บทที่ 9 มาสู้ตัดสินกัน!
จัวหย่วนอยู่ในค่ายมานาน สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือเข้าใจคน
คำพูดทุกประโยคของเสิ่นเยว่เมื่อครู่ล้วนชัดเจนลื่นไหล ไม่มีท่าทางสะดุดหรือดูเป็นการท่องจำแม้สักนิด
แม้ว่าจะมีหลายอย่างที่เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกและไม่ได้เข้าใจเสียทั้งหมด แต่เด็กๆ ที่อยู่ในจวนอยู่ในใจของเขาเสมอ จัวหย่วนใช้เวลาและให้ความใส่ใจต่อพวกเขาอย่างยิ่ง เมื่อครู่เสิ่นเยว่แสดงความคิดออกมาไม่น้อย ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เขาเคยสงสัยอยู่ภายในใจ ดังนั้นในตอนที่เสิ่นเยว่กล่าวถึงจึงสร้างความประทับใจให้เขา แม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการชี้ทางสว่างทำให้เขามองออกถึงความสงสัยที่อยู่ในใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
นางไม่ได้เลียนแบบ
แต่เคยทำมาก่อน ดังนั้นจึงเกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่เหมือนกับวิธีของโมโม่ที่เคยเชิญมาที่จวน
จัวหย่วนเคยฟังโมโม่พูดต่อหน้าเขามาไม่น้อยว่าต้องดูแลเด็กๆ ภายในจวนอย่างไร หากไม่ใช้สูตรตายตัวก็ทำราวกับว่าคำพูดของตนเต็มไปด้วยเหตุผล และสิ่งที่กล่าวถึงมากที่สุดก็มีเพียงอาหารการกินและความเป็นอยู่...ค่อยๆ ทำไปทีละขั้นตอน แต่อย่างวันนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการวาดแผนภาพ ทั้งยังมีรูปแบบที่ชัดเจน พิจารณาจากคำว่า ‘ดูแล’ เด็กๆ อย่างแท้จริง...
จัวหย่วนจ้องไปที่นาง ถามเสียงนิ่ง “จะแบ่งอย่างไร?”
ดวงตาที่สดใสของเสิ่นเยว่ไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาของเขา นางพูดเจื้อยแจ้ว “ท่านอ๋องสามารถเปิดดูได้ในส่วนท้ายสุดของกระดาษ...”
จัวหย่วนปฏิบัติตาม ก้มดูด้านซ้ายสุดของท้ายม้วนกระดาษ
อันที่จริงนางวาดแผนภาพการกระจาย [1] เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเขียนอธิบายโดยละเอียด
เสิ่นเยว่ก้าวเท้ามาข้างหน้า ยืนอยู่ข้างเขา โน้มตัวลงเล็กน้อย ปลายนิ้วชี้ไปยังแผนภาพการกระจายบนม้วนกระดาษ “อยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ...”
เสียงของนางดังอยู่ข้างหูของเขา อ่อนโยนแต่มีกำลัง ทั้งยังมีกลิ่นหอมของสบู่อ่อนๆ โชยมาจากผมของนาง
ไม่รู้ว่าทำไมจัวหย่วนจึงรู้สึกใจเต้น
เขาไม่ได้หันไปมองนาง แต่ก้มหน้าต่อไป แสร้งทำเป็นสนใจเพียงแผนภาพและตัวอักษรบนม้วนกระดาษ
สายตาของเขาหยุดมองที่ปลายนิ้วของนาง หลังจากนั้นด้านหลังหูก็แดงระเรื่อ
เป็นธรรมดาที่เสิ่นเยว่จะคาดเดาความคิดเขาไม่ได้ นางยืนอยู่ข้างเขา กล่าวอธิบายอย่างจริงจัง “อันดับแรกจะเป็นการสำรวจช่วงเช้าก่อนเข้าโรงเรียน ช่วงเช้ามีกำหนดการรูปแบบตายตัว จะตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กๆ ตามลำดับว่าปกติหรือไม่ ปากและจมูกไม่มีความผิดปกติ มือทั้งสองข้างและเล็บตัดทำความสะอาดหรือไม่ มีตุ่มหรือรอยแดงไหม หลังจากนั้นเมื่อทำความสะอาดมือเรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล ทำเช่นนี้สามารถป้องกันการติดต่ออาการป่วยได้ไม่น้อย สร้างนิสัยรักสะอาดให้แก่เด็กๆ และทำให้เขาเข้าใจว่าร่างกายของตนเองแข็งแรงดีหรือไม่ ค่อยๆ สร้างนิสัยว่าสิ่งใดมีความเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของร่างกาย จำเป็นต้องให้พวกเขาตระหนักรู้ว่าไม่ว่าจะเวลาไหนก็ต้องดูแลตัวเอง”
จัวหย่วนกล่าวเสียงเรียบ “จำเป็นต้องให้หมอมาที่จวนทุกวันหรือไม่?”
