ตอนที่ 1240 อาจารย์? ผมไม่มีอาจารย์
น้ำเสียงของ หยุน จงเจิ้ง ดูออกจะไม่ดีนัก เขาเองเริ่มที่จะไม่พอใจ หลินฟาน เด็กคนนี้ที่มันกล้าบุกเข้ามาในหยุนเหมินเพียงลำพัง การกระทำเช่นนี้.. มันเห็นหยุนเหมินของเขาเป็นอะไร! หรือมันจะหยิ่งยะโสจนมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แบบนี้.. นี่มันจะท้าทายกันเกินไปหน่อยไหม!
หลินฟาน กล่าวว่า : “อย่างที่ผมบอก หยุน ชิงเย้า ไป ผมมาที่นี่ก็เพื่อพูดคุยกันด้วยเหตุผล ผมเองหวังว่าจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเรากันได้ และหยุนเหมินจะต้องไม่ส่งคนไปยังเมืองหยุนเฉิงอีกต่อไป นั่นก็เพื่อจะไม่สร้างปัญหาให้กับผม หรือคนของผม..”
สิ่งที่ หลินฟาน พูดนั้นเป็นความจริง และแน่นอนว่า ..ความเกลียดชัง มีแต่จะทําให้เกิดความเกลียดชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากเขาโยน หยุน ชิงเย้า เข้าคุก หยุนเหมิน คงเลือกที่จะไม่ยอมแพ้แน่ๆ และจะส่งคนไปยังเมืองหยุนเฉิงอย่างแน่นอน ..ต่อไปเมื่อถึงเวลานั้นความขัดแย้งก็จะยิ่งลึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะถึงขั้นควบคุมไม่ได้
หลินฟาน จึงได้เลือกพา หยุน ชิงเย้า กลับไปหยุนเหมิน ที่อยู่ห่างไกลหลายพันลี้ ก็เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาในคราวเดียว จากจุดนี้.. หลินฟานมีเหตุผลจริงๆ เขาไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้กับคนของหยุนเหมิน ถ้า หลินฟาน มาด้วยจุดประสงค์ในการโจมตีหยุนเหมิน หากนับตั้งแต่แรก เขาคงไม่คิดปล่อย หยุน ชิงเย้า ไป แต่จะเริ่มต้นเปิดฉากต่อสู้กับหยุนเหมิน
การเอาชนะหยุนเหมิน มันก็มีวิธีที่ง่าย และหยาบคายมากอยู่ จริงๆ แล้วในบางครั้ง ยิ่งเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาก็จะดูมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งมันยังนํามาซึ่งความรู้สึกของการได้พิชิต เช่นเดียวกับจักรพรรดิผู้ก่อตั้งนับตั้งแต่สมัยโบราณ ที่บุกเข้าเปิดแผ่นดิน และภูเขา หลายพันลี้ด้วยม้าเหล็ก หากพูดตามหลักเหตุผล ในโลกนี้ ใครมีกําปั้นใหญ่สุดก็ย่อมมีเหตุผลเสมอ แบบนี้.. แล้วใครจะไปกล้าพูดเหตุผลกับคุณล่ะ?
แต่ หลินฟาน ไม่ใช่จักรพรรดิ ในระดับหนึ่ง หลินฟาน อาจเรียกได้ว่าเป็นนักวิชาการ ซึ่งถือเป็นเยาวชนที่มีอารยธรรมภายใต้อิทธิพลของอารยธรรมสมัยใหม่ ดังนั้น หลินฟาน จึงต้องการแก้ไขปัญหา และโดยทั่วไปเขาก็ต้องการเจรจากันด้วยเหตุผลก่อน และจะไม่คิดขึ้นมาก็ใช้วิธีการป่าเถื่อน เว้นเสียแต่ว่า ..จะไม่มีทางเลือกจริงๆ
“เจ้า.. เป็นใครกันแน่?”
