บทที่ 8 แผนการสร้างโรงเรียน (1)
เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวอู่ที่ยังอยู่ในความฝันคล้ายกับว่าจะได้ยินเสียงคนเรียกเขา
เสี่ยวอู่ยังนอนไม่ตื่น เขาพลิกตัวโดยสัญชาตญาณ ใช้ขาหนีบผ้าห่มที่อยู่ด้านข้าง เปลี่ยนทิศทางแล้วนอนหลับต่อ
จัวหย่วนนั่งอยู่ข้างเตียง มองเขาพลิกตัวพลางถามเสียงเบา “เมื่อคืนเสี่ยวอู่นอนตอนไหน?”
ผิงมาม่า [1] ที่รับผิดชอบดูแลการอยู่อาศัยของเสี่ยวอู่กล่าว “เมื่อคืนคุณชายห้าคุกเข่าอยู่ที่โถงพระจนถึงยามไฮ่ [2] เมื่อกลับมาถึงเรือนก็ล้างหน้าบ้วนปาก ใกล้ยามจื่อ [3] ถึงเข้านอน...”
ในน้ำเสียงของผิงมาม่าแฝงไปด้วยความรู้สึกสงสาร
เสี่ยวอู่ถูกผิงมาม่าเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต
ตอนที่คุณชายห้าเกิด ฮูหยินเสียชีวิตเพราะคลอดยาก แม้แต่มารดาของตนคุณชายห้าก็ยังไม่เคยได้พบ คุณชายห้าเพิ่งเกิดได้ไม่นานบิดาก็สิ้นชีพระหว่างติดตามท่านปู่ไปออกรบที่ถงเชียงย่า บิดามารดาของคุณชายห้าล้วนสิ้นแล้ว
ในจวนอ๋อง เป็นท่านอ๋องที่คอยดูแลคุณชายห้ามาโดยตลอด
เมื่อวานที่ไปวัดผู่เจ้า ผิงมาม่าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ วันครบรอบวันตายของฮูหยิน ท่านอ๋องอยากพาคุณชายห้าไปวัดผู่เจ้าเพื่อเคารพศพก่อนออกศึก แต่คุณชายห้ายังหาเวลาออกไปมีเรื่อง ทำร้ายคุณชายน้อยของขุนนางเจ้ากระทรวงจนจมูกเขียวหน้าบวม ต่อมาเมื่อเห็นท่านอ๋องคุณชายห้าก็พยายามหลบสุดฤทธิ์ ทั้งยังส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
ท่านอ๋องให้คุณชายห้าขอโทษ คุณชายห้าก็ยังหาเหตุผลมากล่าวอ้างได้อีก
เพราะเห็นแก่ท่านอ๋อง เป็นธรรมดาที่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่กล้าพูดอะไรมาก
ท่านอ๋องจึงหิ้วคุณชายห้าให้เดินไปข้างหน้า
ตามหลักแล้วคุณชายห้าควรจะยอมโอนอ่อน แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายห้ากลับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ฝ่ายตรงข้าม เดิมทีฝ่ายตรงข้ามก็กลัวเขาอยู่แล้ว ในตอนนั้นก็ยิ่งถูกเขาทำให้ตกใจจนร้องไห้
สุดท้ายเพราะไร้ทางเลือก ท่านอ๋องจึงกล่าวคำขอโทษแทนคุณชายห้า หลังจากนั้นก็หิ้วเขาขึ้นรถม้า จนกลับถึงจวนอ๋องจึงลงโทษให้คุกเข่าที่โถงพระจนถึงยามไฮ่
ที่จริงแล้วท่านอ๋องเข้มงวดกับบรรดาคุณชายในจวน แต่คุณชายห้าอายุน้อย หากพูดจาดีๆ สักประโยคและยอมรับผิด ท่านอ๋องก็ให้อภัยแล้ว
คุณชายเจ็ดคุ้นชินเช่นนั้น
แต่คุณชายห้ามีนิสัยดื้อดึง ยอมคุกเข่า แต่ไม่ยอมรับผิด
แต่จากมุมมองของผิงมาม่า การลงโทษนี้ไม่นับว่าไม่ยุติธรรม จะคุกเข่าก็คุกเข่าไป ไม่แน่ว่าอาจทำให้สำนึกตนได้
ในตอนที่ผิงมาม่ามารับคุณชายห้า เขากล่าวอย่างไม่พอใจว่า “รู้จักแค่ลงโทษให้ข้าคุกเข่า!”