เสิ่นเยว่ชะงักไป แล้วยิ้มพลางกล่าวในทันที “ข้าทำเองได้...”
จัวหย่วนมองไปทางนาง “เจ้าทำเองได้?”
เสิ่นเยว่รับรู้ถึงความกังวลในใจของเขา นางอธิบายอย่างอดทน “การตรวจสอบในตอนเช้าก่อนเข้าโรงเรียนเป็นการตรวจสอบประจำวัน หากมีความผิดปกติใดค่อยสังเกตดูอาการ แล้วค่อยเชิญหมอมา”
จัวหย่วนเข้าใจ
เสิ่นเยว่พูดต่อ “หลังจากตรวจตอนเช้าแล้ว จะมีการจัดให้รับประทานอาหารเช้าในโรงเรียน จะไม่มีการรับประทานอาหารที่เรือนตนเอง”
เมื่อฟังถึงตรงนี้เถาตงโจวก็เกิดความลังเล “แม่นางเสิ่น ตอนนี้คุณชายและคุณหนูล้วนรับประทานอาหารอยู่ที่เรือนของตนเอง เพราะต่างคนต่างมีความชอบ จึงมีห้องครัวเล็กที่มีการจัดเตรียมต่างกันไปในแต่ละเรือน อีกทั้งอายุของคุณชายและคุณหนูยังแตกต่างกัน อย่างเช่นคุณชายห้าสามารถรับประทานอาหารด้วยตนเองได้ แต่คุณหนูเก้าส่วนมากจำเป็นต้องให้สาวใช้หรือหัวหน้าแม่บ้านในเรือนเป็นคนป้อน หากรวมตัวอยู่ด้วยกัน มิสู้แยกกันอยู่จะเรียบร้อยกว่า?”
จัวหย่วนมองนาง
แม้จัวหย่วนจะไม่ได้คล้อยตามคำพูดของลุงเถา แต่ก็ไม่ขัดจังหวะ ความกังวลเช่นลุงเถาเขาเองก็มีเช่นกัน
เสิ่นเยว่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวอธิบาย “ความหมายของผู้ดูแลจวนเถาข้าเข้าใจ ที่จริงแล้วได้พิจารณาจุดนี้มาตั้งแต่เริ่ม...เมื่อวานข้าสังเกตดูแล้ว นางสามารถรับประทานอาหารได้เอง เพียงแต่ไม่ชำนาญ หากนางอยู่ในที่ของตนก็จะคุ้นชินกับการให้คนในเรือนคอยป้อน แต่ถ้าอยู่ร่วมกับเด็กคนอื่น นางก็จะคุ้นชิน ทำการเลียนแบบและฝึกฝน แท้จริงแล้วในโรงเรียนไม่ได้มีเพียงการรับประทานอาหาร ยังมีเรื่องต่างๆ ที่สามารถทำด้วยตนเองได้เพื่อให้พวกเขาค่อยๆ ปรับตัว”
เถาตงโจวพยักหน้า
เสิ่นเยว่กล่าวอีกครั้ง “อีกทั้งประโยชน์ของการรับประทานอาหารร่วมกันยังมีอีกหนึ่งอย่าง เด็กๆ มักจะเลือกกินไม่มากก็น้อย หากอยู่ร่วมกัน เมื่อเห็นเด็กคนอื่นกินผัก พวกเขาจะเปรียบเทียบ ไตร่ตรอง และเลียนแบบ อาหารที่ครัวทำมีหลากหลายอย่าง แต่เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าเด็กๆ ได้รับสารอาหารเพียงพอหรือไม่...”
