บทที่ 4 ฮองเฮา
เช้าตรู่ ฉินชิงยังไม่ตื่นดีก็ถูกปลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผม
“เสียวจู่ สวมชุดพระราชวังสีชมพูเข้มชุดนี้เป็นอย่างไร พอคู่กับปิ่นทองฝังทับทิมสีแดงชุดนี้ ทั้งผิวพรรณของเสียวจู่ก็ขาวผ่อง มันยิ่งเสริมให้ท่านมีเสน่ห์สั่นไหวจิตใจผู้คนไม่น้อย” นางกำนัลนามว่าอวี้ฉินเอ่ย ไม่รอให้ฉินชิงตอบสิ่งใด หยินผิงก็นำเครื่องแต่งกายพระราชวังสีขาวพระจันทร์และเครื่องประดับที่ทำจากหยกขาวเข้ามา
“วันนี้ต้องไปถวายพระพรไทเฮาด้วย พระองค์ชอบสีอ่อนๆ ยังไม่รีบเอาออกไปอีก” หยินผิงกล่าวกับอวี้ฉิน
ชุดถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ฉินชิงนั่งอยู่บนเกี้ยวและมุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา
อาจเป็นเพราะหยินผิงปลุกนางเช้าเกินไปและแต่งตัวให้นางค่อนข้างเร็ว อีกทั้งระยะทางจากตำหนักจงชุ่ยและตำหนักคุนหนิงก็ไม่ไกลมาก ระหว่างทางฉินชิงไม่ได้เจอใครเลย
เมื่อพวกนางมาถึงวังตำหนักของฮองเฮา ฮองเฮายังคงแต่งตัวอยู่ ขอให้ฉินชิงรออยู่นอกตำหนักก่อน เมื่อฉินชิงมองเข้าไปในตำหนักคุนหนิง ก็รู้สึกว่ามันดูไม่เหมือนที่ประทับของฮองเฮาเลย
ได้ยินมาว่าเมื่อสามปีก่อนนั้น ฮองเฮาได้สูญเสียลูกไป ตอนนี้มีเพียงองค์หญิงใหญ่ที่ฮองเฮาดูแลอยู่ หลังจากเสียลูกไปฮองเฮาก็ไม่สนใจเรื่องในวังหลังมากนัก นางมักจะอยู่ในห้องพระเล็กๆ ของนาง มีเพียงองค์หญิงใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำให้ฮองเฮายิ้มออกมาได้บ้างบางครั้ง ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์นั้น ฉินชิงก็ได้ยินเสียงเรียกของฮองเฮา
ไม่นานฮองเฮาก็ออกมาจากห้องชั้นใน ชุดที่นางสวมใส่เป็นชุดราชวังที่ค่อนข้างอลังการ เครื่องประดับบนศีรษะของนางก็งดงามและสง่างามเช่นกัน เวลาก้าวเดินและนั่งก็เป็นตามแบบของสตรีในยุคโบราณ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฉินชิงมักจะรู้สึกว่านางอ่อนแอและไร้อำนาจ และค่อนข้างจะมั่นใจว่าตนได้กลิ่นยาลอยโชยมา ในข่าวลือล่าสุดบอกว่าฮองเฮาทรงประชวร เกรงว่าจะจริง
“น้องหญิงเจา เจ้าช่างมาเช้ายิ่งนัก ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าฝ่าบาทรับหญิงงามแห่งยุคเข้ามาเป็นสนม ประทานชื่อให้ว่าเจา ถึงแม้ว่าวันนี้น้องหญิงจะสวมใส่เสื้อผ้าเรียบๆ ก็ไม่อาจปกปิดรูปลักษณ์ที่สง่างามของเจ้าได้” ฮองเฮากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮองเฮา ท่านเอ่ยชมผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงมีหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ไหนเลยจะคู่ควรให้เรียกว่าหญิงงามแห่งยุค ฮองเฮาต่างหากที่มีความงดงามล่มบ้านล่มเมือง” คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ฮองเฮาคือหญิงงามที่ควรค่าแก่การเรียกว่าหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นเหลียง พรสวรรค์และความงดงามของนางนั้นไม่ใช่ใครจะเทียบได้
ฮองเฮาทรงหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เริ่มสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับฉินชิง อย่างเช่นถามนางว่าคุ้นเคยกับวังหรือยัง อาหารในวังนั้นถูกปากหรือไม่
“ไม่มีความลำบากเลยเพคะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่หม่อมฉันคิดถึงที่บ้านเล็กน้อย คิดถึงหมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริกและเกี๊ยวที่มารดาของหม่อมฉันทำให้ เกรงว่าคงไม่ได้กินรสชาตินี้อีกแล้วเพคะ” เมื่อกล่าวจบนางก็ถอนหายใจ