หญิงชราที่อยู่ข้างๆ ก็ได้เปิดปากถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
หญิงชราคนนี้ก็คือ ท่านยาย ผู้เป็นมือศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือของคนในหยุนเหมิน หลินฟาน ได้ปิดผนึกจุดตันเถียนของ หยุน ชิงเย้า แต่ ท่านยาย ผู้ที่เป็นมือศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นหมอเทวดาที่ทุกคนเคารพกลับไม่สามารถปลดผนึกมันได้ ซึ่งในเรื่องนี้มันก็ได้ทําให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่า หลินฟาน เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบปีต้นๆ เธอเองก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อนั้นเธอก็ต้องการอยากที่จะพบเห็น หลินฟาน ด้วยตาของเธอเอง
หลินฟาน พูดว่า : “ผมชื่อ หลินฟาน”
เขาคิดว่า คุณยาย คนนี้อาจจะหูตึง ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขาเองก็เพิ่งจะแนะนําตัวเองออกไปไม่ใช่หรือ…?
หญิงชรา กล่าวว่า : “ข้าถามถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า แล้วอาจารย์ของเจ้าเป็นใคร?”
หลินฟาน พูดว่า : “อาจารย์? ผมไม่มีอาจารย์”
หญิงชรา ได้หัวเราะออกมาทันที พร้อมกับกล่าวไปว่า : “เจ้าหนุ่มเอ๋ย.. เจ้าเองอยากที่จะมาแก้ปัญหา ก็คงต้องรบกวนให้เจ้าพูดมันออกมาอย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยๆ เจ้าเองก็ต้องตอบคําถามของ ชายชรา และหญิงชราอย่างตรงไปตรงมาได้ หญิงชรา จะถามเจ้าอีกครั้งว่า เจ้าเป็นศิษย์จากสำนักนิกายซ่อนเร้นไหน แล้วอาจารย์ของเจ้าคือใคร และใครเป็นคนสอนเทคนิคการแพทย์นั้นให้กับเจ้ากัน?”
คำถามเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ ท่านยาย และหยุน จงเจิ้ง ได้ปรึกษากันอยู่ในก่อนหน้านี้ เด็ก หลินฟาน คนนี้กล้าที่จะมาเหยียบหยุนเหมินของพวกเขาเพียงลำพัง เกรงว่าเขาจะต้องมีบางอย่าง และทักษะความสามารถในการใช้เข็มเงิน มันก็แสดงให้เห็นถึงพลัง และความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ซึ่งมันก็ยิ่งทําให้ผู้คนอดที่จะนึกคิดไม่ได้
พวกเขาจึงจําเป็นต้องเข้าใจภูมิหลัง และตัวตนของ หลินฟาน เสียก่อน แล้วค่อยตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ กล่าวคือ ถ้าหาก หลินฟาน มียักษ์ใหญ่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาเองก็ไม่สามารถที่จะไปยั่วยุได้ แต่หากไม่.. งั้นพวกเขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดดีๆ ด้วย และไม่ต้องเกรงใจ หรือสุภาพใดๆ ต่อ หลินฟาน อีกต่อไป
ปัญหาคือ.. สิ่งที่ หลินฟาน แสดงมันออกมา มันได้ทําให้พวกเขาเชื่อว่ามียักษ์ใหญ่อยู่เบื้องหลังของ หลินฟาน อย่างแน่นอน หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสำนักนิกายซ่อนเร้นที่เก่าแก่กัน?