เสิ่นเยว่ชะงักไป แล้วอธิบายอย่างระมัดระวัง “หมายถึงรับประทานอาหารที่ดีและเหมาะสมต่อร่างกายหรือไม่...เมื่อเด็กๆ อยู่ร่วมกัน ทุกมื้อจะต้องมีอาหารแตกต่างกันไป พวกเขาสามารถเลือกทานจากอาหารที่มีหลายอย่าง และต่างคนต่างสามารถเตือนกันได้ว่าวันนี้เจ้ากินผักและเนื้อเพียงพอหรือยัง ลองคิดดูว่าจะกินให้มากกว่านี้หรือไม่ สิ่งนี้ก็เป็นการฝึกฝนภาษาและการไตร่ตรองของเด็กเล็ก...”
ครั้งนี้ แม้แต่เถาตงโจวก็ฟังจนเคลิ้มไป
ความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต แต่ความจริงเขาเองก็นึกถึงตอนที่เด็กๆ ร่วมกันรับประทานอาหารอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็ถึงขั้นแย่งกัน ดูคึกคัก
ตอนนี้คุณชายและคุณหนูต่างคนต่างอยู่ที่เรือนของตนเองทำให้ดูเงียบเหงาไม่น้อย...
เถาตงโจวอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
จัวหย่วนก้มหน้า มองเนื้อหาในแผนภาพด้วยความสงสัยต่อ...
เสิ่นเยว่ยังอธิบายกิจกรรมหลังอาหารเช้าตามลำดับ ทั้งโครงสร้างการทำงานอย่างอิสระภายในห้องเรียน เพิ่มมื้ออาหารในช่วงเช้า หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมกลางแจ้ง พักผ่อนตอนเที่ยง ตอนกลางวันหลังจากตื่นแล้วก็รับประทานอาหาร สร้างช่วงรอยต่อระหว่างการเรียนในชั้นเรียนหลัก และทำกิจกรรมกลางแจ้งครั้งที่สอง เป็นต้น... ใช้ระยะเวลาในแต่ละวันเหมือนกัน แต่เนื้อหาไม่เหมือนกัน จัวหย่วนเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดเมื่อก่อนเสิ่นเยว่จึงบอกว่านางดูแลได้
——ในทุกวัน ตั้งแต่ยามเฉิน [2] จนถึงยามซวี [3] นางวางแผนไว้ได้อย่างเหมาะสม หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้วจึงค่อยกลับเรือนของตนเอง เด็กกลุ่มนี้ก็จะไม่มีเวลาว่างไปก่อความวุ่นวาย...
และแผนการทั้งหมดล้วนเป็นการนำการเรียนผสมกับการเล่น ใช้เวลาไม่นาน ไม่เหมือนโมโม่คนก่อนที่ใช้เวลาทั้งวัน...
ประจวบเหมาะกับที่เถาตงโจวถามขึ้น เสิ่นเยว่พยักหน้ากล่าว “เด็กวัยนี้ไม่สามารถรวบรวมสมาธิทำอะไรติดต่อกันเป็นเวลานานได้ เวลาที่เหมาะสมสามารถสร้างความสนใจและความประหลาดใจ เพื่อให้พวกเขายินยอมที่จะฝึกฝนติดต่อกันเป็นเวลานานได้ ความสนใจเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด เด็กวัยนี้มีอุปนิสัยชอบเล่น รอเมื่อเด็กเติบโตขึ้นสักหน่อยก็สามารถเพิ่มเวลาขึ้นได้อีก และจำเป็นต้องกำหนดเวลาจบกิจกรรม...”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ จัวหย่วนก็นึกถึงเรื่องที่เขาสั่งให้จัวเย่เฝ้าเสี่ยวอู่ฝึกฝนหนึ่งชั่วยาม และนึกถึงท่าทางที่ไม่ยินยอมในทุกครั้งของเสี่ยวอู่
แท้ที่จริงแล้ว แรกเริ่มเหมือนว่าเสี่ยวอู่จะขอร้องให้เขาสอนกังฟูให้...
สายตาจัวหย่วนสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับเข้าใจความหมายของเสิ่นเยว่ขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้เสิ่นเยว่กำลังพูดคุยเรื่องรายการอาหารภายในโรงเรียนกับเถาตงโจว จัวหย่วนอดไม่ได้ที่จะมองนาง ที่จริงแล้วก็รู้อยู่แก่ใจ หากมีเสิ่นเยว่อยู่ โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่มีความจำเป็นต้องถามละเอียดขนาดนี้ ลางสังหรณ์ของเขา นางมีความรอบคอบมากกว่าโมโม่คนก่อนมาก และทำให้คนรู้สึกวางใจ...
