บทที่ 7 ใช้โอกาสสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น
ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก เสิ่นเยว่ชะงักไป
เพราะนางเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องกับท่านลุงจึงเร่งมาที่จวนเวยเต๋อโหว เมื่อเห็นว่าประตูจวนเวยเต๋อโหวปิดสนิทถึงได้เคาะประตูแรงขนาดนั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า...จวนท่านโหวจะถูกเปิดออกจากด้านใน และคนที่ออกมาจะเป็นอ๋องผิงหย่วน...
“ข้า...” เสิ่นเยว่อึกอัก
จัวหย่วนตักเตือน “อย่าให้ใครจำเจ้าได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวายตามมาทีหลัง”
เสิ่นเยว่ชะงักไป นางก้มหน้าลงทันที แล้วกระชับเสื้อกันฝนให้แน่นมากขึ้นอีก แทบจะเหลือไว้แค่ดวงตาสองข้าง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเสิ่นเยว่จึงเชื่อใจอ๋องผิงหย่วนเพียงนี้ แต่เมื่อฟังความหมายในคำพูดของเขา น่าจะไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงฐานะของนาง
สายตาจัวหย่วนปราดมองไปทางด้านหลังเสิ่นเยว่
คนบังคับรถม้าที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกจวนเวยเต๋อโหวมาโดยตลอด ตอนนี้ได้เคลื่อนรถมาที่หน้าประตูใหญ่ของจวนเวยเต๋อโหวแล้ว และกำลังยกมือคารวะเขาอยู่ข้างเสิ่นเยว่ “ท่านอ๋อง”
คนบังคับรถม้าสูงกว่าเสิ่นเยว่ เมื่อเหลือบสายตามองจึงเห็นว่าด้านหลังจัวหย่วนยังมีอีกคนที่เดินตามมา
จัวหย่วนปราดตามองรถม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คนบังคับรถม้าเข้าใจในทันที ปลีกตัวกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วบังคับรถม้าให้เคลื่อนตัวมา
ฝนตกหนักราวกับเทน้ำ คนบังคับรถม้าสวมงอบและชุดกันฝน หยดน้ำฝนขนาดเท่าเม็ดไข่มุกกลิ้งตกไปตามมุมด้านข้าง
ที่ประตูใหญ่จวนท่านโหว เสิ่นเยว่ได้ยินจัวหย่วนกล่าว “กลับเรือน!”
แต่นางมาตามหาท่านลุง...
เสิ่นเยว่อยากเงยหน้าขึ้นอธิบาย ถึงได้เห็นว่าคนที่เดินตามหลังจัวหย่วนมาหากไม่ใช่เหลียงเย่แล้วจะเป็นใครกัน?
เหลียงเย่จำเสียงเสิ่นเยว่ได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้อ๋องผิงหย่วนเคยสั่งไว้ว่าขณะที่เดินทางห้ามเอ่ยปากพูด เพียงคำเดียวก็ไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงอดทนไว้
และเมื่อครู่เสิ่นเยว่เองก็ไม่ได้สังเกตเห็นเขา
ตอนนี้ “ญาติ...”
เสิ่นเยว่ดีใจกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงคำเตือนที่อ๋องผิงหย่วนเพิ่งพูดเมื่อครู่ ‘อย่าให้ใครจำเจ้าได้’ เสิ่นเยว่รีบเงียบลงทันที และเข้าใจในทันทีว่าเพราะเหตุใดอ๋องผิงหย่วนจึงปรากฏตัวที่จวนเวยเต๋อโหว...
สาเหตุมาจากเหลียงเย่
เสิ่นเยว่มองไปทางจัวหย่วนอย่างซาบซึ้งใจ...