แม้จะเป็นสำนักนิกายซ่อนเร้นด้วยกันทั้งหมด ที่ถูกเรียกกันในปัจจุบัน แต่จริงๆ แล้ว.. มันมีความแตกต่าง ความแตกต่างที่ว่านี้ต่างกันที่ตรงจุดแข็ง โดยรวมมีสำนักนิกายซ่อนเร้นที่มีอยู่โดยทั่วไป และอีกหนึ่งคือ.. สำนักนิกายซ่อนเร้นที่อยู่มานับตั้งแต่สมัยโบราณ
โดยทั่วไปแล้ว กองกําลังศิลปะการต่อสู้ที่ได้มีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีสำนักนิกายซ่อนเร้นบางแห่ง ที่พวกเขาต่างมีความแข็งแกร่งมากมานับตั้งแต่สมัยโบราณ และแม้กระทั่งเคยเป็นหนึ่งในมหาอำนาจใหญ่ในยุทธภพ พวกเขาอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยความแข็งแกร่ง และยังคงอยู่เหนือสำนักนิกายซ่อนเร้นอื่นๆ
หากดูผิวเผิน ..ก็เหมือนว่า สำนักนิกายซ่อนเร้นที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นแยกออกจากกันโดยตรง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาต่างก็คอยจับตา และจะให้ความสนใจกับการพัฒนาของกัน และกัน
เท่าที่ทางหยุนเหมินรู้ สำนักนิกายซ่อนเร้นที่เก่าแก่ และรอดชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบัน มีอย่างน้อยๆ สามสำนักนิกาย
หลินฟาน เองก็น่าจะมาจากหนึ่งในนั้น…
หลินฟาน เหงื่อตก เขาได้พูดไปทันทีว่า : “ผมไม่ได้โกหกพวกคุณ.. และผมเองก็ไม่มีอาจารย์จริงๆ”
เพียงเพราะเขามีทัศนคติที่จริงใจในการแก้ปัญหา เขาจึงพูดความจริงออกไปทั้งหมด และเขาก็ไม่จําเป็นที่จะต้องไปหลอกอีกฝ่าย
หยุน จงเจิ้ง มีสีหน้ามืดครึ้ม และเขาพูดไปว่า : “เจ้ากำลังหมายความว่า.. เจ้าไม่ได้มาจากสำนักนิกายซ่อนเร้น และไม่มีใครสอนสั่งเจ้าเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของเจ้า งั้นหรือ?”
หลินฟาน ได้พยักหน้า : “อืม.. ใช่”
หยุน จงเจิ้ง มีสีหน้าที่กำลังแสดงออกว่า ‘คุณมองมาที่ฉัน แล้วเห็นว่าฉันเชื่อคุณไหม’ เขาเองได้ฮึ่มเสียงออกมา แล้วพูดว่า : “ข้ากลับเห็นว่าเจ้า ..ไม่ได้อยากมาเพื่อจะแก้ปัญหา แต่เจ้า.. กลับมาเพื่อจะล้อเล่นกับเรา!”
ยิ่ง หลินฟาน ปฏิเสธที่จะยอมรับ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าภูมิหลังของ หลินฟาน นั้น ..ไม่ง่าย
หลินฟาน กล่าวว่า : “พวกคุณอยากให้ผมพูดอย่างไรถึงจะเชื่อ และแท้จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนจากสำนักนิกายซ่อนเร้นจริงๆ”
ท่านยาย พูดว่า : “ถ้าเจ้าไม่ใช่คนจากสำนักนิกายซ่อนเร้น ความสามารถทั้งหมดของเจ้า เจ้าได้มันมาอย่างไร รวมถึงทักษะการแพทย์ของเจ้าก็เช่นกัน คงไม่ใช่ว่าร่วงหล่นลงมาจากฟ้า หรือโผล่ออกมาจากอากาศหรอก จริงไหม? ชิงเย้า.. เคยตรวจประวัติของเจ้าแล้ว และข้าก็เชื่อในการตัดสินของ ชิงเย้า”
หลินฟาน เหงื่อตกทันทีที่คุณยายคนนี้พูด เอาไงดี.. พลังงานที่น่าทึ่งในร่างกายของเขาก็ดี หรือทักษะทางการแพทย์ระดับบนสุดของเขาก็ดี จะบอกว่ามันมาจากอากาศ อืมม.. เขาก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนจริงๆ เขาเองก็แค่ลงชื่อเข้าใช้ ระบบก็ได้ส่งมอบมันมาให้กับเขา เขาไม่จําเป็นต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตในการฝึกฝนเหมือนกับคนอื่นๆ ทั้งมันยังเป็นการนําเข้าข้อมูลโดยตรง
ผู้เล่นที่ใช้กลโกงอย่าง หลินฟาน เป็นสิ่งที่ผู้เล่นโดยทั่วไปไม่สามารถเข้าใจ และไม่กล้าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ไอ.. อะแฮ่ม” หลินฟาน ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพยายามอธิบาย เพื่อให้มันดูสมเหตุสมผล เขาทําได้แค่ต้องแต่งเรื่องขึ้นมา : “ก่อนอื่น ผมขอชี้แจงว่า ผมไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ผมไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ และไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังมาก่อน แต่บังเอิญผมได้ไปหยิบหนังสือทางการแพทย์เล่มหนึ่งขึ้นมาเป็นครั้งคราว และผมก็ได้เรียนรู้ศึกษาจากหนังสือตำราแพทย์เล่มนั้นมาด้วยตัวเอง พอเรียนไปเรียนมาก็กลายมาเป็นแบบนี้แล้ว…”
หยิบหนังสือตำราทางการแพทย์ เรียนรู้มันด้วยตนเอง และด้วยการฝึกฝนบ่มเพาะ จนได้เทคนิคทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง!