สิ่งที่เขาจะถาม ไม่ใช่ว่านางจะทำอย่างไร แต่เป็นนางต้องการให้เขาทำสิ่งใด?
จัวหย่วนวางม้วนกระดาษลง “นอกจากเตรียมสถานที่ที่กว้างและสว่างแล้ว ยังมีอะไรที่ต้องเตรียมอีก?”
เถาตงโจวเองก็มองไปทางเสิ่นเยว่
ความหมายของท่านอ๋องคือ ต้องการให้เขาทำอะไรอีก
เสิ่นเยว่ก้มหน้ากล่าว “ต้องการผู้ช่วยสองคน ขณะดูแลเด็กยากที่จะหลีกเลี่ยงการดูได้ไม่ทั่วถึง อย่างเช่นดื่มน้ำหรือเวลาที่เด็กๆ รู้สึกไร้คนปลอบประโลม จำเป็นต้องมีคนคอยแบ่งเบาภาระ และต้องการอาจารย์สองสามคนที่สามารถนำเด็กๆ ออกกำลังกาย สอนให้รู้หนังสือและความงามของศิลปะ รวมถึงอาจารย์ทางด้านดนตรีที่สามารถเล่าเรื่องได้” เสิ่นเยว่พูดอย่างราบเรียบ “ข้าจะแจ้งตารางเรียนล่วงหน้าสามเดือนกับบรรดาอาจารย์ให้เรียบร้อย ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักช่วงฤดูกาลและประเพณี อย่างเช่นขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสองต้องกินโจ๊ก ฤดูหนาวหิมะตกชมดอกเหมย...”
จัวหย่วนไม่ได้ละสายตาไปไหน “ต้องการคนแบบไหน?”
เสิ่นเยว่ตอบกลับ “ผู้ช่วยที่พึ่งพาได้ รอบคอบ มีความอดทน ยินดีที่จะอยู่ร่วมกับเด็ก แต่มีเงื่อนไขคือ อาจารย์ผู้ให้ความรู้จะต้องร่าเริงสดใส มีความเป็นกันเอง”
จัวหย่วนเสียงนุ่มนวล “เช่นนั้นให้ลุงเถาเลือกคนที่เหมาะสมในจวนมาสองคน ให้พวกนางติดตามเจ้า แล้วค่อยนำป้ายของจวนอ๋องไปเชิญอาจารย์มาสักสองสามคน เจ้าเป็นคนคัดเลือก การสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายสามารถไปหาจัวเย่ได้ เจ้ารู้จักจัวเย่หรือไม่?”
เสิ่นเยว่พยักหน้า เมื่อวานเป็นจัวเย่ที่ส่งนางกับญาติผู้พี่กลับบ้าน หลังจากนั้นก็ยังเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือนเป็นเวลานานจนแน่ใจว่าคนของจวนเวยเต๋อโหวไม่ได้มาก่อความวุ่นวายอีก ต่อมาเมื่อผู้ดูแลจวนเถามาที่เรือน จัวเย่ถึงกลับไปพร้อมผู้ดูแลจวนเถา
จัวหย่วนกล่าวอีกครั้ง “ภายภาคหน้า เรื่องภายในจวนกับเด็กๆ ล้วนฟังเจ้า เกิดปัญหาอะไรให้ไปหาลุงเถา ลุงเถาจะช่วยเจ้า”
เสิ่นเยว่ชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจัวหย่วนจะเชื่อใจนางขนาดนี้...
และเถาตงโจวก็ถามในทันที “แม่นางเสิ่น ยังมีอะไรอีกหรือไม่?”
เสิ่นเยว่หลุดจากภวังค์ กล่าวกับเถาตงโจว “ยังต้องการช่างฝีมือด้วย เพื่อสร้างอุปกรณ์ในโรงเรียนให้มีขนาดเหมาะสมกับเด็กๆ หากเป็นไปได้ พยายามให้เปลี่ยนเครื่องใช้เก่าๆ ภายในเรือน ข้าไม่ค่อยเก่งในเรื่องการวาดภาพเครื่องใช้ในเรือน แต่ข้าสามารถบอกกับช่างฝีมือได้ว่าต้องการแบบใด พวกเขาสามารถฟังเข้าใจได้ ในโรงเรียนจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การสอน อุปกรณ์การสอนจำนวนมากจำเป็นต้องใช้มือทำ ดังนั้นในสองวันนี้จำเป็นต้องเลือกผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วมาสร้างอุปกรณ์การสอนพร้อมกับข้า เพื่อเตรียมใช้ในวันเปิดเรียน”
จัวหย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พรุ่งนี้เปิดเรียนไม่ได้?”
