บทที่ 6 ฮ่องเต้
“ฝ่าบาทโปรดเลือกป้ายสนม สำหรับคืนนี้เถิดพะยะค่ะ” กงกงจากห้องจิ้งซื่อ [1] ยกป้ายไม้เข้ามา
ฮ่องเต้มองป้ายชื่อเหล่านั้น ในหัวกลับนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ สาวน้อยที่นั่งดีดเจิงอยู่ในท้องพระโรง ใบหน้าที่เสริมแต่งน้อย ดูจืดชืดไปหน่อย แต่กลับทำให้สายตาของเขาจ้องมองไปที่นางโดยไม่รู้ตัว บรรยากาศรอบตัวนางได้สร้างความโดดเด่นขึ้นมา
ขณะครุ่นคิดก็เลือกป้ายสนมเจาขึ้น
กงกงห้องจิ้งซื่อมองดู ในใจก็คิดว่าสนมที่ถวายตัวให้ฝ่าบาทครั้งแรก สนมเจาผู้นี้ดูแล้วก็งดงามเปล่งประกาย
ขันทีนำข่าวนี้ไปที่ตำหนักจงชุ่ย นางกำนัลที่อยู่ด้านล่างวุ่นวายขึ้นมาทันที หยินผิงก็มาแต่งหน้าทำผมให้ฉินชิง
“เสียวจู่ นี่คือครั้งแรกที่ท่านจะได้ถวายตัว ท่านอยากใช้เครื่องประดับทองที่ฮูหยินทำเพื่อท่านโดยเฉพาะหรือไม่?”
เครื่องประดับทองคำชุดนั้นงดงามและซับซ้อน มารดาของนางไปสั่งทำที่หอเจินเป่าด้วยตัวเอง แน่นอนว่านางให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็อย่าเอามันออกไปใช้จะดีกว่า เวลาจะอวดร่ำอวดรวยค่อยนำออกมาใช้ การปรนนิบัติฝ่าบาทครั้งนี้ก็ช่างมันเถอะ ขณะที่ฉินชิงกำลังคิดอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นปิ่นหยกขาวปนเขียวคุณภาพชั้นดี ให้คนรู้สึกสบายตา
“ไม่ต้อง ฝ่าบาทไม่ชอบของหรูหรา เจ้าทำให้มันดูเรียบง่ายหน่อย การถวายตัวครั้งนี้ของข้าไม่ต้องทำให้มันดูยุ่งยากขนาดนั้น ปิ่นปักผมก็ใช้ปิ่นหยกสีขาวปนเขียวนี่แล้วกัน ตรงกลางสีขาวมีสีเขียวปนมาเล็กน้อย ดูแล้วก็ให้ความรู้สึกที่สบายๆ”
“แล้วชุดล่ะเพคะ? เสียวจู่อยากจะสวมชุดไหนเพคะ?”
