ตอนที่ 442 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
ตอนที่ 442 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
“เข้ามาสิ ฉันรอคุณมานานแล้ว การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นดีไหม?” เสียงหญิงสาวที่น่าหลงใหลดังขึ้นมาจากภายในห้อง
เมื่อมองไปตามเสียงเซี่ยเฟยก็ได้พบสาวงามชาวเซิร์กนอนอยู่บนโซฟา และดวงตาของเธอก็กำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่ยั่วยวน
ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจรรโลงใจ ขณะที่เสื้อผ้าของหญิงสาวคนนั้นก็เป็นเพียงแค่ผ้าโปร่งใสที่ช่วยให้มองเห็นเรือนร่างของเธอได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม, บรรยากาศหรือหญิงสาวต่างก็ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกหลงใหล มันจึงทำให้แม้แต่ชานี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึง
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปยังรอบ ๆ ห้องอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วสะกิดเป็นสัญญาณเพื่อเรียกสติของชานี่กลับมา
“ดูเหมือนว่าเธอจะสวยขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะบิทินี่” ชานี่กล่าวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำหลังจากที่เขารู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแสนหวาน
หลังจากที่คนรับใช้ออกไป ชานี่ก็ดึงเซี่ยเฟยเข้ามาภายในห้องพร้อมกับนั่งลงที่โต๊ะน้ำชา
“เขาคือเซี่ยเฟยยอดนักรบมนุษย์ที่สามารถสังหารนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้แล้วถึง 18 คน นอกจากนี้เขายังสามารถช่วงชิงสมบัติที่อูดี้พยายามขุดค้นออกมาจากพันธมิตรมนุษย์ และตอนนี้เขาก็เป็นพันธมิตรของเราที่จะมาช่วยพวกเราดึงอูดี้ลงจากบัลลังก์”
บิทินี่เหลือบสายตามองไปทางเซี่ยเฟยด้วยความผิดหวัง เพราะถึงแม้ว่าเธอจะสร้างบรรยากาศที่ยั่วยวนขนาดนี้ แต่ชายหนุ่มชาวมนุษย์ก็ยังไม่รู้สึกตื่นตัวเลยแม้แต่น้อย
“ที่นี่คือบ้านของเราตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ คนรับใช้ที่อยู่ที่นี่ทุกคนต่างก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นจะต้องระแวงอะไร คุณสามารถที่จะถอดหน้ากากเพื่อหายใจอย่างสะดวกใจได้เลย” บิทินี่กล่าว
“ไม่เป็นไร ผมสะดวกแบบนี้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ฉันก็แค่อยากจะดูหน้าคุณชัด ๆ เท่านั้นเอง” บิทินี่กล่าวพร้อมกับใช้มือลูบผมยาวสลวยเผยให้เห็นเนินอกที่อวบอิ่มทั้งสองข้าง ซึ่งน้ำเสียงของเธอก็ยั่วยวนมากจนทำให้ชานี่อ่อนระทวยไปทั่วทั้งตัว
“ในเมื่อคุณแก่กว่าผม ถ้าอย่างนั้นผมขอเรียกคุณว่าพี่สาวก็แล้วกัน” เซี่ยเฟยกล่าวตัดบท
คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าของบิทินี่แดงก่ำขึ้นมาด้วยความอับอาย และไม่ว่าเธอจะพยายามแสดงท่าทางยั่วยวนแค่ไหน แต่เซี่ยเฟยก็ไม่มีท่าทีที่จะหลงใหลเธอเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญกว่านั้นเขายังระบุอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นพี่สาว ซึ่งมันเป็นการปิดกั้นและบ่งบอกว่าเสน่ห์ของเธอไม่สามารถจะใช้กับเขาได้
อายุเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับหญิงสาวทุกคนเสมอ และยิ่งผู้หญิงสวยมีอายุเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่พวกเธอยิ่งอ่อนไหวกับอายุของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงไม่ชอบให้ใครมาเรียกสรรพนามที่บ่งบอกว่าเธอแก่มากที่สุด และคำว่าพี่สาวของเซี่ยเฟยเพียงคำเดียวก็ทำให้เธอรู้สึกโกรธจนควันแทบจะออกจากหู
อย่างไรก็ตามผู้หญิงก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความพิเศษ เพราะยิ่งเซี่ยเฟยแสดงความรังเกียจบิทินี่มากเท่าไหร่ เธอยิ่งถูกกระตุ้นให้มีความสนใจในตัวของเซี่ยเฟยมากขึ้นเท่านั้น
“ท่านชิววี่ไปไหนงั้นเหรอ?” ชานี่พยายามพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้ไขสถานการณ์
“พรุ่งนี้เป็นวันระลึกถึงท่านแม่ ท่านพ่อน่าจะกลับมาอีกครั้งในตอนเย็น” ชิววี่กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งโดยไม่นอนแสดงอาการยั่วยวนอีกต่อไป
ทันใดนั้นในดวงตาของบิทินี่ก็เริ่มมีหยดน้ำตาออกมาให้เห็น และเธอก็เริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารว่า
“ฉันต้องขอพึ่งพาคุณอากับน้องชายเซี่ยเฟยจัดการกับอูดี้ให้พวกเราด้วย…”
ชานี่รีบเข้าไปปลอบใจโดยบอกว่าไม่เป็นไร แล้วเขาจะพยายามจัดการเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยแอบรู้สึกสงสัยอย่างลับ ๆ ว่าทำไมจู่ ๆ บิทินี่ถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้ คล้ายกับว่าอูดี้เคยทำอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกับเธอจนทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจมาจนถึงปัจจุบัน
—
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ชานี่กับเซี่ยเฟยก็เดินออกมาจากห้องพักของบิทินี่
“เธอเป็นอะไรไป? ทำไมจู่ ๆ เธอถึงร้องไห้ฟูมฟายออกมาแบบนั้น?” เซี่ยเฟยถาม
“เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยโบราณที่ราชาแห่งเต็นท์ทองคำทุกคนจะเดินทางมายังดาวดวงนี้เพื่อเลือกนางสนม หลังจากที่พวกเขาขึ้นรับตำแหน่ง”
“ย้อนกลับไปในวันที่อูดี้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็เดินทางมาที่นี่เพื่อเลือกสาวงามตามประเพณี ซึ่งในเวลานั้นบิทินี่มีอายุเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น ส่วนแม่ของเธอเพิ่งจะมีอายุ 30 ปีแต่เธอกลับมีเสน่ห์มากกว่าสาวสวยแรกแย้มทุกคนในดาวดวงนี้”
