บทที่ 9 ฟางกุ้ยอี้ทรงตั้งครรภ์
หลายวันมานี้ฮ่องเต้มักจะเรียกฉินชิงไปกินข้าว ตอนเย็นก็หยิบป้ายของฉินชิง ราวกับว่าความโปรดปรานที่มีให้ฉินชิงนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยน อาหารห้องเครื่องนับวันก็ยิ่งอร่อยเป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า พริบตาเดียวก็ถึงช่วงที่ต้องไปคารวะฮองเฮา
ฉินชิงไปถึงแต่เช้า มีเพียงสนมเค่อและสนมตวนที่มาถึงเกือบจะพร้อมกัน
“น้อมทักทายเจากุ้ยผิน” สนมเค่อและสนมตวนโน้มตัวลง
สนมเค่อและสนมตวนรู้จักฉินชิงดีจากข้อมูลที่แม่ของพวกนางมอบให้ ทั้งยังมีหลิวหลีที่คอยเล่าเรื่องของนางให้ฟังอีก แม้ว่าจะไม่อยากจำ แต่พวกนางก็รู้เรื่องเหล่านี้ผ่านการเล่าวนซ้ำไปซ้ำมาเจ็ดแปดรอบ
สนมสองคนนี้คือคนที่เคยปรนนิบัติฝ่าบาทมาก่อน สนมเค่อสนิทกับฮองเฮา ส่วนสนมตวนจะมีความคิดเป็นเอกเทศ แต่ก็ยังเคารพฮองเฮามาก
สนมตวนพูดกับฉินชิง “ฮองเฮากำลังแต่งตัว ดังนั้นจึงให้ข้าดูแลที่นี่ไปก่อน”
“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว” เมื่อกล่าวจบฉินชิงก็นั่งลงที่แถวสามด้านซ้ายมือ
สี่ตำแหน่งแรกคือเจิ้งกุ้ยเฟย หรงเฟย โหลวเฟย เจียเจี๋ยอวี้ ต้าเหลียงจะเรียงลำดับให้ความเคารพจากทางซ้ายมือ ตำแหน่งของฉินชิงในวังหลวงคือขั้นห้า จึงเหมาะสมที่จะนั่งในตำแหน่งนี้
ขณะที่ฉินชิงดื่มชา นางก็คิดถึงการแบ่งอำนาจในวังหลังที่มารดาให้คนไปหามาให้นางก่อนเข้าวังหลวง
แน่นอนว่าฮองเฮาก็คือหนึ่งพรรค ปัจจุบันสนมเค่ออยู่ใกล้ชิดฮองเฮา ทั้งยังมีไป๋เหม่ยเหรินที่เกือบจะไม่มีความโปรดปรานใดๆ แต่ก็ได้รับความห่วงใยจากฮองเฮา ชีวิตในวังก็นับว่าไม่เลว
เจิ้งกุ้ยเฟยเย่อหยิ่งเป็นนิสัย ไม่ยอมให้ใครมาแย่งความโปรดปรานภายใต้จมูกของนาง จึงจงรักภักดีต่อตนเองไม่ยอมจำนนให้ใคร
สนมเฟยได้รับความโปรดปราน ดูแคลนสนมระดับต่ำคนอื่นๆ ที่มาแบ่งปันความโปรดปรานของนาง จึงไม่ได้รับการสวามิภักดิ์จากสนมระดับล่าง
สนมโหลวก็เป็นอีกพรรคหนึ่ง หลายคนติดตามนางเพราะฐานะลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้ อย่างเช่นฟางกุ้ยอี้ที่จะได้รับความโปรดปรานเดือนละครั้ง
แม้ว่าสนมหนิงจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ก็ได้รับการสวามิภักดิ์จากสนมชั้นล่างหลายคน และยังมีฉางไจ้ต๋าอิ้งในวังอีกเล็กน้อย แต่เพราะนางค่อนข้างได้รับความโปรดปราน สนมชั้นล่างเหล่านั้นจึงยอมติดตามนาง แม้ว่าจะถูกหักเงินเดือนไปบ้าง แต่ก็นับว่าเอาเงินแลกกับความโปรดปราน และมีหลายคนที่ยอมทำเช่นนี้
