ตอนที่ 27 : ถุงหอม
เฉียวจินเหนียงอดทนต่อความเศร้าที่ต้องจากลูกชาย เธอจึงปรับอารมณ์และไปที่ลานที่จัดงานชุมนุมปฏิบัติธรรม
หลังจากแสดงธรรมเสร็จ ฮูหยินก็นำไม้ทำนายไปให้เจ้าอาวาสวัดหยวนซี
ฮูหยินเป็นผู้บริจาคที่ใจกว้าง ดังนั้นเจ้าอาวาสจึงไม่กล้าถือสา เขาถือไม้ทำนายและกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับฮูหยินด้วย ไม้ทำนายนี้ทำนายว่าท่านจะโชคดี ความปรารถนาทั้งหมดของท่านจะเป็นจริง”
ฮูหยินอันหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยิน “ดียิ่ง ดียิ่งเจ้าค่ะ”
เจ้าอาวาสเปิดดูหนังสือทำนายและถ่ายทอดคำอธิบายของคำทำนายนี้ให้กับฮูหยินอัน “กาลครั้งหนึ่งมีหงส์เล่นอยู่ในพระราชวังหงส์ แต่พระราชวังกลับว่างเปล่าเมื่อหงส์นั้นจากไป ในตอนนั้นมีเพียงแค่สายน้ำเท่านั้นที่ยังคงไหลอยู่
“เหล่าดอกไม้และใบหญ้าในร่มเงาของวังหลวงทำให้ทางเดินนี้ดูรกร้าง และในหลุมฝังศพก็มีกระดูกของเหล่าขุนนางในวันวาน
“เมื่อภูเขาสามลูกปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆ ครานั้นแม่น้ำจะถูกแบ่งออกเป็นสองสายโดยเกาะนกกระยาง
“เหล่าเมฆคล้อยเคลื่อนมาบดบังแสงของดวงอาทิตย์อยู่เป็นนิจ เมื่อคราใดที่ข้าปีนขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุด ข้าคงจะมองไม่เห็นเมืองฉางอันอีกต่อไป ซึ่งนั่นทำให้ข้ารู้สึกเศร้าและหดหู่ใจ”
“ฮูหยินอัน แม้ว่าไม้ทำนายนี้จะทำนายความโชคดี แต่ก็ยังมีความทุกข์ยากในความโชคดีเช่นกัน เมื่อความทุกข์ยากผ่านพ้นไป ลูกสาวของเจ้าจะปัดเป่าเมฆและพบกับอรุณรุ่งอย่างแน่นอน จากนั้นหงส์จะบินโฉบเหนือเมืองฉางอัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หัวใจของฮูหยินก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
หงส์? ฉางอัน? ในเวลานี้เมื่อองค์รัชทายาทกำลังจะเลือกพระชายา คนอื่นๆอาจดีใจเหลือเกินที่ได้วาดไม้ทำนายนี้ แต่ฮูหยินกลับไม่ยินดีเท่าไหร่นัก
ในขณะนี้ เฉียวจินเหนียงเดินไปหาฮูหยินและพูดว่า “ท่านแม่”
ฮูหยินยิ้มให้เฉียวจินเหนียงและพูดว่า “ข้าได้วาดไม้ทำนายให้เจ้าแล้ว และมันก็ดีมากดูเหมือนว่าพระพุทธองค์จะประทานพรให้เจ้าได้พบกับสามีที่ดี”
เฉียวจินเหนียง รู้สึกประหลาดใจที่เห็นคำว่า "หงส์" ในคำอธิบายของไม้ทำนาย โดยสงสัยว่าวัด หยวนซี พยายามประจบประแจงฮูหยินอันหรือไม่
เมื่อรู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังจะเลือกพระชายา พวกเขาอาจจะคิดว่าฮูหยินอันมาที่นี่เพราะเฉียวหรูฉี ดังนั้นเจ้าอาวาสอาจจะพูดเช่นนี้โดยเจตนาหรือไม่?
