บทที่ 81: เก็บกวาดศพ
สนามรบในหุบเขาถูกเคลียร์ในเบื้องต้นแล้ว ผลสรุปคือมีลูกปัดสมองเลเวล 1 อยู่ 1,830 เม็ด ลูกปัดสมองเลเวล 2 อยู่ 300 เม็ด ลูกปัดสมองเลเวล 3 อีก 21 เม็ด
แล้วก็ลูกปัดสมองเลเวล 4 อีก 1 เม็ดด้วย ส่วนเม็ดจากมอนสเตอร์คอยาวโดนเดธไลท์ขนาดไมโครเป่าจนสลายไปพร้อมกับหัวของมันแล้ว
ในการต่อสู้ครั้งนี้มีมอนสเตอร์ถูกสังหารเกือบ 2,000 ตัว และมีซากศพเกลื่อนหุบเขา
ต้องบอกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ ที่มอนสเตอร์จำนวนมากถูกกำจัดในคราวเดียว แต่กลับไม่มีชาวเมืองคนใดเสียชีวิต!
ชาวเมืองต่างภาคภูมิใจกันมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้เหลิงเพราะรู้ว่าหาเหตุหลักที่ทำให้ชนะคือเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของพวกตน มันทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
กลับมาที่สนามรบกันต่อ แม้ว่ามอนสเตอร์จะล่าถอยไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญหามากมายที่พวกมันทิ้งไว้
นั่นคือมันมีซากของมอนสเตอร์เยอะเกินไปทำให้ชาวเมืองเชิ่งหลงไม่มีทางเก็บกวาดได้หมดในเวลาอันสั้น และหากปล่อยทิ้วไว้มันก็จะเน่าเสียและกลายเป็นแห่งเพาะพันธุ์โรคระบาด นี่คือปัญหาใหญ่ที่ต้องรีบแก่ก่อนเลย
ที่สำคัญคือกลิ่นเลือดที่เหม็นมาก ๆ นี่มันอาจดึงดูดให้ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างพวกไซคลอปส์เข้ามาหาได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็เมืองเชิ่งหลงอาจต้องเผชิญกับการทำลายล้างครั้งใหญ่
ชาวเมืองต่างเป็นกังวลเรื่องนี้ และพอรายงานให้ถังเจิ้นรู้ก็ทำเอาเขากังวลไปด้วย
ซากมอนสเตอร์ที่มีเยอะเกินไปและไม่อาจเก็บไว้ได้นานนี่ต้องกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด จะมีวิธีไหนบ้างจากทั้งสองโลกที่ทำให้สามารถกำจักซากมอนสเตอร์โดยไม่ปล่อยให้มันเน่าเสีย?
ถังเจิ้นเกาหัวแกรก ๆ พลางครุ่นคิดอย่างหนัก และทันใดนั้นเองก็ปิ๊งไอเดียหนึ่งซึ่งทำให้รู้สึกปานพบเจอแสงเทียนนำทางยามมืดมิดและยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้
จะเกรงก็แต่ว่าถ้าจะใช้วิธีนี้คงต้องกลืนกินลูกปัดสมองกองโตอีกซักรอบ
แต่ก็ช่างหัวมันไปก่อน ยังไงลูกปัดสมองที่ว่ามาก็ได้ฟรีทั้งนั้น ใช้หมดก็แค่หาใหม่! ว่าแล้วก็ไม่รอช้าสั่งให้สมาร์ตโฟนกลายพันธุ์ดูดกลืนลูกปัดสมองซะ
จำนวนลูกปัดสมองในช่องเก็บของก็ลดฮวบเอา ๆ เหรียญทองในแอปสโตร์ก็เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านอีกรอบ และในช่องเก็บของตอนนี้เหลือลูกปัดสมองแค่กล่องเดียวแล้ว
ถังเจิ้นใช้หนึ่งล้านเหรียญทองเพื่ออัปเกรดพื้นที่ช่องเก็บของระดับ 2
[พื้นที่เก็บข้อมูลระดับ 2 ขนาด 20 ลูกบาศก์เมตร รูปร่างของพื้นที่ภายในสามารถปรับเปลี่ยนได้ ค่าดาวน์โหลด 1,000,000 เหรียญทอง]
เมื่อรู้สึกถึงพื้นที่จัดเก็บที่ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งถังเจิ้นรู้สึกว่าเหรียญทอง 1 ล้านเหรียญถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า ช่องเก็บของนี่สามารถช่วยเขาแก้ปัญหาการจัดการซากศพมอนสเตอร์ตรงหน้าได้
เขาเรียกเฉียนหลงกับพวกไทสันให้เอาชาวเมืองเกือบ 200 คนมาที่ภูเขาซากศพมอนสเตอร์
เนื่องจากมีเลือดปริมาณมากไหลออกมาจากซากศพทำให้บ้างก็เจิ่งนองเป็นแอ่ง บ้างก็ซึมลงดินจนดินกลายเป็นโคลนสีแดง ๆ ถังเจิ้นเดินเหยียบไปตามพื้นโคลนแล้วสั่งฝูงชนว่า “เลาะเนื้อกับกระดูกออกให้หมดแล้วเอามากองตรงนิ พยายามเอาตัวที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนที่เหลือทิ้ง ๆ ไปซะ!”