“ตอนนั้นท่านชิววี่เป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ผีเสื้อ เขาจึงจำเป็นจะต้องใช้คฤหาสน์หลังนี้ในการรับรองอูดี้หลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ และในคืนหนึ่งหลังจากที่อูดี้ดื่มสุราเข้าไปจนเมามาย เขาก็ทำเรื่องที่น่าอับอายกับแม่ของบิทินี่ในบ้านของเธอเอง”
“แม้ว่าเรื่องนี้จะแพร่กระจายออกไปมันก็ไม่มีใครว่าร้ายอูดี้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เซิร์กจะใช้ภรรยาหรือนางสนมในการรับรองแขกระดับสูง ดังนั้นคนทั่วไปจึงคิดว่าท่านชิววี่ควรจะต้องภูมิใจที่ได้ใช้ภรรยาในการรับรองราชาคนปัจจุบัน”
“น่าเสียดายที่แม่ของบิทินี่ไม่ได้มีความคิดแบบนั้น แล้วเธอก็เลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองในคืนนั้นเอง”
“2 ปีต่อมาบิทินี่ก็เติบโตจนมีอายุ 14 ปีและเสน่ห์ของเธอก็เริ่มผลิบานออกมาอย่างเต็มที่ จนทำให้เธอได้รับการคัดเลือกไปเป็นนางสนมของอูดี้ในที่สุด แล้วมันก็ช่วยให้อำนาจของท่านชิววี่เข้าสู่ยุคที่รุ่งเรือง”
“สำหรับคนนอกพวกเขาก็คงจะคิดว่าเรื่องนี้คือความโชคดี แล้วมันก็มีเพียงแค่ท่านชิววี่กับบิทินี่เท่านั้นที่เข้าใจถึงความขมขื่นเบื้องหลังความรุ่งโรจน์ พวกเขาจึงแอบวางแผนสังหารอูดี้มาโดยตลอดและความตายของแม่ก็เป็นเหตุผลที่บิทินี่ร้องไห้ฟูมฟายมากขนาดนั้น” ชานี่เล่าเรื่องในอดีตพร้อมกับถอนหายใจ
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและยอมรับภายในใจว่าบิทินี่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เพราะเธอได้อดกลั้นรอโอกาสมาตั้งแต่เธออายุ 14 ปี และคนที่สามารถอดทนรอได้นานขนาดนี้ย่อมไม่ใช่คนที่เขาประมาทได้อย่างแน่นอน
ในตอนกลางคืนชิววี่ก็รีบมาคุยรายละเอียดกับเซี่ยเฟย ก่อนที่เขาจะรีบกลับไปเตรียมงานระลึกถึงภรรยาอีกครั้ง
ตอนนี้ชิววี่กลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในเผ่าพันธุ์ วันครบรอบการเสียชีวิตของภรรยาจึงมีคนเดินทางมาร่วมงานอย่างมากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะจัดงานแบบสบาย ๆ ได้ เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อหน้าตาของเขามากพอสมควร
เช้าวันรุ่งขึ้นเซี่ยเฟยก็ต้องรีบตื่นนอนตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง แล้วมันก็มีกล่องโลหะที่สวยงามถูกขนมารอเขาแล้วเป็นจำนวนหลายสิบกล่อง ซึ่งกล่องโลหะทั้งหมดต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกล่องใส่ของใช้ส่วนตัวของบิทินี่
เพื่อที่จะลักลอบเข้าสู่เมืองหลวงในครั้งนี้ เซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องทิ้งแวมไพร์เอาไว้เพื่อลักลอบเข้าไปในเต็นท์ของคำ
ในความเป็นจริงด้วยระบบล่องหนของเอสทาเมลมันย่อมทำให้เขาสามารถเข้าใกล้เมืองหลวงได้ด้วยตัวเอง แต่การทำแบบนั้นมันก็ทำให้เขาสามารถเข้าใกล้เมืองหลวงได้แค่บริเวณใกล้เคียง แล้วมันก็ไม่มีโอกาสที่เขาจะสามารถเข้าใกล้อูดี้ได้เลย
อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเขาแอบเข้าไปในกล่องสัมภาระของบิทินี่ เขาก็สามารถเข้าสู่เต็นท์ทองคำได้โดยตรง และการพยายามมองหาโอกาสลอบสังหารอูดี้ในเต็นท์ทองคำย่อมปลอดภัยกว่าการพยายามใช้แวมไพร์บุกฝ่าระบบป้องกันภัยเข้าไป
ทางด้านของชานี่ก็ออกเดินทางไปพร้อมกับชิววี่อย่างเปิดเผย และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจ แต่ชื่อเสียงของเขาก็ช่วยให้เขาสามารถเข้าออกเมืองหลวงได้อย่างไม่ยากลำบากมากนัก
แม้ว่าการลอบเข้าเต็นท์ทองคำด้วยวิธีนี้จะไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย 100% แต่เมื่อเซี่ยเฟยได้คิดพิจารณานี่ก็อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้เขาลอบสังหารอูดี้ได้ ชายหนุ่มจึงตกลงทำตามคำขอของชิววี่
หลังจากเปิดกล่องเก็บสัมภาระชายหนุ่มก็เข้าไปนั่งท่ามกลางชุดชั้นในของบิทินี่ ซึ่งขนอุยก็ไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้มากนัก แต่เซี่ยเฟยก็ได้หยิบหัวใจจักรวาลสีม่วงออกมาเพื่อป้อนมัน พร้อมกับหยิบเจ้าตัวเล็กมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน
“นี่คือเสบียงเอาไว้ใช้ระหว่างทาง พวกเราต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้คุณมาซ่อนตัวอยู่ในกล่องแคบ ๆ แบบนี้” ชานี่กล่าวพร้อมกับยื่นแหวนมิติให้กับเซี่ยเฟย
“ตราบใดก็ตามที่ผมสามารถเข้าไปในเต็นท์ทองคำได้ ผมก็ไม่มีปัญหาแม้ว่าจะต้องแอบอยู่ในกล่องเล็ก ๆ นี้ก็ตาม” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
บิทินี่ได้เดินมาดูกล่องสัมภาระเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากเธอได้เผยรอยยิ้มยั่วยวนให้กับเซี่ยเฟย ชานี่ก็ปิดฝากล่องและใช้กุญแจล็อกจากด้านนอก
“ท่านอาพวกเรากลับกันเถอะ” บิทินี่กล่าวพร้อมกับใช้นิ้วแตะริมฝีปากและใช้นิ้วนั้นกดลงไปบนกล่องเพื่อทิ้งรอยแดงเอาไว้ให้เห็นจาง ๆ
เมื่อเสียงประตูปิดลงภายในกล่องก็หลงเหลือเพียงแต่ความเงียบ ขนอุยจึงนอนหลับพักผ่อนตามนิสัย ส่วนเซี่ยเฟยก็ไม่สามารถที่จะทำตัวตามสบายได้
“ถ้าพ่อลูกคู่นั้นทรยศนาย นายจะทำยังไง?” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ เพราะเขาพยายามคัดค้านแผนการนี้มาโดยตลอดแต่เซี่ยเฟยไม่คิดที่จะฟังคำแนะนำของเขาเลย
“ฉันคำนวณแล้ว โอกาสที่ฉันจะถูกพวกเขาหักหลังมีไม่มากนัก” เซี่ยเฟยกล่าว
“แต่แบบนี้มันก็เสี่ยงเกินไป”
“ถ้าเราอยากได้โอกาสเราก็ต้องพร้อมที่จะลองเสี่ยง ถ้าเราพึ่งพาเพียงแต่กำลังของตัวเองฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะสามารถลอบเข้าไปในเต็นท์ทองคำได้เมื่อไหร่ โดยสรุปก็คือแผนการนี้ค่อนข้างจะมีความเสี่ยงอยู่มาก แต่เราก็ได้โอกาสที่จะเข้าหาเป้าหมายชนิดที่เราอาจจะไม่สามารถหาได้อีกเลย”
“ทำไมนายเป็นพวกดื้อแบบนี้? นายเคยคิดบ้างไหมว่าหลังจากนายลอบฆ่าเขาได้สำเร็จแล้วนายจะกลับออกมายังไง?”
