ตอนที่แล้วบทที่ 7 เลื่อนขั้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 ฟางกุ้ยอี้ทรงตั้งครรภ์

บทที่ 8 อาหารรสหวาน


ฉินชิงไม่เคยปฏิเสธขนมเลย เรียกได้ว่านางชอบกินมันมาก  ไม่ว่าอะไรก็ชอบกิน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวานประเภทที่ทำจากนมแน่นอนว่ายิ่งชอบ และนางก็ชอบดื่มนมมากเช่นกัน !

ใช่ ไม่ผิด ต้าเหลียงเองก็มีชานม เป็นเครื่องดื่มที่หายากจากเมิ่งกู่ทางเหนือ

ชานมคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของฉินชิง เพราะความกดดันจากการเรียนในชาติก่อน ความกดดันจากการทำงานที่หนักหนา แม้ว่าชานมจะเป็นอสูรร้ายต่อการลดน้ำหนักเร่งด่วนของนาง แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะดื่มชานมสองแก้วทุกสัปดาห์เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตนางให้ดำเนินต่อไปได้

ทางนี้ ฉินชิงกำลังดื่มชานมอย่างเบิกบานใจ เสียวจื่ออันลูกศิษย์ของจางเต๋อจงก็เข้ามา

“เหนียงเหนียง เที่ยงนี้ฝ่าบาทจะมาเสวยอาหารด้วย โปรดท่านเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

ข่าวนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของฉินชิง กินข้าวเป็นเพื่อนฮ่องเต้ ง่ายมาก เป็นงานที่สนมทั้งหมดต้องเคยทำ

ฉินชิงตั้งตารอรับประทานอาหารเที่ยงกับฮ่องเต้ นางเพียงรู้สึกว่าอาหารเที่ยงของฮ่องเต้นั้นต้องอุดมสมบูรณ์มาก

อาหารจานหลักโดยปกติของนางจะมีอย่างน้อยสองถึงสามจาน ส่วนสี่ถึงห้าจานจะเป็นประเภทผักต่างๆ และยังมีเครื่องเคียงที่ตัดเลี่ยนใส่ในภาชนะเล็กๆ อีกจำนวนหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วก็จะอยู่ในอาหารมาตรฐานสิบจาน

แม้ว่าปริมาณอาหารนั้นจะน้อยไปหน่อย แต่ก็มีหลากหลายสิบอย่าง หลังจากฉินชิงเข้ามาในวัง นางรู้สึกว่าในแต่ละครั้งจะได้รับรสชาติอาหารที่แตกต่าง รอยยิ้มในแววตาหรี่เล็กลง

ในฐานะฮ่องเต้ อย่างน้อยอาหารก็ต้องอุดมสมบูรณ์มากกว่าตน ควรจะมากกว่าตน เมื่อก่อนฉินชิงไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะกินอาหารหนึ่งร้อยแปดจานทุกมื้อ

นางคิดว่าฮ่องเต้กินอะไรในทุกวันจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเที่ยง

ตามกฎแล้ว ฉินชิงต้องออกไปรอฮ่องเต้ที่นอกประตู

ทว่าฮ่องเต้ก็ไม่ได้ปล่อยให้นางรอนานเกินไป ไม่เกินห้านาที ฮ่องเต้ก็นั่งเกี้ยวมา

ภายใต้แสงแดด ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนเกี้ยวเปล่งประกายในสายตาของฉินชิง ทำให้นางจ้องมองอย่างตะลึงงันอยู่นาน

แม้แต่การเคารพก็ยังล่าช้าไปหนึ่งก้าว

“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท” ฉินชิงทำความเคารพเสร็จ ฮ่องเต้ยังคงพยุงนางลุกขึ้นมา

“ข้างนอกแดดแรง รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”

หลังจากเดินเข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้เริ่มเอ่ยถามฉินชิง ความผิดปกติของฉินชิงเมื่อครู่นี้ก็ไม่พลาดไปจากสายตาของเขา นางจ้องมองเขาตลอดราวกับจะกลืนกินเข้าไปก็ไม่ปาน

“เมื่อครู่กำลังคิดสิ่งใด เหตุใดถึงได้เหม่อลอยขนาดนี้?”

นางมองใบหน้าของฮ่องเต้ มองเข้าไปในแววตา และเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้ม “คิดว่าฮ่องเต้ช่างรูปงามเสียจริง เหมือนกับเทพเซียนบนฟ้าเพคะ”

แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนชมเขาว่ารูปงามเช่นนี้ แต่จู่ๆ ครั้งนี้มันกลับทำให้เหลียงอี้มีความสุขอยู่เล็กๆ

ตอนเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องดีหากเด็กชายมีใบหน้างดงาม จะถูกล้อว่าเป็นเด็กสตรี แม้เขาจะเป็นองค์ชาย ไม่มีใครพูดแบบนี้ต่อหน้าเขา แต่ลับหลังนั้น เวลาขันทีกับนางกำนัลพูดนินทากัน เขาได้ยินมานับไม่ถ้วน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สนใจคนที่รูปลักษณ์ภายนอกมาตั้งแต่เด็ก เขาตั้งใจเพิกเฉยต่อความจริงที่เขามีใบหน้างดงาม ไม่ไปส่องกระจก กระทั่งคิดจะเอาตัวเองไปตากแดดให้ผิวดำจะได้ดูไม่โดดเด่นเท่าไร