หลังจากได้ยินคำสั่งพวกชาวเมืองก็เริ่มดำเนินการในทันที เนื่องจากไม่ได้ล็อคสเปคว่าต้องเอาเนื้อกับกระดูกส่วนไหนทำให้ทุกคนเหวี่ยงดาบสับใส่ซากมอนสเตอร์จนเลือดกระเซ็น
กลิ่นคาวเลือดเหม็นชวนอ้วกตลบอบอวลไปยันท้องฟ้า
เนื้อกับกระดูกถูกเลาะออกมากองสุมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มกลายเป็นเนินเขา พอเห็นว่าจำนวนถึงแล้วถังเจิ้นก็สั่งให้หยุดเลาะเนื้อเถือกระดูกทรมานซากศพกันได้แล้ว
สั่งให้ทุกคนกลับไปที่โหลวเฉิงส่วนตัวเองก็เทเลพอร์ตกลับบ้าน เอารถออฟโรดของตนเข้าช่องเก็บของและพามันไปต่างโลก
ตึ่ง~!
รถปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงลงพื้นเบา ๆ ตรงหน้าถังเจิ้น ซึ่งนี่อาจเป็นรถคันแรกที่เปิดตัวในต่างโลก และหลังจากนี้มันจะคำรามพร้อมกลับปล่อยไอเสียใส่อากาศของโลกนี้
ถังเจิ้นหันไปดูซากมอนสเตอร์ที่กระจัดกระจายกันอยู่ก่อนจะโบกมือเก็บพวกมันใส่ชองเก็บของจนเต็ม
เขาเก็บมาได้แค่บางส่วนเท่านั้นเพราะพวกมันมีเยอะเกินไปและพื้นที่ในช่องเก็บของก็มีจำกัด ทำให้ไม่มีทางใส่ทั้งหมดได้ในทีเดียว
สตาร์ทรถแล้วก็เยียบคันเร่งจนสุดออกจากหุบเขาห่างไป 10 กิโลเมตรก่อนจะปล่อยซากมอนสเตอร์ในช่องเก็บของทิ้งออกมา
หากทิ้งที่นี่จะไม่ส่งผลกระทบต่อหุบเขา
จากนั้นถังเจิ้นก็ขับรถกลับไปที่หุบเขาและทำซ้ำ กลังจากที่วิ่งไปวิ่งกลับไม่รู้กี่รอบสุดท้ายก็จัดการเก็บกวาดทั้งหุบเขาได้จนหมด
หลังจากที่พักหายใจอยู่พักหนึ่งเขาก็เอาเนื้อกับกระดูกที่ให้คนเลาะออกมาใส่ในช่องเก็บของ ซึ่งของพวกนี้จะไม่เอาไปโยนทิ้งเพราะมันเป็นของที่มีประโยชน์อย่างมาก!
ชาวเมืองเชิ่งหลงต่างตกตะลึงพรึงเพริด เพราะเห็นแค่ถังเจิ้นโบกมือซากศพของมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ๆ ก็หายไป จากนั้นท่านเจ้าเมืองก็เข้าไปในบ้านหลังน้อยที่มี 4 ล้อวิ่งได้เหมือนจะวิ่งออกจากหุบเขา
ชาวเมืองต่างพูดคุยกันอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าท่านเจ้าเมืองกำจัดศพมอนสเตอร์ตั้งเยอะแยะแบบนั้นได้ยังไง แล้วไอ้บ้านหลังน้อย 4 ล้อนั่นทำไมมันถึงได้วิ่งเร็วปานนั้น
พอถังเจิ้นกลับมาถึงโหลวเฉิงก็พบว่าชาวเมืองทุกคนต่างมองเขาด้วยสายตาเทิดทูนปานได้เข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า แววตาอันสดใสปิ๊ง ๆ พวกนั้นทำเอาเขาขนลุกและอยากจะวิ่งหนี
บริเวณลานหน้าโหลวเฉิงยังมีกองเลือด กองเศษเส้นขน และกองเกล็ด ของเหล่านี้เองก็มาจากซากศพของมอนสเตอร์ด้วย
เมื่อเทียบกับเลือดเนื้อที่ไร้ประโยชน์แล้วสิ่งเหล่านี้เหมือนจะค่ามากกว่า มันคงเป็นนิสัยเดิมจากสมัยที่เป็นผู้พเนจร ตอนที่เก็บกวาดซากศพมอนสเตอร์ก็เลยจัดการถลกออกมาอย่างบรรจง
หลังจากที่ถังเจิ้นเห็นแล้วก็บอกให้ไทสันขนมันออกไปอย่าให้มันกลายเป็นผลภาวะทางสายตาจนกระทบกับความอยากอาหาร ส่วนจะเอาไปทำอะไรก็ไปคิดเอาเอง