เฉียวจินเหนียง ไม่ค่อยเชื่อในศาสนาพุทธมาตั้งแต่เมื่อก่อน แต่หลังจากที่พระเจ้าเล่นตลกกับเธอสองครั้ง เธอก็ได้แต่ต้องเชื่อในพรหมลิขิต
บางทีสิ่งที่ไม้ทำนายทำนายไว้อาจเป็นจริงก็ได้ ท้ายที่สุดฝ่าบาทได้บอกท่านหวังแล้วว่าเขาต้องการให้เฉียวหรูฉีแต่งงานกับพระราชวังตะวันออก
หลังจากกลับถึงบ้าน ฮูหยินก็จดตัวเลือกคู่หมั้นที่เหมาะสมสำหรับเฉียวจินเหนียง
อย่างไรก็ตาม เฉียวหรูอี้และลูกพี่ลูกน้องของพวกเธอ เฉียวหรูฟาง กำลังจะมีพิธีบรรลุนิติภาวะในเร็วๆนี้ ดังนั้นจวนหวังจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับพิธีในครั้งนี้ด้วย
เมื่อเทศกาลแข่งเรือมังกรใกล้เข้ามา ในที่สุดคนในตระกูลฉินก็มาถึงจวนของหวังอันหยวน แทนที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าตอนนี้เฉียวหรูหยุนอยู่ที่ไหน
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ฮูหยินจึงทำได้เพียงพักเรื่องการเลือกคู่หมั้นของเฉียวจินเหนียงไว้ชั่วคราว
ในช่วงเวลาเดียวกัน เฉียวจินเหนียงกำลังปักถุงหอมสำหรับเทศกาลเรือมังกรให้ต้วนเอ๋อร์อยู่ในห้องของเธอ
ในที่สุด ถุงหอมถุงเล็กๆก็ออกมาสวยงามมาก และเธอก็ส่งถุงหอมนี้ไปที่จวนของอ๋องหรงพร้อมจดหมาย
แม้ว่าเธอจะบอกว่าเป็นของเจ้าหญิงฟู่อัน แต่เฉียวจินเหนียงก็มั่นใจว่าคนในจวนของอ๋องหรงจะรู้ว่าควรมอบถุงหอมนี้ให้ผู้ใด
ในตอนบ่าย นั่วหมี่เข้ามาพร้อมกับซุปถั่วเขียวและพูดว่า "คุณหนูเจ้าคะ วันนี้แม้แต่นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลฉินก็มาด้วยนะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าคุณหนูใหญ่คงจำเป็นที่จะต้องกลับไปตระกูลฉินในครานี้”
ด้วยเพราะมีฮูหยินใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ ต่อให้นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินจะมาก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ฮูหยินใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ปล่อยให้เฉียวหรูหยุนกลับไปที่ตระกูลฉิน เว้นแต่พวกเขาจะลงโทษหยูซุยบ่าวอุ่นเตียงคนนั้นและสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อเฉียวหรูหยุนเป็นอย่างดี
เมื่อได้ยินว่าตระกูลฉินจากไปแล้ว เฉียวจินเหนียงจึงไปหาฮูหยินใหญ่
ฮูหยินใหญ่หน้าตาบึ้งตึง เมื่อเธอเห็นจินเหนียงเข้ามาเท่านั้นเธอก็ไม่ขมวดคิ้วอีกต่อไป
เฉียวจินเหนียงยื่นถุงหอมให้ฮูหยินใหญ่และพูดว่า “ท่านแม่ นี่คือถุงหอมเทศกาลเรือมังกรที่ลูกทำให้ท่านแม่เจ้าค่ะ อกจากนี้ลูกยังทำถุงหอมให้ท่านพ่อและท่านย่า ลูกหวังว่าพวกท่านจะชอบมันนะเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่รับถุงหอมมาและยิ้มให้ “ขอบใจเจ้ามากนะ จินเหนียง พรุ่งนี้เป็นวันเปิดโรงเตี๊ยมของเจ้าใช่ไหม?”
เฉียวจินเหนียงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ท่านแม่ว่าง ลูกก็ขอเรียนเชิญท่านแม่ไปที่ศาลาเลิศรสกับลูกนะเจ้าคะ”
“ได้สิ แม่ว่าง” ฮูหยินใหญ่ถือถุงหอมในมือพร้อมความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
“แต่แม่เพิ่งทะเลาะกับคนตระกูลฉิน และหรูหยุนยังต้องพักฟื้นจากการแท้งลูก ดังนั้นแม่คงไม่สะดวกที่จะทานอาหารเย็นที่โรงเตี๊ยมของเจ้า
“แต่แม่จะเขียนจดหมายถึงป้าของเจ้าและขอให้พวกเขามาเข้าร่วมพิธีเปิดโรงเตี๊ยมของเจ้าด้วย”
เฉียวจินเหนียงยิ้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ แล้วคนตระกูลฉินปฏิเสธที่จะไล่หยูซุยออกไปหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เย้ยหยันและกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าฉินบอกว่าหยูซุยเป็นญาติของนาง ดังนั้นเธอจึงต้องปกป้อง คนในตระกูลฉินไม่ไว้หน้าพวกเราเลยด้วยซ้ำ!”
เฉียวจินเหนียงกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ลูกมีความคิดหนึ่ง มันอาจจะไม่เหมาะสม แต่เนื่องจากเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ลุกจึงอยากจะพูดมันออกไป แม้ว่าท่านจะตำหนิลูกก็ตาม
“ถึงแม้ว่าลูกจะออกไปนอกจวนไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ลูกออกไปจะต้องมีคนมาเยาะเย้ยลูกอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าตระกูลของเราจะมีอำนาจและเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่เราก็ไม่สามารถทำอะไรพวกที่นินทาได้
“ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาไม่คิดว่าท่านพ่อจะทำให้สามีหรือบิดาของพวกเขาลำบากเพียงเพราะแค่คำนินทาพวกนี้
“ตระกูลฉินก็ต้องเคยได้ยินเรื่องซุบซิบเหล่านั้นเช่นกัน และแน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าฉินไม่ต้องการให้มี”รอยด่าง” ใดๆในชื่อเสียงของตระกูลนาง
“หากครั้งนี้ เราไม่สามารถทำให้พวกเขายอมรับความผิดได้ แม้ว่าพี่หรูหยุนจะกลับไปแล้วนางก็ยังต้องทุกข์ทรมานต่อไป
“และเมื่อพิจารณาจากทัศนคติของฮูหยินผู้เฒ่าฉินแล้ว พี่หรูหยุนจะต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ
“แต่ถึงแม้นางจะไม่กลับไป ตระกูลฉินก็จะไม่สนใจเช่นกัน พวกเขาสามารถฉวยโอกาสนี้ในการกำจัด”รอยด่าง" ที่ส่งผลต่อชื่อเสียงของตระกูล ซึ่งในสายตาของพวกเขาก็คือพี่หรูหยุน”
ฮูหยินใหญ่พยักหน้า “แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี จินเอ๋อร์?”