เมื่อโตขึ้น คนเหล่านั้นต่างก็ชื่นชมรูปลักษณ์ภายนอกของเขา ราวกับว่าเขาไม่มีความสามารถอันใด และสิ่งที่เขาไม่ชอบอีกอย่างก็คือภาษาราชการและคำพูดสุภาพแบบสูตรสำเร็จที่ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย

ทว่าเมื่อคนผู้นี้มองเข้ามาในแววตาของเขาและเอ่ยชื่นชมเขาว่ารูปงามด้วยความจริงใจ จู่ๆ เขากลับรู้สึกว่าการมีใบหน้างดงามนี้เป็นเรื่องดี เพราะนางชอบ

ร่างกายของเขาร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก ใบหูก็แดงเรื่อเล็กน้อย เขาทำได้เพียงรีบจบหัวข้อสนทนานี้ด้วยการกล่าวกับนางว่า

“ข้ารู้ว่าข้ารูปงาม ไม่ต้องบอก”

“ฝ่าบาทรูปงามจริงๆ นะเพคะ รูปงามมากๆ เมื่อครู่ทำเอาหม่อมฉันใจสั่นแหนะ”

ใบหูของฮ่องเต้ยิ่งแดงมากขึ้น

“เจ้าคนช่างประจบ กินข้าวๆ” รู้ว่าไม่อาจให้นางพูดคุยหัวข้อนี้ได้อีกแล้ว เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที หลายวันก่อนนางก็พูดถึงแต่ของกินตลอด คงจะสนใจอาหารมาก

ฮ่องเต้ก็เอ่ยตรงประเด็นงานอดิเรกของฉินชิง

เมื่อได้ยินคำว่ากิน ฉินชิงก็ลืมไปเลย จึงรีบสั่งให้คนยกสำรับมา

เมื่ออาหารจากห้องเครื่องมาวางไว้เต็มโต๊ะ ฉินชิงรู้สึกว่าการได้เป็นฮ่องเต้ช่างโชคดีจริงๆ ได้กินอาหารมากมายขนาดนี้

บนโต๊ะมีอาหารประมาณห้าสิบจาน ทุกจานล้วนทำอย่างประณีต ไม่ใช่แค่ดูดีภายนอกเท่านั้น แต่รสชาติยังยอดเยี่ยมอีกด้วย บางจานก็ทำด้วยวิธีที่ซับซ้อน ตั้งแต่คัดเลือกวัตถุดิบไปจนถึงขั้นตอนการทำ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน

เมื่อฉินชิงคิดเช่นนั้น ก็ถลันเข้าไปหาอาหารเหล่านี้ นางต้องทำความคุ้นเคยกับฮ่องเต้ ชาติก่อนนางเองก็เคยดูละครและนิยายที่ต่อสู้กันในวังหลังมามากมาย ฉินชิงเข้าใจหลักการดี ในวังหลังต้องคิดให้มาก ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ยาวนานก็ต้องได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้

บางคนก็รู้สึกว่าการเป็นคนโปรดของฮ่องเต้นั้นง่ายต่อการถูกคนใส่ร้าย และยิ่งง่ายต่อการตายอยู่ในวังแห่งนี้ แต่ความจริงล่ะ?

ถ้าไม่มีความโปรดปรานของฮ่องเต้ แย่งชิงแบบตามอำเภอใจ เจ้าก็เป็นแค่หมากของคนอื่น ต่อให้ตายแบบไม่รู้สาเหตุ ก็ไม่มีใครสนใจ หากฉินชิงต้องการออกมาจากกระดานหมากรุกนี้ ก็มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ทำให้นางได้

ดังนั้นสิ่งที่ฉินชิงจำเป็นต้องทำคือทำตัวให้คุ้นเคยต่อหน้าฮ่องเต้ จะให้ดีต้องแบ่งเบาความทุกข์ของเขาด้วย เมื่อทำเช่นนี้ เวลาคนอื่นจะมาทำร้ายนางก็ต้องชั่งน้ำหนักตัวเองว่ามีความสามารถที่จะแบกรับผลที่ตามมาจากความพ่ายแพ้ได้หรือไม่

แน่นอนว่าต้องลงทุนก่อน นางจำเป็นต้องเข้าใจและคุ้นเคยกับชีวิตประจำวันของฝ่าบาท ตอนที่เขาอยู่ จะต้องทำให้เขารู้สึกสบายใจ

อย่างเช่นการกินข้าวหนึ่งมื้อ ฉินชิงสังเกตจึงได้รู้ว่าฝ่าบาทชอบรสชาติหวาน

เขาชิมอาหารยี่สิบอย่าง และครึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คืออาหารรสชาติหวาน รวมถึงสันในหมูผัดเปรี้ยวหวาน หมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริก ขนมข้าวเหนียวน้ำตาลแดง หมูสามชั้นน้ำแดง เกี๊ยวไข่เคี่ยวน้ำตาล ข้าวโพดชุบแป้งทอด

