผ่าพันธุ์เซิร์กได้รับสมบัติกลับมาจากพื้นที่พิเศษนี้มากกว่า 1,200 ชิ้น และมันก็ถือได้ว่าพื้นที่พิเศษแห่งนั้นคือสถานที่รวบรวมทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในเผ่าพันธุ์ของเรา”
ยิ่งชิววี่อธิบายความพิเศษของไซเรนฮิลล์มากขึ้นเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งในสายตาของเผ่าพันธุ์เซิร์กไซเรนฮิลล์ก็ไม่ต่างไปจากคลังสมบัติ และทุกครั้งที่มันได้ถูกเปิดออกเผ่าพันธุ์ของพวกเขาก็จะได้รับสมบัติกลับมาอย่างมากมาย
“ผมไม่เข้าใจ ไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแผนการลอบสังหารอูดี้?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ตามกฎของเผ่าพันธุ์ราชาแห่งเต็นท์ทองคำจะต้องเป็นคนนำทัพเข้าสู่ไซเรนฮิลล์ด้วยตัวเอง” บิทินี่กล่าว
“ใช่แล้ว นี่คือกฎที่ถูกบัญญัติเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณว่าราชาจะต้องเป็นผู้นำทัพ และกองทัพที่นำเข้าไปจะต้องมีจำนวนไม่เกิน 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งมันเป็นกฎที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ แม้ว่าอูดี้จะเป็นพวกกลัวตายมากแค่ไหนก็ตาม” ชิววี่กล่าวเสริม
“คุณกำลังหมายความว่าคุณจะให้ฉันลอบเข้าไปในไซเรนฮิลล์ แล้วค่อยหาโอกาสจัดการกับอูดี้ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยถามอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่แค่คุณ แต่สายลับของเราจะปะปนเข้าไปในกองทัพของเต็นท์ทองคำด้วย เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือพวกคุณก็แค่ต้องร่วมมือกันเพื่อสังหารอูดี้ในไซเรนฮิลล์” ชิววี่กัดฟันพูดขึ้นมาอย่างยินดี เพราะในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้แก้แค้นแทนภรรยา จากนั้นเขาก็อธิบายต่อไปว่า
“เมื่อกองทัพเคลื่อนที่เข้าสู่ไซเรนฮิลล์แล้วหลังจากนั้นมันจะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านใน ดังนั้นถ้าหากเราใช้โอกาสนี้สังหารอูดี้กับพวกพ้องของเขาได้ พวกเราก็สามารถอ้างได้อย่างบริสุทธิ์ใจว่าอูดี้ได้เสียชีวิตในระหว่างบททดสอบ”
“ดูเหมือนครั้งนี้เทพเจ้าจะเข้าข้างพวกเราแล้วจริง ๆ ท่านเทพคงจะรู้ว่าพวกเราคงไม่สามารถหาวิธีกำจัดอูดี้ได้ง่าย ๆ ท่านจึงเปิดไซเรนฮิลล์เพื่อเปิดทางให้พวกเราแบบนี้”
ความมโนของชิววี่ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เพราะเรื่องที่เทพเจ้าไม่พอใจอูดี้เป็นเพียงเรื่องโกหกที่เขาเล่าออกมาเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่เรื่องโกหกในวันนั้นกลับทำให้พวกชิววี่คิดว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะการที่ไซเรนฮิลล์ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้พวกสมาพันธ์นักปราชญ์ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริงมากขึ้นไปใหญ่
“แล้วแบบนี้เลยูตี้จะถูกเรียกตัวมาด้วยหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างจริงจัง
***************