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉันจะหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
อันธทำได้เพียงแต่หยุดพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก ซึ่งเซี่ยเฟยก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อนเช่นเดียวกัน แต่เขายังคงกระจายกระแสพลังจิตเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ ตัว
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับนักรบเซิร์กหลายสิบคนที่เดินเข้ามาแบกกล่องออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ
โชคดีที่เซี่ยเฟยมีวิชาพรางจิตเขาจึงสามารถซ่อนตัวในกล่องได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งถ้าหากว่าไม่มีใครเปิดกล่องออกมา มันก็ยากที่จะมีคนสัมผัสถึงตัวตนของเขาที่ซ่อนอยู่ในกล่องได้
กล่องที่บรรจุเซี่ยเฟยถูกเคลื่อนย้ายไปยังยานขนส่งขนาดเล็ก ก่อนที่กล่องนี้จะถูกขนส่งไปยังสนามบิน โดยมีทีมคุ้มกันจำนวนนับหมื่นคนคอยเฝ้าระวังระหว่างทาง
ท้ายที่สุดในสายตาของคนทั่วไปบิทินี่ก็คือราชินีคนปัจจุบัน และการที่เธอเดินทางกลับมายังดาวบ้านเกิดแห่งนี้ก็ทำให้มีคนออกมาคอยต้อนรับเธอเป็นจำนวนมาก
หากสถานการณ์ยังคงเป็นไปตามปกติ กองทหารคุ้มกันบิทินี่ก็คงจะไม่ได้มีจำนวนสูงมากขนาดนี้ แต่หลังจากที่เซี่ยเฟยทำลายกองยานคุ้มกันที่ขนส่งสมบัติชิ้นนั้นมา อูดี้ก็สั่งให้เพิ่มกองกำลังคุ้มกันบิทินี่มากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าคำสั่งของเขากลับกลายเป็นการคุ้มกันศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ภายในกล่อง และผู้ที่หมายจะเอาชีวิตเขามากที่สุดก็คือราชินีที่เขาลุ่มหลงทุกวี่วัน
“หยุด! พวกเราต้องตรวจสอบกล่องพวกนี้ทีละกล่อง” เจ้าหน้าที่เซิร์กหยุดยานขนส่งเอาไว้บริเวณทางเข้าสนามบิน
เสียงของเจ้าหน้าที่ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างตึงเครียด และเขาก็เตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อจู่โจมทันทีที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย
ผัวะ!
ทหารที่ขนกล่องเซี่ยเฟยมามีอำนาจเหนือกว่าทหารยามที่สนามบินมาก เขาจึงลงมาจากยานและตบหัวของทหารยามคนนั้นอย่างรุนแรง
“เบิกตาโง่ ๆ มองดูซะ! นี่คือของใช้ส่วนตัวของราชินีบิทินี่ ถ้าหากว่าแกทำให้พวกมันได้รับความเสียหายแม้แต่นิดเดียวก็ระวังว่าหัวของแกจะไม่ได้อยู่บนบ่า!”
ทหารยามก้มหัวลงพร้อมกับถอยหลังกลับไปทันที ทำให้ยานขนส่งลำนี้สามารถขับเข้าไปในสนามบินได้อย่างราบรื่น
ต่อมาทหารบนยานขนส่งก็ค่อย ๆ ลำเลียงกล่องสัมภาระขึ้นไปบนสายพานทีละกล่อง เพื่อที่จะนำกล่องเหล่านี้ขึ้นไปเก็บไว้บนห้องเก็บสัมภาระ แต่ในทันใดนั้นสาวใช้คนหนึ่งของบิทินี่ก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังกล่องที่เซี่ยเฟยซ่อนอยู่ด้านในแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ราชินีมีคำสั่งให้นำกล่อง ๆ นั้นไปใช้ในระหว่างการเดินทาง พวกคุณช่วยยกกล่องไปไว้ในห้องราชินีที”
“ได้ครับ” ทหารตอบกลับพร้อมแสดงความเคารพ จากนั้นพวกเขาก็ยกกล่องบรรจุเซี่ยเฟยเพื่อไปส่งยังห้องของราชินี
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมปล่อยนายไปง่าย ๆ นะ” อันธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะการเดินทางไปยังเมืองหลวงเซิร์กจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง 7 วัน
‘นี่เขาจะต้องใช้เวลา 7 วันนั้นในห้องนอนของบิทินี่งั้นเหรอ?’
***************