หยินผิงหยิบชุดออกมาสามชุด ชุดแรกคือผ้าไหมสีขาวพระจันทร์ อีกชุดเป็นชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลสาบ และสุดท้ายก็คือชุดผ้าแพรต่วนสีเขียวมรกต
“เช่นนั้นก็เอาสีเขียวมรกตมาแล้วกัน สีขาวพระจันทร์มันดูเรียบๆ เกินไป ส่วนสีฟ้าน้ำทะเลสาบก็ดูเย็นชาเกินไป ตอนนี้เพิ่งจะเดือนสาม ไม่สวมชุดสีเย็นสบายขนาดนี้”
หลังจากที่ทุกคนแต่งตัวให้นาง ฉินชิงที่เดิมทีงดงามอยู่แล้วก็ยิ่งมีใบหน้าที่งดงามยิ่งขึ้น ดั่งคำที่ว่าใบหน้านี้ราวกับมองภูผาจากระยะไกล [2]
ฉินชิงรู้สึกว่าฝีมือของนางกำนัลในวังนั้นสามารถเทียบได้กับช่างแต่งหน้าทำผมให้ดาราดังในชาติที่แล้วของนาง ไม่เพียงแต่คงความโดดเด่นให้กับใบหน้าเดิมของนางเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนส่วนที่งดงามให้งดงามยิ่งขึ้นอีกด้วย
ไม่ว่าใครที่ได้เห็นหญิงงามเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่ไม่อาจละสายตาได้
แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เมื่อฮ่องเต้เสร็จสิ้นงานบริหารบ้านเมือง ก็นั่งเกี้ยวมาถึงตำหนักจงชุ่ย เมื่อได้เห็นหญิงงามเช่นนี้ หัวใจพลันเต้นแรง
เหลียงอี้เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหญิงงามมาก่อน เหตุใดถึงละสายตาไม่ได้เล่า? ยิ่งไปกว่านั้น ฉินชิงก็ไม่ได้แต่งตัวสวมเครื่องประดับที่มันมากเกินไป ชุดของนางก็ไม่ได้สว่างโดดเด่น เหตุใดถึงได้มองเห็นนางภายในแวบแรก?
ทว่าการแต่งกายแบบเรียบง่ายนี้กลับทำให้ดูสบายกว่าการแต่งหน้าแบบจัดเหล่านั้น
“หม่อมฉันน้อมรับเสด็จฝ่าบาท” ฉินชิงทำความเคารพฮ่องเต้ในแบบมาตรฐานธรรมเนียมปฏิบัติของตน
“ไม่ต้องมากพิธี” ขณะกล่าวก็พยุงฉินชิงขึ้นมา
ฉินชิงรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ให้ความสำคัญกับพิธีการมาตลอดหรือ? เหตุใดถึงได้ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ช่างสมกับคำว่าบุรุษใดได้เห็นหญิงงามก็มีท่าทางเหมือนกันทั้งนั้น ล้วนแต่เจ้าชู้กันเท่านั้น
ฉินชิงมั่นใจในความงามของใบหน้านางมาก บิดามารดาของนางในชาตินี้ล้วนแต่มีใบหน้าที่งดงาม และแน่นอนว่าลูกชายลูกสาวที่ให้กำเนิดย่อมเป็นชายหญิงที่รูปงาม พี่ชายทั้งสามคนของฉินชิงล้วนเป็นสามีในฝันของคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากมายในเมืองหลวง และแน่นอนความงามของนางย่อมไม่แพ้ใคร
แต่เมื่อครู่นี้ฉินชิงก็มองพิจารณาฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ปีนี้น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ แซ่เหลียงนามอี้ ขนคิ้วดกตามมาตรฐาน หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยงดงามดั่งตาหงส์ ว่ากันว่าบรรพบุรุษของตระกูลเหลียงมีเส้นโครงหน้าที่ดูชัดเจน
ฉินชิงเห็นดาราดังที่ได้คะแนนเต็มร้อยจนชิน แต่ตอนนี้ฉินชิงให้หนึ่งร้อยยี่สิบคะแนน เพราะฮ่องเต้ตรงตามแบบที่นางชื่นชอบ ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าใบหน้ายังคงมีความเป็นเด็กวัยรุ่นและจิ้มลิ้มในแบบที่นิยมกัน แต่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ โครงหน้าดูงดงามสมบูรณ์แบบ
จากนั้นฮ่องเต้ก็เข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้สนใจกับเครื่องประดับตกแต่งในตำหนักของฉินชิงมาก เขามองพิจารณาไปรอบๆ อย่างอดไม่ได้และเอ่ยประเมิน
“ตำหนักของเจ้าก็ดูงดงาม แจกันดอกไม้ก็ไม่เลว ฉากกั้นก็ไม่เลว ภาพวาดของหลิวหยาอันก็ดูไม่เลว ช่างสมกับเป็นลูกสาวของตระกูลฉินจริงๆ”
“หม่อมฉันเพียงวางไปเท่านั้น ฝ่าบาทอย่าชมหม่อมฉันเกินไปเลยเพคะ” ฉินชิงรินชาให้ฮ่องเต้ หวังว่าเขาจะเลิกสนใจเครื่องประดับ
ฮ่องเต้ดื่มชาอย่างเงียบๆ บรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ทำให้ฉินชิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จู่ๆ ฉินชิงก็มองเห็นขนมถั่วแดงบนโต๊ะ
“ฝ่าบาท ท่านทำงานมาเหนื่อยๆ อยากทานขนมถั่วแดงหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้มองฉินชิง หยิบขนมถั่วแดงขึ้นมาหนึ่งชิ้นและจิบชา
เมื่อพูดถึงเรื่องกิน ฉินชิงรู้สึกว่าตนสามารถพูดคุยเรื่องของกินกับฮ่องเต้ได้ อาหารอร่อยย่อมไม่มีใครปฏิเสธ ตนในฐานะนักกินย่อมสามารถพูดคุยเรื่องนี้ได้ไม่หยุด ดังนั้นนางจึงเริ่มพูดถึงวิธีการทำขนมถั่วแดงกับฝ่าบาท
“ขนมถั่วแดงนี่หม่อมฉันเพิ่งคิดสูตรมาได้เมื่อวานและสั่งให้ทางห้องเครื่องปลอกเมล็ดถั่วออกเพื่อให้รสชาติที่นุ่มลิ้นยิ่งขึ้น จากนั้นก็ใช้ผ้าบีบน้ำถั่วแดงออกมา ก่อนจะเตรียมแป้งข้าวเหนียวแล้วนึ่งทีละชั้น กลิ่นจะหอมหวาน อร่อยกว่าที่พ่อครัวในจวนของหม่อมฉันทำเสียอีก”
ฮ่องเต้กินถั่วแดงและฟังปากเล็กๆ นั้นพูดถึงวิธีการทำขนมถั่วแดงไม่หยุด กลับรู้สึกมีความสุขไม่น้อย แต่ที่เขามาในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อกิน
ริมฝีปากสีแดง ปากของฉินชิงที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวปิดช่างดึงดูดจิตใจผู้คนยิ่งนัก
“เอาละ ข้ากินอิ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปมามาก็น่าจะสอนเจ้ามาแล้วใช่หรือไม่ ถอดเสื้อให้ข้า”
ฮ่องเต้กางสองมือออก รอให้ฉินชิงมาถอดชุดให้
มามาย่อมสอนอยู่แล้ว กระทั่งแม่ของฉินชิงเองก็ให้คนส่งภาพมาให้นาง แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็ยังน่าอาย ใบหน้ารูปไข่ของฉินชิงแดงเรื่อ แดงไปจนถึงใบหู มองแล้วก็ดูน่ารักยิ่งนัก และยิ่งดูเย้ายวนเหลือเกิน
ฮ่องเต้เห็นท่าทางนางเช่นนั้น ในใจย่อมมีความสุขอย่างมาก
ฉินชิงทำตามกฎ ถอดเสื้อให้ฮ่องเต้ นี่คือครั้งแรก ฉินชิงจึงไม่ชำนาญเท่าไร มือของนางก็ลวนลามฮ่องเต้ไปไม่น้อย
ฉินชิงคิดขณะถอดเสื้อ แคว้นต้าเหลียงให้ความสำคัญกับวิชาการและการทหาร รูปร่างของฮ่องเต้ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าจะฝึกวรยุทธ์มาไม่น้อย
แม้ฉินชิงจะรู้สึกสบาย แต่ฮ่องเต้กลับดูไม่สบายเลย เพราะนางได้จุดไฟในตัวของเขาไปทุกที่แล้ว ดังนั้นจึงอุ้มฉินชิงขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาท...” ฉินชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“พวกเราพักผ่อนกันดีกว่า”
......
วันต่อมา
ฉินชิงนอนจนตะวันโด่งถึงได้ตื่นขึ้นมา อดทอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้ ระบบการทำความเคารพของแคว้นต้าเหลียงช่างดีจริงๆ เพราะฉินชิงไม่อาจไปเคารพฮองเฮาได้ในเวลานี้
นางเจ็บไปทั่วร่างกาย ครั้งแรกของฉินชิงทำให้รู้ว่าความแข็งแรงในร่างกายของนางนั้นแย่ขนาดไหน แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าแย่หรอก แต่ร่างกายของฮ่องเต้แข็งแรงดีเกินไปต่างหาก
หยินผิงเห็นฉินชิงตื่นแล้วจึงเอ่ยกับฉินชิงตะกุกตะกัก “เสียวจู่ ข้ามียาอยู่บ้าง เอ่อ เป็นของจ้าวมามาที่ฮูหยินมอบให้ท่านก่อนหน้านี้ ท่านอยากจะใช้หรือไม่เพคะ?”
เมื่อได้ยินชื่อจ้าวมามาและมองท่าทางกระอักกระอ่วนของหยินผิง ฉินชิงยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง จ้าวมามาผู้นี้คือมามาที่แม่ของนางส่งมาให้ช่วยแนะนำเรื่องในห้องหอให้กับนาง
“เอามา ข้าทาเอง อย่าให้ใครรู้” ฉินชิงไม่อยากให้ใครรู้ว่าครั้งแรกของนางยังต้องทายา แม้ว่าสำหรับคนอื่นในวังอาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สำหรับฉินชิงอย่าให้คนอื่นรู้จะดีกว่า
เมื่อทายาเสร็จแล้ว ฉินชิงก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ร่างกายของนางอ่อนแอจนฮ่องเต้ต้องอุ้มไปอาบน้ำ ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
หยินผิงที่อยู่นอกห้อง คงจะเดาว่าฉินชิงน่าจะทายาเสร็จแล้ว จึงพูดขึ้นมาว่า “เสียวจู่ ให้บ่าวนวดให้ท่านดีหรือไม่?”
ฉินชิงอยากจะนวดเอวเอง แต่ขนาดอยากร้องไห้ก็ยังไม่มีน้ำตาให้ไหล นางพูดอะไรได้บ้าง ทำได้เพียงให้หยินผิงเข้ามา
“จ้าวมามาให้เจ้าทำอย่างนั้นหรือ?”
รอจนหยินผิงนวดเอวเสร็จก็ถึงเวลาเที่ยงวันพอดี ฉินชิงจึงเรียกคนไปสั่งทำอาหารมา
ห้องเครื่องคงจะรู้ว่านางได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นครั้งแรก วันนี้จึงนำอาหารที่ไม่มัน และมีสรรพคุณบำรุงหลายอย่างมาให้ ความประณีตของอาหารและรสชาติอร่อยยิ่งกว่าเดิม
เดิมทีฉินชิงคิดว่าต่อให้จะทำอาหารประณีตแค่ไหนมันก็คงได้เท่านั้น ตอนอยู่ในจวน พอรู้ว่ามีอาหารให้กินก็รู้สึกเบิกบานใจแล้ว พ่อและแม่ของนางไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องอาหารมากนัก รสชาติอาหารก็พูดได้แค่ว่าพอใช้ได้เท่านั้น เมื่อเข้าวังจึงรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อยมาก แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะยิ่งอร่อยและยิ่งประณีต
หากมีอาหารที่อร่อยขนาดนี้ในวังให้กินทุกวัน ฉินชิงก็พลันรู้สึกว่าไม่เลว
---------------------------------------------------------------------------------------
(1) ห้องจิ้งซื่อ หมายถึง ห้องแสดงความเคารพ ใช้ตอนที่ฮ่องเต้กับสนมที่ถูกเลือกป้ายนอนด้วยกัน
(2) มองภูผาจากระยะไกล หมายถึง เป็นสำนวนที่ใช้ชมความงามของคน