พวกผู้หญิงต่างก็กำลังเตรียมอาหารอยู่ เป็นอาหารสำหรับคนกว่า 400 คน ซึ่งเป็นปริมาณมหาศาลพอที่พวกเธอจะยุ่งจนไปทำอย่างอื่นไม่ได้ไปครึ่งวัน บางคนก็ซาวข้าว บางคนก็ล้างผักป่า หม้อเหล็กขนาดใหญ่วางบนเตาที่ทำขึ้นหยาบ ๆ ข้างใต้เป็นฟืน น้ำในหม้อกำลังเดือดปุด ๆ
ชายร่างกำยำกลุ่มหนึ่งเดินถือขาหลังหนา ๆ ของมอนสเตอร์มาสองสามตัว มันคือมอนสเตอร์ที่กินได้ที่เลือกเฟ้นมาจากซากมอนสเตอร์ทั้งหมด พอตัดเอาหัวกับเครื่องในทิ้งไปแล้วไอ้ที่เหลือเนื้อมากพอจะเอามากินได้ก็มีแค่ขาหลังนี่แหละ
ถังเจิ้นมองขาหลังที่ยังเลอะเลือดพวกนั้นแล้วก็นึกไปถึงเรื่องที่ว่ามันเป็นขาของมอนสเตอร์ที่เคยกินคนเป็นอาหารมาก่อน แล้วมันก็ถูกคนเอามาทำเป็นอาหาร... ‘โอย~ แม่งเอ๊ย...’
แต่พอเห็นชาวเมืองคุยกันอย่างมีความสุขพร้อมกับเนื้อพวกนั้นแล้ว... ถังเจิ้นจะไปรบกวนตอนนี้มันก็ไม่ดีล่ะนะ ดังนั้นเขาเลยได้แต่แอบคิดในใจว่าซักวันจะหาหมูตัวอ้วน ๆ ใหญ่ ๆ มาให้คนพวกนี้ลองกินดูซักหน่อยแล้ว
ส่วนมื้อเย็นวันนี้ถังเจิ้นไม่เหลือความอยากอาหารเลยจริง ๆ!
เมื่อกลับมาที่ห้องเขาก็เอาม้วนกระดาษหนังที่ขโมยมาจากห้องเก็บสมบัติเมืองเฮยเหยี่ยนออกมาศึกษาอย่างจริงจัง ขณะที่กำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดถึงปัญหาอยู่นั่นเองจู่ ๆ มู่หรงจื่อเหยียนก็เดินเข้ามาแล้วเอาถ้วยวางลงตรงหน้าเขา
“กาแฟเหรอ ไปเอามาจากไหนอะ”
ถังเจิ้นกลับมามีสติและถามถึงเจ้าสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมอันคุ้นเคยนี้
“ไปเจอตอนทำความสะอาดห้อง พอเช็กดูแล้วว่ายังไม่เสื่อมสภาพก็เลยเอามาให้น่ะค่ะ”
มู่หรงจื่อเหยียนพูดเบา ๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ถังเจิ้น
หลังจากกล่าว ‘ขอบคุณ’ ถังเจิ้นก็ยกถ้วยขึ้นมาจิบ อร่อยดี
หลังจากวางถ้วยลงถังเจิ้นก็ชำเลืองมองมู่หรงจื่อเหยียน หลังจากมองเธอได้ซักพักเขาก็พูดว่า “ตอนนี้โหลวเฉิงก็สร้างแล้ว มีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ อยากให้เธอไปช่วยพวกเฉียนหลงกับไทสันหน่อยน่ะ เพราะเธอคือคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้มากที่สุด”
มู่หรงจื่อเหยียนพยักหน้า จากนั้นยืนขึ้น เดินไปข้างหลังถังเจิ้น และนวดไหล่ให้เขา
เธอบีบนวดได้ไม่กี่ครั้งถังเจิ้นก็จับมือเธอให้หยุดแล้วบอกเธอด้วยรอยยิ้มว่า “เธอเองก็เหนื่อยมากแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ ตอนเย็นให้เรียกเฉียนหลงกับไทสันมาประชุมกันให้ด้วย”
มู่หรงจื่อเหยียนพยักหน้าเบา ๆ แล้วหยิบถ้วยกาแฟเดินจากไป
ถังเจิ้นค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ระเบียงมองไปยังชาวเมืองที่ยังคงวุ่นวายอยู่ข้างล่างและรับรู้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งที่กดทับอยู่บนไหล่ ความรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่เขาตัดสินใจแบกรับเอาไว้