วังหลังของฮ่องเต้องค์ใหม่มีไม่มากนัก แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขนาดนี้แล้ว ฉินชิงไม่กล้าจินตนาการเลยว่าวังหลังของฮ่องเต้องค์ก่อนจะซับซ้อนมากขนาดไหน นี่มีกุ้ยเฟยเพียงสองคน ตำแหน่งเฟยสี่คนก็เต็มแล้ว แม้แต่ตำแหน่งสนมที่สูงสุดก็ยังไม่เหลือ เหล่ากุ้ยเหรินฉางไจ้ต๋าอิ้งพวกนั้นไม่รู้ว่ามีกี่คน
ตามกฎแล้ว สนมขั้นบนขึ้นไปจะได้อยู่ในตำหนักหลัก แต่ช่วงที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังครองราชย์ บางครั้งสนมสองนางก็ต้องอยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง
ขณะที่คิดๆ อยู่นั้น ฮองเฮาก็เดินออกมา
นางยังคงดูสง่าสูงศักดิ์ รัศมีที่แผ่ออกมาทั่วร่างยังคงเป็นไปตามแบบมาตรฐานของหญิงสาวชนชั้นสูง นางประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฉินชิง คิดไม่ถึงว่าฉินชิงจะมาเร็วขนาดนี้
ปกติแล้วสนมที่ได้รับความโปรดปรานจะมาช้า ถ้าเมื่อคืนนี้ถวายตัวด้วยก็จะยิ่งมาช้า เพราะกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้นางได้ถวายตัว
“น้องเจามาเร็วจริงๆ”
“ชาของตำหนักฮองเฮาอร่อยมาก หม่อมฉันอยากดื่มให้มากหน่อยจึงมาเร็วขึ้นเพคะ” ฉินชิงพูดกับฮองเฮาด้วยรอยยิ้ม
“ตำหนักข้าเพิ่งจะนำชาหลงจิ่งเข้ามา เจ้ากลับชิมได้รส อยากดื่มมากๆ ก็ดื่มไปเถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้คนห่อชาให้เจ้านำกลับไปด้วย”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว ขอบพระทัยเหนียงเหนียง” ฉินชิงรู้สึกว่าตนควรจะเลือกฝ่ายในวังหลังแห่งนี้ และนางก็ยินดีเลือกฮองเฮา
ในการตรวจสอบของแม่ฉินชิง ฮองเฮาผู้นี้นับว่ากตัญญูต่อผู้อาวุโส ห่วงใยสามี และเมตตาต่อสนม ใส่ใจองค์ชายองค์หญิงทุกคน เพียงตอนที่นางสูญเสียลูกไปก็หดหู่อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังต้องแบกรับหน้าที่ของฮองเฮา ดูแลทุกอย่างในวังหลัง
ดังนั้น วันนี้นางจึงมาแต่เช้าเพื่อแสดงเจตนาดีต่อฮองเฮาและเพื่อให้คนอื่นคิดว่านางสวามิภักดิ์ต่อฮองเฮาแล้ว ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็เป็นอีกเรื่อง จะมีพรรคพวกในวังหลังหรือไม่ก็อีกเรื่อง
จริงๆ แล้วนางไม่เห็นด้วยกับสนมหรงที่ใช้ความโปรดปรานของตนมาสร้างพรรคพวก เพราะไม่มีใครได้รับความโปรดปรานตลอดไป ฉินชิงเองก็รู้ความจริงเรื่องนี้ดี ต่อให้งดงามแค่ไหน เมื่อเห็นจนชินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร
แม้ว่าจะรักษารูปร่างหน้าตาให้คงเดิมเสมอ แต่ใครจะชอบแบบเดิมไปได้ตลอด? ในวังหลังมีหญิงงามมากมายขนาดนั้น ยากจะรับประกันว่าฮ่องเต้จะไม่เปลี่ยนใจ
ตอนที่ไม่มีความโปรดปราน ก็คือตอนที่ถูกคนอื่นทำร้าย
ดังนั้นฉินชิงจึงต้องพิจารณาเรื่องหลังจากสูญเสียความโปรดปรานไปแล้ว และฮองเฮาก็เป็นร่มเงาที่ดี
สนมคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ มาถึงทีละคน ส่วนเจิ้งกุ้ยเฟยก็คือคนที่มาช้าที่สุด ส่วนสนมโหลวก็มาช้าเหมือนกัน มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด? ส่วนฟางกุ้ยอี้ในวังของนางก็ขอลา และยังมีฉีกุ้ยเหรินที่ขอลาเพราะไม่สบายอีก
ทุกคนต่างมาถึงกันแล้ว ฮองเฮาก็เริ่มพูด
“ช่วงนี้ยังเป็นเดือนสาม อากาศหนาวทั้งเช้าเย็น ช่วงนี้นางกำนัลและขันทีในวังก็เป็นหวัดกันมาก อยากให้พวกเจ้าดูแลตัวเองดีๆ ทายาทของฮ่องเต้มีน้อย พวกเจ้าต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีก่อน ถึงจะสามารถดูแลฮ่องเต้ให้ดีได้”
“หม่อมฉันน้อมรับคำสอนของฮองเฮา” ทุกคนลุกขึ้นและกล่าวพร้อมเพรียง
“ฉีกุ้ยเหรินเองก็น่าสงสาร สุขภาพไม่ค่อยดี ช่วงเวลาเช่นนี้ทุกปีนางมักจะป่วย โรคนี้กินเวลาหนึ่งเดือน จะหายก็ต่อเมื่ออากาศอุ่น”
สนมเค่อตอบ “ฮองเฮาใส่ใจพวกเรา พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดี”
สนมโหลวกล่าวต่อ “ช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ทำให้ป่วยง่าย โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์ก็ต้องระวังให้มากขึ้น วันนี้หม่อมฉันมาทูลข่าวดีกับฮองเฮา”
ทันใดนั้นเมื่อเจิ้งกุ้ยเฟยได้ยินเรื่องนี้ เล็บของนางเกือบจิกเข้าไปในฝ่ามือและสบถในใจ ‘สนมโหลวผู้นี้ เหตุใดถึงตั้งครรภ์แล้ว’
เมื่อสนมหรงได้ยินเช่นนั้นสีหน้าพลันหดหู่ขึ้นมา ในใจก็อึดอัดอย่างมาก คนอื่นท้องได้ แต่เหตุใดนางไม่ท้อง?
เจียเจี๋ยอวี้ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แต่ผ้าเช็ดหน้าในมือแทบจะฉีกออกจากกัน นางเพียงรู้สึกขุ่นเคืองในใจ เหตุใดนางถึงไม่ถูกเรียกตัวเลย แต่สนมโหลวกลับตั้งครรภ์แล้ว เป็นแค่กุ้ยอี้ชั้นต่ำเท่านั้น เหตุใดถึงได้ขึ้นมาเทียบขั้นกับนาง เหตุใดฮ่องเต้ถึงไม่เรียกตัวนางให้ไปปรนนิบัติเสียที
เดิมทีเจียเจี๋ยอวี้เข้าวังมาอย่างมีความสุข พ่อของนางเป็นเสนาบดีกรมพระคลัง และนางก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจี๋ยอวี้ ตอนนั้นนางรู้สึกว่าคนแรกที่ฮ่องเต้โปรดปรานต้องเป็นตัวนาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสนมเจา ปอดของนางแทบระเบิด พวกขันทีในตำหนักนางก็เริ่มนินทา
บ้างก็ว่าลงทุนไปจำนวนมากแต่ผลที่ได้กลับว่างเปล่า บ้างก็ว่าเหนียงเหนียงโชคไม่ดี ดังนั้นนางจึงหาเหตุผลในการส่งขันทีผู้นั้นเข้าไปในคุกและสั่งโบยนางกำนัลที่อยู่ข้างกายซึ่งนินทากับขันทีผู้นั้นคนละยี่สิบไม้
และทุกคนในวังหลังคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจ สามปีมานี้ยังไม่มีข่าวว่าสนมคนใดตั้งครรภ์