เฉียวจินเหนียงกล่าวว่า "เหตุผลที่ฮูหยินผู้เฒ่าฉินทำเช่นนี้ก็เพื่อชื่อเสียงของพวกเขา ดังนั้นเราควรต่อสู้กับพวกเขาด้วยชื่อเสียงเช่นกัน
ข้ามีความคิดที่เห็นแก่ตัว มันจะช่วยพี่หรูหยุนและข้าจากความลำบากใจใดๆในอนาคตได้ แต่อาจจะทำให้ท่านแม่และท่านพ่อต้องลำบากใจ…”
ฮูหยินใหญ่ถาม "เจ้ามีความคิดอะไรหรือ"
เฉียวจินเหนียงกล่าวว่า "ท่านพ่อบุญธรรมของลูกก็แซ่เฉียว
“ทำไมเราไม่บอกคนอื่นไปว่าท่านพ่อบุญธรรมเป็นพี่น้องร่วมสาบานของท่านพ่อล่ะเจ้าคะ
“ผู้คนหัวเราะเยาะพี่หรูหยุนและลูกเพราะท่านพ่อบุญธรรมเป็นบ่าวรับใช้
“แต่หากท่านพ่อยอมรับท่านพ่อบุญธรรมเป็นพี่น้องร่วมสาบาน พี่หรูหยุนก็จะกลายเป็นลูกสาวของพี่น้องร่วมสาบานของนายท่านหวัง
“ณ จุดนี้ จะไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะสายเลือดของนางอีก รวมถึงคนในตระกูลฉินด้วย”
ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “แต่ท่านพ่อบุญธรรมของเจ้าเป็นแค่พ่อครัว…”
เฉียวจินเหนียงก้มหัวและพูดว่า “ท่านแม่ อดีตฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถังก็มีพี่น้องร่วมสาบานที่เป็นสามัญชนเช่นกันนะเจ้าคะ หลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงแต่งตั้งให้พี่น้องร่วมสาบานของพระองค์ขึ้นเป็นหวัง
“แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็มีพี่น้องร่วมสาบานที่เป็นสามัญชน ดังนั้นทำไมท่านพ่อจึงทำเช่นเดียวกันไม่ได้ล่ะเจ้าคะ
“ถ้าท่านพ่อยอมทำเช่นนั้น พวกชอบนินทาพวกนั้นจะหัวเราะเยาะท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมของลูกไม่ได้อีกต่อไป
“และลูกเองก็จะไม่ถูกเยาะเย้ยว่าลูกถูกเลี้ยงดูมาโดยทาสอีกต่อไป แต่ลูกถูกเลี้ยงดูมาโดยพี่น้องร่วมสาบานของท่านพ่อ”
ฮูหยินใหญ่กล่าวว่า “แม่ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับท่านพ่อของเจ้าก่อน”
…
ณ พระราชวังตะวันออก
ลู่เฉินมองดูจดหมายและถุงหอมที่อ๋องหรงน้อยส่งมาและเล่นกับมัน
ถุงหอมนี้เล็กและบอบบางมาก มันมีกลิ่นหอมแบบเดียวกันกับอันที่นางทำให้เขาเมื่อปีที่แล้ว
ลู่เฉินหยิบมันขึ้นมาและผูกไว้กับเข็มขัดหยกของเขา
อ๋องหรงน้อยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่เจ็ด ข้าว่าถุงหอมนี้ดูเหมือนจะเป็นของต้วนเอ๋อร์นะพะย่ะค่ะ…”
ลู่เฉินชำเลืองมองไปที่อ๋องหรงน้อยที่อยู่ด้านข้าง “มีถุงหอมแค่อันเดียวหรือ?”
"พะย่ะค่ะ"
“แล้วของข้าล่ะ”
ลู่เฉินอ่านจดหมายซึ่งมีข้อความว่า “โรงเตี๊ยมของข้าจะเปิดในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นข้าจะสามารถไปที่จวนของอ๋องหรงได้ในตอนบ่าย และข้าหวังว่าข้าจะได้พบต้วนเอ๋อร์ที่นั่น”
ลู่เฉินพูดกับหวังหรงน้อยว่า “ข้าจะพาต้วนเอ๋อร์ไปที่จวนของหวังหรงในบ่ายวันพรุ่งนี้ เจ้าเขียนจดหมายตอบกลับไปให้นางด้วย”
หมดคำพูด อ๋องหรงน้อยมองดูถุงหอมที่เอวของลู่เฉิน...
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ถุงหอมที่เล็กขนาดนี้ก็ต้องทำขึ้นมาเพื่อต้วนเอ๋อร์