ผิงมาม่าถอนหายใจกล่าว “มิใช่เพราะคุณชายห้าก่อเรื่องก่อนหรือ ท่านอ๋องทำไปก็เพื่อคุณชายห้า...”
แต่ไหนแต่ไรมาผิงมาม่ามักจะเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยเสมอ
“เฮอะ! จุดประสงค์เขาไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย! เพราะเขาไม่ชอบข้าต่างหาก!” เสี่ยวอู่ยังคงถือทิฐิ
ผิงมาม่าจนปัญญา
สุดท้ายหลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้ว คุณชายห้านอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานานถึงได้หลับไป ก่อนนอนก็มิวายส่งเสียงฮึดฮัด ผิงมาม่าฟังเสียงเขากระฟัดกระเฟียดกล่าวว่า ‘รอให้ข้าโตก่อน จะต้องจัดการเขาให้ได้!’
ผิงมาม่าส่ายศีรษะ
หากคุณชายห้ามีไหวพริบได้สักครึ่งหนึ่งของคุณชายเจ็ด ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าน้อยลงแค่ไหน...
คำพูดเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่ผิงมาม่าจะไม่กล่าวถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าจัวหย่วน
จัวหย่วนหันหน้ากลับไปมองเสี่ยวอู่ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสบาย ยื่นมือจับขาของเขาวางกลับเข้าไปในผ้าห่ม นำผ้าห่มคลุมตัวเขาให้เรียบร้อย พลางกล่าวกับผิงมาม่าว่า “ให้เขาหลับต่ออีกสักพักเถอะ”
ผิงมาม่ารับคำ
จัวหย่วนหันไปมองเสี่ยวอู่อีกครั้งแล้วยันตัวลุกขึ้น “หลังจากตื่นแล้ว ให้เขาออกกำลังกายชดเชยยามเช้าหนึ่งชั่วยาม แล้วค่อยอนุญาตให้ทำเรื่องอื่นได้”
อีกมุมหนึ่ง ภายในใจของจัวเย่แอบบอกว่าแบบนี้ไม่ดีแน่
เป็นจริงดั่งที่คิด จัวหย่วนปรายตามองเขา “เจ้าเฝ้าเสี่ยวอู่ไว้ รอให้เขาออกกำลังเสร็จค่อยให้เขาออกมา”
จัวเย่รู้สึกอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
ต่อให้เขาไปชนกำแพงหนึ่งชั่วยาม เขาก็ไม่ยินยอมที่จะคอยเฝ้าเจ้าเด็กคนนี้!
มุมปากจัวเย่กระตุกขึ้น
จัวหย่วนจ้องเขา
จัวเย่เก็บสีหน้าทุกข์ทรมานใจ
หลังออกมาจากเรือนของเสี่ยวอู่ จัวหย่วนก็ไปที่เรือนเสี่ยวชี
เมื่อหลายวันก่อนจู่ๆ อากาศก็เย็นขึ้นมา ฮุยมาม่าที่ดูแลเสี่ยวชีมีปัญหาที่บ้านจึงขอลากลับบ้านไป ประจวบเหมาะกับก่อนหน้านี้โมโม่ที่ดูแลเด็กๆ ในจวนแอบใส่บางอย่างลงไปในเครื่องดื่มของเด็กๆ แล้วถูกเขาจับได้ เขาจึงไล่คนออกไป ฮุยมาม่ายังไม่กลับมา โมโม่คนใหม่ก็ถูกไล่ไป บรรดาสาวใช้ไม่ทันระวังจึงทำให้เสี่ยวชีเป็นหวัด
หมอมาตรวจอาการแล้ว เทียบยาก็เขียนแล้ว
หากกินยาก็คงดีกว่านี้หน่อย นี่กลับไม่กินยา ทั้งยังมีอาการไอ กินๆ หยุดๆ จนตอนนี้ยังคงไม่หายป่วย
จัวหย่วนสะบัดแขนเสื้อเก็บมือ หน้าผากเสี่ยวชียังร้อนอยู่ เพียงแต่ในเวลาชั่วครู่ที่เขานั่งอยู่ในห้อง เด็กคนนี้ก็ไอไปหลายครั้งแล้ว...