เพราะฮ่องเต้ไว้ทุกข์ให้บิดา เขาจะไม่แตะต้องใครในวังหลังแม้แต่คนเดียว หลังจากหนึ่งปี ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องวังหลังไปสนิท แทบไม่เรียกใครไปปรนนิบัติ จำนวนครั้งที่ฮ่องเต้เข้ามาในวังหลังสามปีที่ผ่านมาน้อยกว่าหนึ่งเดือนของฮ่องเต้องค์ก่อนเสียอีก
ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ว่าจะกินข้าวหรือนอนหลับก็ต้องมีสนมอยู่ข้างๆ และเป็นสนมที่ไม่ซ้ำหน้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮองเฮาก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ “หรือว่าน้องโหลวตั้งครรภ์? นั่นเป็นข่าวดีมากจริงๆ ประเดี๋ยวข้าจะเรียกหมอหลวงหลิวมาตรวจชีพจรของเจ้า” หมอหลวงหลิวคือหมอที่ชำนาญด้านนรีเวชศาสตร์ที่สุดในสำนักหมอหลวงแล้ว
“ฮองเฮา ไม่ใช่หม่อมฉันเพคะ แต่เป็นฟางกุ้ยอี้ในตำหนักของหม่อมฉันเพคะ นางเพิ่งจะบอกว่าเบื่ออาหารและอาเจียนทุกอย่างที่กินเข้าไป พอหม่อมฉันได้ยินเช่นนั้นก็ให้หมอหลวงฟางไปตรวจชีพจรให้ฟางกุ้ยอี้ นางตั้งครรภ์จริงๆ ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้วเพคะ”
ฉินชิงคิดในใจว่า ระยะเวลาสามเดือนครรภ์ได้แข็งแรงแล้ว สนมโหลวตั้งใจรอสามเดือนถึงได้บอกฮองเฮา เกรงว่าฮองเฮาจะไม่อยากเลี้ยงดูเด็กคนนี้
นอกจากนี้ ในบรรดานางสนมขั้นสูง เจิ้งกุ้ยเฟยมีตำแหน่ง สนมหรงก็ได้รับการโปรดปราน เจียเจี๋ยอวี้ได้รับตำแหน่งเจี๋ยอวี้ตั้งแต่แรกและพ่อของนางก็เป็นเสนาบดีกรมพระคลัง มีชาติกำเนิด ฉินชิงเพิ่งจะได้เข้าวังก็ถูกเรียกให้ถวายตัว นางคงเป็นอีกคนที่ได้รับความโปรดปราน มีเพียงสนมโหลวที่ไม่มีทั้งความโปรดปรานและตำแหน่ง แค่อาศัยฐานะลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้ขึ้นมาเป็นสนมเท่านั้น
สนมโหลวต้องการอำนาจเพื่อเอาชนะหมากตานี้ และลูกก็คือวิธีที่ดีที่สุด แม้ว่าจะเป็นลูกบุญธรรม
อวี้หรงหัวผู้ไร้ความสามารถคนนั้นก็อาศัยลูกของนางปีนป่ายขึ้นมาในตำแหน่งหรงหัว สนมหนิงก็ยืมใช้ความโปรดปรานของลูกนางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูง จากฉางไจ้มาเป็นสนม นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าลูกนั้นมีความสำคัญเพียงใด
เมื่อฉินชิงออกมาจากตำหนักคุนหนิง คนอื่นๆ ก็ยังพูดถึงข่าวการตั้งครรภ์ของฟางกุ้ยอี้
ฉินชิงกำลังคิดว่านางอยากจะซ่อนตัวอยู่ในตำหนักจงชุ่ย ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว พอมีลูก การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะเริ่มขึ้น วังหลังก็จะเปลี่ยนไป
เมื่อไร้ซึ่งความโปรดปราน ก็จะถูกผู้อื่นทำร้าย