มะรืนนี้เขาจะออกศึกแล้ว เดิมทีเขาคิดอยากจะเห็นเด็กๆ ตอนอยู่ในโรงเรียนก่อนออกศึก เช่นนั้นจึงจะวางใจได้ แต่เมื่อฟังความหมายของเสิ่นเยว่แล้ว น่าจะต้องใช้เวลา...
เสิ่นเยว่ยิ้ม “ยังต้องรอไปก่อน นอกจากต้องเตรียมสิ่งของที่ใช้ในโรงเรียนอนุบาลแล้ว ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ ก่อนที่เด็กๆ จะมาที่โรงเรียนอนุบาล จะต้องเชิญผู้ดูแลคนสนิทมาพบกับข้า ต้องได้พบพวกเขาก่อนเพื่อบอกพวกเขาว่าโรงเรียนอนุบาลคืออะไร และเป็นการบอกให้พวกเขาทราบ ได้รับความยินยอมจากพวกเขา และให้ข้าได้สร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา เช่นนี้จะทำให้เด็กๆ ได้รับรู้ถึงการให้เกียรติ เป็นการอธิบายให้เขาฟัง จะทำให้พวกเขารอคอยวันนั้นที่จะมาถึง...”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ชั่วขณะนั้นจัวหย่วนจึงลืมละสายตาไป
“ยังมีอะไรอีกหรือไม่?” ในตอนที่มีการตอบสนอง จึงรีบปกปิดความจริงแล้วทำตัวนิ่งๆ
เสิ่นเยว่ยอบตัวทำความเคารพต่อเขากะทันหัน จัวหย่วนชะงักไปเล็กน้อย
เสิ่นเยว่ก้มหน้า “ในจวนอ๋อง ข้าจะเรียกชื่อของเด็กๆ เด็กๆ ก็จะเรียกข้าว่าอาเยว่ เสิ่นเยว่จะไม่คุกเข่าทำความเคารพและจะไม่ใช้อารมณ์ เช่นนี้จึงจะสามารถทำให้เด็กๆ ยอมเปิดใจและยอมพูดด้วย ท่านอ๋องจะเห็นด้วยหรือไม่?”
เถาตงโจวรู้สึกลังเล ในจวนล้วนเรียกคุณชายคุณหนู จะเป็นการไม่เหมาะสมหรือไม่...
“ได้” จัวหย่วนกลับรับปาก
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเยว่รู้สึกโล่งใจ
ที่มุมปากของจัวหย่วนแสดงรอยยิ้มราบเรียบ คล้ายกับซ่อนความอ่อนโยนอบอุ่นไว้ แล้วคล้อยตาม “อาเยว่...”
เสิ่นเยว่ชะงักไป
จัวหย่วนยกยิ้มมุมปาก หันไปทางเถาตงโจวแล้วกล่าว “ลุงเถา จากนี้ไปเมื่ออยู่ในจวนให้เรียกว่าอาเยว่”
เถาตงโจวมองเขาอย่างประหลาดใจ
ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากด้านนอกโถงข้าง ขัดจังหวะความคิดของทุกคน จัวเย่แสดงสีหน้าราวกับอยากจะตาย “ท่านอ๋อง คุณชายห้าบอกว่าต้องการสู้เพื่อตัดสินกับท่าน!”
จัวหย่วนแสดงสีหน้าอมทุกข์
-----------------------------------------
(1) แผนภาพการกระจาย หมายถึง Matrix Diagram เป็นแผนภาพที่ช่วยให้เข้าใจภาพรวมได้ง่ายในกรณีมีเหตุและผลที่หลากหลายมาเชื่อมสัมพันธ์กัน ด้วยการเขียนเหตุและผลออกมาเป็นตาราง 2 มิติ
(2) ยามเฉิน หมายถึง 07.00 – 08.59 น.
(3) ยามซวี หมายถึง 19.00 – 20.59 น.