สายตาดูจริงจังมากกว่าตอนที่มองเสี่ยวอู่
เสี่ยวชีกลัวความขม ไม่ยอมกินยา ทุกครั้งต้องเป็นเขาที่ป้อนให้ หากเขาอยู่ในเมืองหลวงคงดี แต่เขาจะออกศึกแล้ว เรื่องหลังจากสองวันที่จะถึงนี้ เขากังวลว่าเสี่ยวชีจะไม่กินยาแล้วทำให้อาการป่วยกำเริบซ้ำ
เสี่ยวชีเป็นบุตรชายของพี่สาม ในตอนนั้นพี่สะใภ้สามคลอดก่อนกำหนด ไม่ง่ายกว่าจะรักษาชีวิตเสี่ยวชีได้ ดังนั้นร่างกายของเสี่ยวชีจึงอ่อนแอกว่าคนอื่น และเป็นเพราะมักเจ็บป่วยบ่อย จึงทำให้มีปฏิกิริยาไวต่อสิ่งรอบข้างและเงียบขรึมกว่าเด็กคนอื่น เป็นขั้วตรงกันข้าม ไม่ร่าเริงเท่าเสี่ยวอู่
ไม่ต้องพูดถึงต่อยตี เมื่อเทียบนิสัยกับเด็กคนอื่นในจวนถือได้ว่าขี้ขลาด
จัวหย่วนยื่นมือไปลูบหน้าผากของเสี่ยวชี เขาไม่ได้กังวลใจว่าหลังจากที่เขาไปจากจวนแล้ว เสี่ยวชีจะไม่เชื่อฟังเสิ่นเยว่ เขาเพียงกังวลใจว่าเสี่ยวชีจะไม่กินยา ทำให้อาการป่วยยืดเยื้อ...
อีกด้าน ฮุยมาม่าถอนหายใจกล่าว “เป็นความผิดของบ่าวเอง หากกลับจวนเร็วขึ้นหน่อย คุณชายเจ็ดคงไม่เป็นหวัด ตอนนี้กินยาทุกวัน กินจนไม่อยากอาหาร กินอะไรก็ไม่อร่อยจนทำให้ซูบผอม...”
ทุกคำทุกประโยคของฮุยมาม่าล้วนสลักลึกลงไปในใจของจัวหย่วน
เสี่ยวชียังอายุน้อยเกินไป หากอายุมากกว่านี้ เขาก็จะสามารถพาไปที่ค่ายทหารด้วยได้
จัวหย่วนปลอบใจ “เด็กเล็ก เจ็บป่วยถือเป็นเรื่องปกติ”
ฮุยมาม่าอดไม่ได้ที่จะเช็ดน้ำตา
จัวหย่วนหันไปกล่าวกับฮุยมาม่าอีกครั้ง “ข้าจะอยู่ที่จวนอีกสองสามวันแล้วค่อยไป อีกเดี๋ยวถ้าเสี่ยวชีตื่นค่อยให้คนไปบอกข้า ข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขาตอนกินยา”
ฮุยมาม่ารับคำ
---------------------
(1) ผิงมาม่า เป็นคำเรียกข้ารับใช้
(2) ยามไฮ่ คือ ช่วงเวลา 21.00 – 23.00 น.
(3) ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23.00 – 1.00 น.