ท่านยาย และหยุน จงเจิ้ง ต่างหันมามองหน้ากัน และทั้งคู่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา หลินฟาน อาจจะโกหก หรือถ้าเขาไม่ได้โกหก งั้นอธิบายได้เพียงสองประเด็นเท่านั้น หนึ่งคือ หลินฟาน ได้หยิบหนังสือตำราลับเล่มหนึ่งที่ได้หายสาบสูญไปนาน กับสองคือ หลินฟาน เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้!
ในช่วงขณะหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถตัดสินได้ว่า สิ่งที่ หลินฟาน พูดนั้น เป็นเรื่องโกหกหรือไม่ เพราะศิลปะการต่อสู้ก็ได้รับการสืบทอดมานานนับพันปี ยิ่งในช่วงเวลานั้นกองกำลังศิลปะการต่อสู้ก็ได้มีการเพิ่มขึ้น และถูกลบหายไปเป็นจํานวนมาก ในขณะเดียวกันก็มี ตำราศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังมากมายที่ได้สูญหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
ในยุทธภพการมองหาทักษะลับที่หายสาบสูญไปก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แม้กระทั่งในนวนิยายศิลปะการต่อสู้หลายเรื่อง ก็มีการใช้เทคนิคทักษะวิชาลับของศิลปะการต่อสู้เป็นธีมฉากคลาสสิก เช่น ..ตัวละครเอกตกจากหน้าผาก็ได้หยิบทักษะวิชาลับมาได้จากในถ้ำมืด และฝึกฝนมันจนชำนาญได้ในชั่วข้ามคืน และกลายมาเป็นผู้อยู่ยงคงกระพันในโลกหล้า
ดังนั้น การที่ หลินฟาน บอกว่าเขาได้หยิบหนังสือทางการแพทย์ขึ้นมาเป็นครั้งคราว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้อยู่ และแม้กระทั่งในยุทธภพนี่ ..มันก็ดูออกจะเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป
หรือว่า สิ่งที่ หลินฟาน พูดนั้น ..มันเป็นความจริง เขาไม่ใช่ศิษย์สาวกสำนักนิกายซ่อนเร้นที่เก่าแก่จริงๆ?
หยุน จงเจิ้ง ได้จ้องมองไปที่ หลินฟาน และพูดเสียงทุ้มออกไปว่า : “เจ้าหนู.. เจ้าไม่ได้มาจากสำนักนิกายซ่อนเร้น แต่เจ้ากลับกล้าที่จะบุกมาที่หยุนเหมินของเรา ..ด้วยตัวคนเดียว เช่นนี้เจ้าคิดอย่างไรกับหยุนเหมินของข้ากัน? หรือว่าเจ้าจะคิดว่า เจ้า.. เองจะสามารถหลบหนีออกไปได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย งั้นหรือ?”
หลินฟาน ยิ้ม แล้วพูดว่า : “อย่างที่ผมพูดไปในตอนแรก ผมมาที่นี่เพื่อพูดด้วยเหตุผล และการที่พวกเรามาอธิบายกันด้วยเหตุผลให้เข้าใจกันได้แล้วนั้น แล้วทําไมผมถึงจะกลับออกไปไม่ได้ เว้นเสียแต่พวกคุณจะไม่ยอมพูดด้วยเหตุผลกับผม พอหากเป็นเช่นนั้นจริง.. งั้นผมเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้…”
“ดี” หยุน จงเจิ้ง ได้กล่าวขึ้นทันที : “เจ้าเอาแต่พูดว่ามีเหตุผลกับเรา.. งั้นทางข้าเองก็จะพูดเหตุผลกับเจ้าด้วยเช่นกัน ข้าขอถามเจ้าว่า ศิษย์หยุนเหมินของข้าถูกฆ่าตาย และหยุนเหมินของข้าจะไปเรียกร้องความยุติธรรม นั่นมันก็สมเหตุสมผล หรือว่า เจ้า.. คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล?”