จัวหย่วนเห็นทุกสิ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยปากอะไร
ประจวบเหมาะกับที่รถม้าหยุดจอดที่หน้าประตูจวนท่านโหว คนบังคับรถม้ากระโดดลงจากรถแล้วจัดแจงวางบันไดเล็ก คารวะไปทางจัวหย่วน
จัวหย่วนกำชับว่า “นั่งรถม้ากลับไป ไม่ต้องถามสิ่งใด ลุงเถาจะจัดการปัญหาที่เหลือยามกลางคืน”
เสิ่นเยว่พยักหน้าหลายครั้งติดต่อกัน
อ๋องผิงหย่วนพาตัวเหลียงเย่ออกมาจากจวนเวยเต๋อโหวแล้ว จวนท่านโหวก็ไม่ได้ตามออกมาหรือเอ่ยปากอะไร อีกทั้งอ๋องผิงหย่วนยังมาที่จวนเพียงลำพัง แทบไม่ได้ก่อความวุ่นวายใด เห็นได้ชัดว่าอ๋องผิงหย่วนรู้ดีว่าควรจัดการเช่นไร
เรื่องจวนเวยเต๋อโหว เป็นธรรมดาที่มีเพียงอ๋องผิงหย่วนที่สามารถจัดการได้ เมื่อครู่อ๋องผิงหย่วนบอกนางว่าอย่าให้ใครจำได้ ก็เพราะไม่อยากให้ใครเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นางเข้าใจดี ในเมื่อช่วยญาติผู้พี่ออกมาได้แล้ว หากท่านลุงอยู่ก็คงจะออกมาด้วยกันตั้งนานแล้ว เช่นนั้นท่านลุงน่าจะไม่ได้อยู่ที่จวนท่านโหว...
เสิ่นเยว่วางหินที่หนักอึ้งภายในใจลง
เสิ่นเยว่และเหลียงเย่สองคน ผู้หนึ่งยอบตัวลง อีกคนยกมือคารวะ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นรถม้าตามกันไป
ขณะที่เสิ่นเยว่เหยียบบันได ก็ชะงักฝีเท้าลง
นางมองไปทางจัวหย่วนอย่างอดไม่ได้ คิ้วโก่งขมวดขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวคำขอโทษกับคนบังคับรถม้า “รอสักครู่”
คนบังคับรถม้ามองหน้านางด้วยความสงสัย
เห็นเพียงเสิ่นเยว่กุมชุดกันฝนไว้แน่นแล้วเดินลงจากบันไดเล็ก วิ่งไปหยุดที่ข้างจัวหย่วน
จัวหย่วนเบือนสายตามามองนาง ประจวบเหมาะกับที่นางกางร่มในมือแล้วส่งมาตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว เพราะนางวิ่งเหยาะมา ปากของนางจึงคอยพ่นลมหายใจตลอดเวลา อีกทั้งเพราะคำพูดของเขาทำให้นางต้องปิดหน้าให้สนิท เหลือเพียงดวงตาที่สดใสมองเขา...
จัวหย่วนชะงักเล็กน้อย แล้วรับร่มมาด้วยความงงงวย
เสิ่นเยว่ไม่ได้พูดสิ่งใด กุมชุดกันฝนไว้แน่น แล้ววิ่งเหยาะกลับไปยังรถม้าท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก
คนบังคับรถม้าส่งเสียงสูดปากเบาๆ ดวงตากลมเบิกกว้าง
เขาไม่ได้จ้องเสิ่นเยว่ แต่จ้อง ‘นายท่านใหญ่’ ผู้นั้นที่ตนเองเคารพ คิดไม่ถึงว่า...จะรับไว้...
“ลำบากแล้ว” เสิ่นเยว่กลับมาแล้วเหยียบบันไดขึ้นรถม้าอีกครั้ง หันมากล่าวคำขอบคุณกับเขา
“อืม...” คนบังคับรถม้ารู้สึกเพียงว่าเสื้อกันฝนตัวนี้ของนางเหตุใดจึงปิดได้มิดชิดขนาดนี้ นอกจากดวงตาทั้งสองข้าง ก็คล้ายกับว่าไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของฝ่ายตรงข้ามได้เลย
แต่คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะรับร่มจากมือนาง!
เรื่องที่จัวหย่วนเคยสั่งไว้ ทำให้คนบังคับรถม้าไม่มีเวลาคิดอะไรมากมาย เขาบังคับรถม้าเคลื่อนตัวออกไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่จัวหย่วนยังถือร่มอยู่ที่เดิม สายตามองส่งรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งอันที่จริงรถม้าหายไปจากตรอกถนนนานแล้ว...
เขาเกลียดฝนตก โดยเฉพาะพายุฝน...
พายุฝนสามารถทำให้สนามรบกลายเป็นสีเลือด ศิษย์พี่ถือดาบอยู่หน้าเขา ตะโกนบอกเขาว่า “ไป! ตระกูลจัวต้องมีคนเหลือรอด! ที่เรือนยังมีเด็กๆ ที่ต้องดูแล!”
ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว จัวหย่วนหรี่ตาลงเล็กน้อย ปิดบังดวงตาแดงก่ำ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเลื่อนมองไปยังร่มที่อยู่ในมือ บนร่มสลักไว้ว่า ‘เยว่’
จัวหย่วนนึกถึงดวงตาสดใสคู่นั้นที่อยู่ภายใต้ชุดกันฝน
……
ฝนตกราวกับเทน้ำ เหลียงโหย่วเหวยเดินไปมาด้วยความร้อนใจอยู่ใต้ชายคารอฟังเสียงเรียก รองเท้าที่สวมใส่เปียกไปหมดแต่กลับไม่รู้ตัว
เขาไร้ซึ่งหนทางจริงๆ ตอนนี้คนที่เขานึกออกที่จะสามารถช่วยคนออกมาจากจวนเวยเต๋อโหวได้ บางทีอาจจะเหลือเพียงฝ่าบาทแล้ว...
ขณะที่รู้สึกจนตรอก คนผู้หนึ่งที่แต่งตัวเหมือนสาวใช้ก็เปิดประตูเรือนออก “เข้ามาเถอะ”
เหลียงโหย่วเหวยรู้สึกโล่งใจ
ทางเดินทอดยาวภายในเรือนที่ไม่เป็นที่สะดุดตา ทุกระยะห่างมีองครักษ์ที่ในมือถือกระบี่คอยเฝ้าอยู่ เหลียงโหย่วเหวยไม่กล้าเงยหน้ามองอะไรมาก ทำเพียงก้มหน้าเดินตามหลังสาวใช้ไป
เดินไปจนถึงห้องทางด้านนอก หลังจากสาวใช้รายงาน เหลียงโหย่วเหวยก็คุกเข่าให้กับคนที่อยู่ข้างในห้อง “ฝ่าบาท ข้าน้อยรู้ว่าไม่ควรจะมาร้องขอฝ่าบาท แต่ข้าน้อยไร้ซึ่งหนทางจริงๆ ตระกูลข้าน้อยมีเพียงบุตรชาย ถูกจวนเวยเต๋อโหวจับตัวไปหลายวัน หากไม่ช่วยออกมา บางทีอาจถึงแก่ชีวิต ข้าน้อยรู้ว่าฝ่าบาทเองก็ลำบากใจ แต่ขอร้องฝ่าบาท โปรดเห็นแก่ที่เมื่อก่อนข้าเคยสืบข่าวในเมืองหลวงให้แก่ฝ่าบาทไม่น้อย ช่วยบุตรชายข้าด้วย...”
เหลียงโหย่วเหวยคำนับโดยโขกศีรษะลงบนพื้น
เหลียนย่วนวางกรรไกรตัดแต่งกิ่งดอกบ๊วยเดือนสิบสองในมือลง พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ลุงเหลียง ลุกขึ้นเถอะ”
เหลียงโหย่วเหวยยังคงไม่ยอมลุก
เหลียนย่วนถอนหายใจเบาๆ “ลุงเหลียง ข้าได้ยินเรื่องจวนเวยเต๋อโหวมาบ้างแล้ว ข้าขอให้คนไปรับตัวมาให้แล้ว เพียงแต่เพราะเรื่องบาดหมางของเจ้ากับจวนเวยเต๋อโหว จากนี้ไปเจ้าไม่สามารถอยู่เป็นตัวแทนให้ข้าในเมืองหลวงได้อีกแล้ว ข้าจะให้คนจัดการเรื่องคำสั่งย้ายงาน ส่งเจ้าไปเมืองตานเฉิง จากนี้ไปอย่าได้กลับมาเมืองหลวงอีก...”
เหลียงโหย่วเหวยเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ “ฝ่าบาท?”
เหลียนย่วนยันตัวลุกขึ้น “ลุงเหลียง ความบาดหมางของเจ้ากับจวนเวยเต๋อโหวใช่ว่าจะไม่มีคนในเมืองรู้เห็น เจ้าจึงไม่เหมาะสมที่จะสืบเรื่องให้ข้าแล้ว ในทางกลับกันจะกลายเป็นจุดสนใจ เจ้าไปที่เมืองตานเฉิงก็ไม่ต่างกัน ข้าไม่มีสายสืบที่อยู่ใกล้กับเมืองตานเฉิง ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงไม่ชัดเจน เมืองตานเฉิงเหมือนอยู่ไกลแต่ความจริงแล้วเป็นสถานที่สำคัญ เจ้าไปเมืองตานเฉิงแทนข้ายิ่งจะกลายเป็นเรื่องดี...”
เหลียงโหย่วเหวยน้ำตาไหลอาบหน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เหลียนย่วนกล่าวอีกครั้ง “กลับไปเถอะ เหลียงเย่น่าจะถึงบ้านแล้ว”
เหลียงโหย่วเหวยคำนับอีกครั้ง
……
เมื่อรถม้าหยุดจอดที่เรือนตระกูลเหลียง คล้ายกับฝนที่ตกหนักเพิ่งหยุด
เสิ่นหานเซิงได้ยินเสียงรถม้าจึงออกมาเปิดประตู เห็นเหลียงเย่และเสิ่นเยว่ลงมาจากรถม้า “ญาติผู้พี่!”
เสิ่นหานเซิงโผไปเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น
เดิมทีร่างกายเหลียงเย่ก็ผอมบาง ทั้งยังถูกขังอีกหลายวัน เสิ่นหานเซิงโผเข้าหาเช่นนี้จึงเกือบทำให้เขาล้มลงพื้น
“แงๆๆ ! ญาติผู้พี่!” เสิ่นหานเซิงกอดเขาแล้วเริ่มร้องไห้
เสิ่นเยว่เองก็ถอดชุดกันฝนออก พูดกับเสิ่นหานเซิง “อย่าร้องไห้เพียงอย่างเดียว รีบไปเรียกท่านป้ามา!”
“อืม!” เสิ่นหานเซิงได้สติ จึงวิ่งไปข้างในเรือนอย่างรวดเร็ว ด้านนอกเรือนก็ยังได้ยินเสียงเสิ่นหานเซิงที่เรียก “ท่านป้า! ญาติผู้พี่กลับมาแล้ว!”
เหลียงเย่หัวเราะ แต่ทั่วทั้งใบหน้ายังคงดูซีดเซียว ริมฝีปากก็แห้งแตก
หลายวันมานี้คนที่กังวลใจและเกิดความกลัวไม่ได้มีเพียงคนในครอบครัว เหลียงเย่เองก็รู้สึกเช่นกัน
“เย่เอ๋อร์!” ท่านป้าออกมาต้อนรับ น้ำตาไหลนอง ก้าวมาข้างหน้าแล้วโอบกอด
“ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเป็นกังวลใจ!” เหลียงเย่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ท่านป้าเช็ดน้ำตาไปพลาง พูดอย่างระบายไปพลาง “กลับมาก็ดีแล้ว ให้แม่ดูหน่อย”
เหลียงเย่ยิ้ม พูดปลอบ “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร”
เสิ่นเยว่เอ่ยเตือน “ท่านป้า ให้ญาติผู้พี่กลับเข้าเรือนดื่มน้ำเสียก่อน”
ท่านป้าเพิ่งนึกขึ้นได้ นางมองริมฝีปากที่แห้งผากของเหลียงเย่ จึงทอดถอนใจกล่าว “ดูสิ ข้าเลอะเลือนไปแล้ว!”
เมื่อท่านป้าประคองเหลียงเย่เข้าไปข้างในแล้ว เสิ่นเยว่ก็หมุนตัวกลับไปมองยังทิศทางที่คนบังคับรถม้าอยู่
คนบังคับรถม้ามองนางอย่างละเอียด จู่ๆ ก็เห็นนางเดินมา คนบังคับรถม้าจึงรีบนั่งตัวตรง
ก่อนหน้านางสวมชุดกันฝนบดบังทั้งตัว ปิดไว้อย่างมิดชิด ตอนนี้คนบังคับรถม้าถึงเพิ่งได้เห็นใบหน้านางอย่างชัดเจน อายุประมาณสิบสี่สิบห้า รูปร่างหน้าตางดงาม แต่ไม่นับว่างามขนาดนั้น บางทีอาจเพราะใบหน้ายังโตไม่เต็มวัย แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับคล้ายคนช่างเจรจา
มีบางอย่างผิดปกติ...
มิฉะนั้น เหตุใดท่านอ๋องถึงได้เดินทางไปรับตัวคนที่จวนเวยเต๋อโหวโดยไร้สาเหตุ? แล้วเมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นท่านอ๋องรับสิ่งของจากผู้อื่นสักเท่าไร?
ประจวบเหมาะกับที่เสิ่นเยว่ยอบตัวให้กับเขาอย่างมีมารยาท “ขอบใจพี่ชายที่มาส่งพวกเรา เมื่อครู่ฝนตกหนักตลอดทาง เชิญมาร่วมดื่มชาร้อนสักถ้วย ไล่ความหนาวสักหน่อย”
เห็นได้ชัดว่าคนบังคับรถม้าชะงักไป เขากล่าวอย่างนอบน้อม “ไม่จำเป็นแล้ว แม่นางเสิ่น ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน รอผู้ดูแลจวนเถามา...”
เสิ่นเยว่เองก็เข้าใจในคำปฏิเสธของเขา เขาน่าจะไม่ใช่เพียงคนบังคับรถม้า แต่เป็นองครักษ์ของอ๋องผิงหย่วน
เป็นจริงดั่งที่คิด ฝ่ายตรงข้ามพูดกับนางว่า “จัวเย่จะอยู่ตรงนี้ หากแม่นางเสิ่นมีเรื่องอันใดเชิญเรียกได้”
เสิ่นเยว่พยักหน้า ในตอนที่ปลีกตัวกลับเรือนก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ท่านลุงฮั่วเคยพูดไว้ ตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงส่วนมากมักเลี้ยงดูองครักษ์ไว้ บางคนเติบโตอยู่ในจวนจึงใช้แซ่ตามเจ้านาย
อ๋องผิงหย่วนแซ่จัว องครักษ์เมื่อครู่ก็แซ่จัว
น่าจะเป็นคนสนิทของอ๋องผิงหย่วน
......
ประมาณยามจื่อ เถาตงโจวก็กลับมา
จัวหย่วนยังไม่ได้พักผ่อน เถาตงโจวเข้าไปในห้อง ยกมือคารวะกล่าว “ท่านอ๋อง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คำสั่งย้ายงานได้ส่งไปยังจิงจ้าวอิ่น พรุ่งนี้ก็สามารถให้เหลียงโหย่วเหวยใช้คำสั่งย้ายงานเพื่อออกจากเมืองหลวงไปที่เมืองตานเฉิงได้ ตระกูลเหลียงสามารถย้ายที่อยู่ได้ในวันพรุ่งนี้”
จัวหย่วนตอบรับเสียงเรียบแล้วออกคำสั่งอีกครั้ง “ให้คนไปรายงานเหลียนย่วนว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว ให้นางวางใจได้”
เถาตงโจวรับคำ ขณะที่กำลังหมุนตัวจะเดินออกไปก็ได้ยินเสียงจากทางด้านหลังอีกครั้ง “อีกอย่าง...”
เถาตงโจวเดินกลับไป จัวหย่วนถาม “เสิ่นเยว่เล่า?”
เถาตงโจวหัวเราะแล้วพูด “แม่นางเสิ่นจะมาที่จวนพรุ่งนี้เช้า”
จัวหย่วนชะงักไป หลังจากนั้นก็พยักหน้า “ไม่มีอะไรแล้วลุงเถา”
เถาตงโจวถอยออกไปจากห้อง
สายตาจัวหย่วนมองไปยังร่มคันนั้นที่มีตัวอักษร ‘เยว่’ สลักอยู่ด้านข้าง นึกถึงตอนที่นางมองมาที่เขาด้วยความซาบซึ้งใจ ทั้งยังส่งร่มให้กับเขา เขารู้สึกใจสั่นไหวเล็กน้อย การใช้โอกาสสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น เหตุใดเขาจึงรู้สึกสบายใจเพียงนี้?