ในความเป็นจริงแล้ว บนโต๊ะอาหารของฮ่องเต้มีอาหารรสเค็มมากกว่า ดังนั้นฮ่องเต้ที่เลือกกินแต่อาหารรสหวานเป็นส่วนใหญ่ก็ต้องหมายความว่าเขาชอบกินอาหารรสหวาน

สำหรับประชาชนเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า รู้รายละเอียดเล็กน้อยนี้เป็นสิ่งสำคัญ การกินอาหารร่วมกันเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนสองคนเป็นเพื่อนกันได้

การกินอาหารของฉินชิงนั้นไม่ได้ดูมูมมาม เหมือนคนทั่วไปที่กินข้าวกัน หลังจากฝึกการเดิน การนั่ง การนอนมาเป็นสิบปี กิริยามารยาทของนางถือว่าดีเยี่ยม ในขณะที่มีมารยาทดีแล้ว ฉินชิงก็ยังมีเอกลักษณ์ในการกินที่สำคัญ นั่นคือกินให้ดูเอร็ดอร่อย

เวลากินข้าวกับคนอื่นในจวน ฉินชิงสามารถทำให้คนอื่นมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นสี่เท่า ต่อให้คนที่เดิมทีไม่หิวก็จะหิวขึ้นมาเล็กน้อย เอกลักษณ์นี้ติดตัวนางมาแต่ชาติก่อน ทั้งยังได้รับฉายาจากเพื่อนร่วมห้องเรียกนางว่า เซี่ยฟ่านเสินชี่ [1]

เดิมทีเหลียงอี้ไม่ได้สนใจกับการกินมากนัก แต่เมื่อเห็นฉินชิงกินได้เอร็ดอร่อยขนาดนั้นเขาย่อมอยากจะกินให้มากหน่อย

จริงๆ แล้วเหลียงอี้เป็นคนกินน้อยมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาจึงผอมแห้ง พอโตขึ้นมาเมื่อรู้ว่าเสด็จพ่อไม่ชอบองค์ชายผอมแห้ง เขาจึงฝืนตัวเองให้กินข้าว หวังว่าจะได้คำพูดห่วงใยจากเสด็จพ่อของตน น่าเสียดายที่ความฝันนั้นไม่เป็นจริง องค์ชายมากมายขนาดนั้น เสด็จพ่อจะสนใจว่าเขากินมากขนาดไหนได้อย่างไร

จริงๆ แล้วสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาชอบกินอาหารรสหวานก็เพราะความหวานนั้นจะทำให้เขาอ้วนขึ้น กินน้ำตาลเล็กน้อยกับข้าวหนึ่งชาม อ้วนขึ้นมาหน่อยจะได้ดูแข็งแรงขึ้น

เหลียงอี้รู้สึกว่าการได้เห็นนางกินทำให้ตนกินข้าวได้มากขึ้น ครั้งหน้าเขาอาจจะมากินข้าวกับนางบ่อยขึ้น เห็นนางชอบกินขนาดนี้ กินข้าวเป็นเพื่อนเขาคงมีความสุขไม่น้อย

นางไม่เหมือนสนมคนอื่นๆ เพราะฮองเฮาซูบผอมเกินไปเลยคิดว่าเขาชอบแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่กินข้าว แต่ละนางราวกับจะสามารถปลิวตามสายลมได้ก็ไม่ปาน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาพวกนางก็กินน้อย กินได้สองคำก็วางตะเกียบลงแล้วบอกว่าตัวเองอิ่มแล้ว

รู้ๆ กันอยู่ว่าความซูบผอมของฮองเฮานั้นเกิดจากความอ่อนแอตอนที่มารดาตั้งท้องนาง อีกอย่างสามปีก่อนนางก็สูญเสียลูกไป กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะให้นางเอาเนื้อมาจากไหน

แต่ละคนเดาไปต่างๆ นานา แต่ก็ยังเดาไม่ถูกสักคน ทุกครั้งที่เห็นพวกนางกินข้าว เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองกินได้น้อยลง อาหารมื้อนั้นไม่ว่าจะกินอย่างไรก็ไม่อร่อย กินก็กินไปสิ จะคิดอะไรให้มากมาย กินข้าวกันดีๆ สักครั้งไม่ได้หรืออย่างไร?

นานวันเข้าเขาก็ไม่เรียกให้สนมคนใดมากินข้าวเป็นเพื่อนแล้ว แต่ฉินชิงกลับทำให้เขาประหลาดใจ ชอบการกิน รักการกิน ยิ่งเห็นนางกินข้าวเขาก็ยิ่งกินอย่างเอร็ดอร่อย

อาหารมื้อนี้เพลิดเพลินทั้งเจ้าภาพและแขก

---------------------------------------------------------------------------------------------------

(1) เซี่ยฟ่านเสินชี่ หมายถึง เครื่องปรุงชนิดหนึ่งที่ทำให้คนมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด