บทที่ 6 ฝนตกหนัก
ขณะที่เสิ่นเยว่เดินทางกลับ ฝนในเมืองหลวงก็กำลังตกปรอยๆ
หยาดฝนสาดกระเซ็นลงบนหลังคารถม้า ส่งเสียงดังเปาะแปะ
ด้านนอกผ้าม่านรถม้ามีกลุ่มคนตามท้องถนนวิ่งเหยาะๆ พวกเขาต่างยกมือขึ้นบังเพื่อหลบฝน
บนรถม้า ครู่ใหญ่ผ่านไปเสิ่นเยว่ถึงได้หลุดจากภวังค์
นางคิดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้
คำพูดของอ๋องผิงหย่วนทำให้นางไม่สามารถโต้แย้งได้ นางปฏิบัติต่อตนเองเลอะเลือนเช่นนี้ หากทำน้ำร้อนลวกเด็กๆ ผลลัพธ์ที่จะเกิดแทบไม่อยากคาดคิด...
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สามารถสร้างปัญหาได้
เสิ่นเยว่ก้มหน้าดูง่ามนิ้วมือซ้าย ที่จริงแล้วยังรู้สึกเจ็บอยู่จริงๆ เพียงแต่ก่อนหน้าในใจมัวครุ่นคิดเรื่องของเหลียงเย่และท่านลุงท่านป้าจึงสะเพร่า...
นางคุ้นชินว่าตนเองสามารถดูแลเด็กได้ และเป็นเพราะเคยดูแลเด็กเล็กที่จวนเจ้าเมืองจิ้นโจว ได้รับการยอมรับจากฮูหยินใต้เท้าเวิง จึงคิดไปเองว่าประสบการณ์ของตนเองสามารถนำไปใช้ได้จริง น่าจะสามารถจัดการได้อยู่หมัด...
วันนี้อ๋องผิงหย่วนได้ให้บทเรียนกับนาง
นางสมควรที่จะคิดทบทวนให้ดี
ยิ่งในตอนที่จิตใจไม่สงบยิ่งไม่สามารถหุนหันพลันแล่นได้ มิเช่นนั้นการทำอะไรมากเกินไปก็เท่ากับการกระทำที่ดีไม่พอ...
เสิ่นเยว่หลุบตาต่ำนิ่งๆ ขนตางามงอนกะพริบเล็กน้อย ดวงตาสั่นไหว นึกถึงภาพความทรงจำแรกที่ได้พบกับอ๋องผิงหย่วน
เช้าวันนี้ระหว่างเดินทางไปจวนอ๋องผิงหย่วน นางคาดเดาเอาไว้ก่อนแล้วว่าอ๋องผิงหย่วนอาจเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่องอาจห้าวหาญ ดังนั้นในตอนที่ได้พบกับผู้ดูแลจวนเถา นางจึงไม่รู้สึกกลัวสักเท่าไร
เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ ผู้ดูแลจวนเถามีท่าทีเช่นนี้ เช่นนั้นอ๋องผิงหย่วนจะต้องเข้มงวดยิ่งกว่า...
ดังนั้นขณะที่รออยู่ที่โถงข้าง จู่ๆ นางจึงรู้สึกตื่นเต้นในตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้า แต่เมื่อได้พบตัวจริง ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดนี้จึงทำให้นางทำตัวไม่ถูกโดยสิ้นเชิง
แสงแดด ความสง่างามโดดเด่น สุขุม อ่านใจคนได้...คำเหล่านี้หากอยู่ในยุคก่อนข้ามมิติมา นางไม่มีทางคิดว่าจะสามารถรวมอยู่ในตัวคนคนเดียวได้แน่นอน
เพียงแต่คำพูดของเขา ทุกประโยคล้วนเป็นประเด็นที่สำคัญ
รอบคอบเฉลียวฉลาด มีพลังในคำพูด สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย...
คนเช่นนี้ยากที่คนจะอ่านความคิดได้...
แต่สุดท้ายเขาก็มายืนมองนางเขียนสัญญาอยู่ด้านข้างคล้ายกับกำลังสนใจ
ท้ายที่สุดยังไม่ลืมเตือนนางให้ประทับรอยนิ้วมือ...
เวลานั้นนางจึงนิ่งชะงักไป
เมื่อถึงเวลาที่ผู้ดูแลจวนเถาส่งนางกลับจากจวน อ๋องผิงหย่วนไม่มีท่าทีเห็นด้วยหรือปฏิเสธ
นางสามารถอยู่ต่อได้หรือไม่ เรื่องของเหลียงเย่กับจวนเวยเต๋อโหวจะยังสามารถแก้ไขได้หรือไม่ ทุกอย่างยังไม่สามารถตัดสินได้ นางจึงยังไม่คลายความกังวลใจ...
สุดท้ายผู้ดูแลจวนเถาเห็นใจ เห็นฟ้าครึ้มคล้ายว่าฝนกำลังจะตก เขาไม่เพียงมอบร่มให้นาง แต่ยังจัดรถม้าส่งนางกลับบ้านอีกด้วย
นางกล่าวขอบคุณ
ตอนนี้ในเมืองหลวงยิ่งเวลาผ่านไปฝนก็ยิ่งตกหนัก หากไม่ใช่เพราะผู้ดูแลจวนเถาคิดอย่างรอบคอบ เกรงว่าระหว่างทางกลับบ้านนางคงจะเปียกไปแล้ว...
……
คนบังคับรถม้าส่งนางที่หน้าตรอกถนนเมืองทิศตะวันตก
เสิ่นเยว่ลงจากรถ
เสิ่นเยว่ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องไปจวนอ๋องผิงหย่วนกับท่านลุงท่านป้า ตอนนี้จึงไม่อยากให้รถม้าของจวนอ๋องผิงหย่วนจอดหน้าประตูเรือนเพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่อง
"ขอบคุณมากพี่ชาย" ที่หน้าตรอกถนนเมืองทิศตะวันตก เสิ่นเยว่กล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท
หลังจากมองรถม้าลับตาไป เสิ่นเยว่จึงค่อยกางร่มเดินกลับบ้าน
ฝนตกค่อนข้างหนัก รองเท้าปักลายดอกไม้ของนางจึงเปียก
หยาดฝนตกลงบนพื้น กระทบกับน้ำจนเกิดการกระเซ็น เสิ่นเยว่เงยหน้ามองท้องฟ้า ฝนในวันนี้คล้ายกับว่าจะไม่หยุดตก...
เสิ่นเยว่เร่งฝีเท้า
หน้าตรอกถนนอยู่ไม่ห่างจากเรือน ในตอนที่เสิ่นเยว่กลับถึงห้องก็เห็นหานเซิงกำลังอ่านหนังสือ
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมา?" หานเซิงเห็นนางก็รู้สึกโล่งใจราวกับวางหินลงพื้น
เสิ่นเยว่รับคำ "มีธุระเล็กน้อย จึงออกไปตอนเช้า"
"กินข้าวหรือยัง?" เสิ่นเยว่ถาม
หานเซิงพยักหน้า "กินแล้ว ท่านป้าทำ สองวันมานี้ท่านป้าไม่ค่อยได้นอน เมื่อครู่จึงฟุบหลับในห้อง ท่านลุงบอกว่าอย่าทำให้นางตื่น"
เสิ่นเยว่นิ่งชะงักไป ถาม "ท่านลุงเล่า?"
หานเซิงตอบ "เพิ่งออกไปข้างนอก"
เพิ่งออกไปข้างนอก?
เสิ่นเยว่ลังเลเล็กน้อย หันหน้ามองออกไปด้านนอกห้องโถง ฝนตกหนัก ไม่มีท่าทีว่าฝนจะหยุดลง เหตุใดท่านลุงยังออกไปจากเรือนในเวลานี้?
"มีคนมาหาท่านลุงหรือ?" เสิ่นเยว่ถามอีกครั้งเพื่อยืนยัน
เสิ่นหานเซิงส่ายศีรษะ "ไม่มีใครมาหา ท่านลุงออกไปเอง"
ภายในใจเสิ่นเยว่เกิดความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีถาโถมเข้ามา
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนเองคิดมากไปหรือไม่ แต่ด้านนอกฝนตกหนักขนาดนี้และไม่ได้มีใครส่งจดหมายมาให้ท่านลุง อีกทั้งท่านลุงยังจงใจเลือกเวลาที่ท่านป้าหลับออกไปข้างนอก...
ไม่ว่าเสิ่นเยว่จะคิดอย่างไรก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ภายในใจเสิ่นเยว่ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกร้อนรน "ท่านลุงออกไปนานเท่าไรแล้ว?"
เสิ่นหานเซิงประมาณเวลา "เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว"
หนึ่งก้านธูปเท่ากับสองเค่อ เสิ่นเยว่ยื่นมือไปหยิบชุดกันฝนที่อยู่ในห้องโถง พลางหันไปพูดกับเสิ่นหานเซิง "หานเซิง ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เจ้าดูแลบ้านให้ดี หากท่านป้าตื่นแล้ว ให้เจ้าบอกว่าข้าไปหาท่านลุง"
เสิ่นหานเซิงรับคำด้วยความงงงัน
เสิ่นเยว่มอบหมายหน้าที่เสร็จก็สวมชุดกันฝน ก่อนจะใส่ ‘รองเท้ากันฝน’ ทั้งยังถือร่ม แล้ววิ่งเหยาะออกไปด้านนอกห้องโถง
เมื่อใกล้ถึงประตูก็วกกลับมาอีกครั้ง กำชับกับหานเซิงว่า "หานเซิง อีกประเดี๋ยวหากท่านป้าตื่นแล้ว คิดหาวิธีอย่าให้ท่านป้าออกไปข้างนอก..."
เสิ่นหานเซิงพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ
เสิ่นเยว่ไม่กล้าชักช้า
ขณะที่ผลักประตูออกจากเรือนไป ก็ใช้ ‘รองเท้ากันฝน’ วิ่งเหยาะไปตลอดทาง ตรงไปยังจวนเวยเต๋อโหว
ท่านลุงท่านป้ามีเหลียงเย่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว
ไม่เคยตามใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแก้วตาดวงใจ
หลายวันที่เกิดเรื่องกับเหลียงเย่ ท่านลุงเทียวขอความช่วยเหลือไปทั่ว เห็นว่าวันนี้เป็นวันที่สี่แล้ว...
เสิ่นเยว่กัดริมฝีปากล่างแน่น แม้จะกางร่มอยู่แต่ลมก็ยังพัดหยาดฝนจนน้ำฝนกระทบลงบนชุดกันฝนเสียงดังเปาะแปะ เฉกเช่นความร้อนใจของเสิ่นเยว่ในเวลานี้...
นางกลัวว่าท่านลุงจะไตร่ตรองไม่ถ้วนถี่ รู้สึกไร้หนทาง แล้วบุกไปชิงตัวคนที่จวนเวยเต๋อโหว!
ประชาชนไม่สามารถสู้กับข้าหลวงได้
แล้วตระกูลเหลียงจะสู้กับจวนเวยเต๋อโหวได้อย่างไร!
ท่านลุงตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ดี แต่หลายวันมานี้พบเจอแต่อุปสรรค ทั้งวันนี้ยังฝนตกหนักอีก...
เพราะยังช่วยเหลียงเย่ออกมาไม่ได้ เสิ่นเยว่กลัวว่าท่านลุงจะยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน
นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับท่านลุง!
……
ฝนตกหนักราวกับเทน้ำ เสิ่นเยว่หารถม้าไม่ได้ในเวลานี้ บนท้องถนนนอกจากรถม้ากับม้าที่เร่งรีบผ่านมาเป็นบางครั้ง ก็แทบจะไม่มีใครเดินทางสัญจรไปมาอีก
เสิ่นเยว่มือหนึ่งถือร่ม อีกมือกุมชุดกันฝนไว้ ร่างกายบอบบางวิ่งไปตามท้องถนนอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเป็นเพราะรถม้าและม้าต่างเคลื่อนตัวอย่างเร่งรีบ จึงทำให้น้ำสกปรกสาดกระเซ็นไม่น้อย ร่มกันฝนก็ถูกลมพัดจนตกลงพื้น เสิ่นเยว่ทำได้เพียงวิ่งกลับไปเก็บ
ท่านลุงออกจากบ้านไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว นางไม่รู้ว่าจะตามไปทันหรือไม่...
นางรู้เพียงจะต้องเร่งเดินทางไปยังจวนเวยเต๋อโหว
เวลาผ่านไปฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้น หยดน้ำฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วตกกระทบใบหน้าทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ แต่เสิ่นเยว่ไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นใด
เมื่อเดินทางไปถึงหน้าประตูจวนเวยเต๋อโหว ‘รองเท้ากันฝน’ ก็เปียกไปเกือบครึ่งหนึ่ง
แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีรองเท้ากันฝน สิ่งนี้เกิดจากก่อนหน้านี้นางขอให้ช่างตัดเย็บใช้วัสดุที่น้ำซึมได้ยากเย็บติดต่อกันหลายชั้น แต่เมื่อมาถึงจวนเวยเต๋อโหว น้ำก็ซึมเข้าไปเกือบหมดแล้ว
ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก ประตูใหญ่ของจวนเวยเต๋อโหวปิดสนิท ตรอกถนนตรงข้ามมีรถม้าจอดอยู่คันหนึ่ง 'คนบังคับรถม้า' สวมงอบไว้ น่าจะกำลังรอคนอยู่
นอกจากสิ่งนี้แล้ว บนตรอกถนนก็มีเพียงเสียงฝนที่ดังไปทั่ว
เสิ่นเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าฝนจะตกหนัก จวนเวยเต๋อโหวก็ไม่น่าจะปิดประตูในเวลากลางวัน ควรจะมีองครักษ์เฝ้าอยู่ที่ประตูจวน นอกเสียจากว่าในจวนจะเกิดเรื่องจึงปิดประตูไว้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ภายในใจเสิ่นเยว่ก็ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บ
เป็นเพราะเรื่องท่านลุงหรือ?
ท่ามกลางฝนที่หนาวเย็น เสิ่นเยว่หนาวสั่นจนฟันกระทบกัน นางสูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปข้างหน้าแล้วเคาะประตูจวนโหวอย่างสุดกำลัง นางต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าท่านลุงอยู่ข้างในหรือไม่
ประตูหนักมาก ทำให้เสิ่นเยว่ต้องใช้แรงมหาศาล
แต่เสียงเคาะประตูที่หนักแน่นทำให้เกิดเสียงดังขึ้น คล้ายเสียงอู้อี้ที่ดังกังวานไปตามถนน
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู 'คนบังคับรถม้า' ของรถม้าก็นั่งตัวตรง สายตาเหลือบมองมาที่แผ่นหลังของเสิ่นเยว่ คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย
ในเวลานี้ ใครกันที่มาก่อกวนจวนเวยเต๋อโหว?
'คนบังคับรถม้า' คำนวณเวลา ท่านอ๋องเข้าจวนไปเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ฝ่ายตรงข้ามเองก็ตกใจจนปิดประตูไป ตอนนี้ท่านอ๋องเองก็น่าจะก่อความวุ่นวายภายในจวนจนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน สมควรแก่เวลาออกมาแล้ว...
แต่แม่นางผู้นี้มาจากที่ใดกัน?
'คนบังคับรถม้า' ลูบปลายคาง ขณะที่กำลังคิดว่าจะไล่คนไปหรือไม่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แม่นางตกใจในอีกสักพัก ทันใดนั้นประตูใหญ่ของจวนก็ค่อยๆ เปิดออก
'คนบังคับรถม้า' นั่งตัวตรง หลบสายตาเล็กน้อย ท่านอ๋องออกมาแล้ว
ณ หน้าประตูจวนโหว ขณะที่เสิ่นเยว่กำลังจะเคาะประตูอีกครั้ง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก
เสิ่นเยว่ชะงักไปเล็กน้อย สองเท้าโงนเงน ศีรษะพุ่งตรงไปยังคนที่สวมชุดผ้าไหมชั้นดีตามทิศทางที่ประตูใหญ่เปิดออก
โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามยื่นมือมาจับนางได้ทัน นางจึงไม่ล้มลงไปในโคลนทางด้านในประตูใหญ่
เพียงชนเข้ากับอ้อมกอดของฝ่ายตรงข้าม
เสิ่นเยว่รู้สึกตกใจ รีบร้อนเงยหน้า
จัวหย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะชุดกันฝนบนตัวนางใส่อย่างแน่นหนาจึงคิดไม่ถึงว่าตนจะจำนางได้ "ข้าดูถูกเจ้ามากไปจริงๆ เจ้ากล้ายิ่งนักที่ดั้นด้นมาถึงที่นี่!"