“เป็นเรื่องธรรมดาที่จะคิดถึงบ้าน ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงวังแรกๆ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่อีกสักพักก็จะดีขึ้น หากเจ้าคิดถึงบ้านก็มาหาข้า ข้าจะส่งสารไปให้แม่ของเจ้าให้นางมาเยี่ยมเจ้าในวัง”
“ฮองเฮา ท่านอย่ามาเสียใจทีหลังนะเพคะ หม่อมฉันจะมาพบท่านแน่นอน” เมื่อฉินชิงกล่าวเช่นนั้น นางก็คิดถึงมารดาของนางจริงๆ ชาติก่อนอยู่ตัวคนเดียว ยากนักจะได้พบกับมารดาที่รักเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ คิดถึงมากจริงๆ
หลังจากพูดคุยเรื่องในครอบครัวสักพักแล้ว เหล่าสนมทั้งหมดก็มาทีละคน คนแรกคือเจียเจี๋ยอวี้[1] ขณะเดินมานั้นก็พูดว่า “ข้านึกว่าจะเป็นคนแรกเสียอีก คิดไม่ถึงว่าน้องหญิงจะมาก่อน ช่างขยันจริงๆ หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา” กล่าวจบก็ทำความเคารพฮองเฮา
ฉินชิงตอบว่า “พี่หญิงก็พูดไป น้องจะนับว่าขยันได้อย่างไร ในฐานะสนมนี่คือสิ่งที่ควรเป็นเพคะ”
จากนั้นฮองเฮาก็เริ่มพูดคุยเรื่องประจำวันกับเจียเจี๋ยอวี้ ฉินชิงนั่งดื่มชาอย่างเงียบๆ ต้องบอกเลยว่าชาในตำหนักของฮองเฮานั้นเป็นชาชั้นดี และฉินชิงก็รู้สึกว่าชานี้ต่างจากชาที่ตำหนักของตน
ไม่นาน สนมคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยมา
เจียเจี๋ยอวี้ ฟางกุ้ยเหริน[2] ไป๋เหม่ยเหริน[3] เหลียนฉางจ้าย[4] โจวตาอิ้ง[5] หลี่ตาอิ้งก็มาถึงกันครบแล้ว
ขณะดื่มชาฉินชิงก็มองไปที่พระสนมมาใหม่เหล่านี้ กริยาของเจียเจี๋ยอวี้ดูอ่อนแอราวกับกิ่งหลิวที่สั่นไหวตามสายลม แต่เมื่อครู่นี้ท่าทางของนางเหมือนเพิ่งจะเอาหนามสดมาทิ่มแทงตน ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างในใจ ใช่ เรื่องในครอบครัวห้ามอ่อนแอ นางต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้กำเนิดองค์ชาย ไม่แน่อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นเฟย[6] คนที่สี่ อนาคตสดใสเช่นนี้ ไม่มีทางคิดน้อยแน่นอน
ฟางกุ้ยเหรินดูแล้วก็เป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ นางไม่คุยกับผู้ใดเลย ดังนั้นจึงทำให้นางดูเป็นคนเก็บตัว ใบหน้าก็ดูไม่เลว นับว่างดงาม รูปหน้าของนางค่อนข้างกลม แต่ถ้าเทียบความงามของนางในวังแห่งนี้ ยังไม่นับว่างดงามเท่าไรนัก
ส่วนไป๋เหม่ยเหรินก็งดงามจริงๆ เหมือนกับกล้วยไม้ในหุบเขาร้าง[7] นิสัยก็สมบูรณ์แบบราวกับถูกสวรรค์สร้างมา ว่ากันว่าเลือกจากหญิงงามในทุกเขตการปกครอง หากไม่ใช่เพราะงดงามก็จะไม่ได้รับตำแหน่งเหม่ยเหริน
ส่วนเหลียนฉางจ้ายก็เหมือนชื่อของนาง วิธีเลือกเข้ามาเหมือนกับไป๋เหม่ยเหริน นางมีใบหน้างดงาม แต่ก็ยังไม่งดงามเท่าไป๋เหม่ยเหริน และดูเหมือนว่าจะถูกเลือกโดยไทเฮา ว่ากันว่านางดูคลอดบุตรได้ง่าย ฉินชิงก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน นางดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวล และดูเหมือนนางจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ส่วนโจวตาอิ้งและหลี่ตาอิ้งเป็นลูกสาวจากตระกูลเล็กๆ ถูกเลือกมาเพื่อเพิ่มจำนวนสนมในวังหลัง ความงามไม่นับว่างามนัก ฐานะก็ไม่สูง และไม่มีภูมิหลังทางตระกูลที่ดี การจะอยู่ในวังให้รอดจึงเป็นเรื่องยาก
ฉินชิงมองพิจารณาสนม ฮองเฮาเองก็จำสนมทุกคนได้และรู้จักพวกนาง และแล้วก็ถึงเวลาอันควร
สตรีทุกคนยืนขึ้นและคุกเข่าสามครั้ง คำนับเก้าครั้งให้กับฮองเฮา
ขณะที่เหล่าสนมคำนับ ฮองเฮาก็เริ่มให้คำสั่งสอนแก่พระสนม “จากนี้ไปทุกคนเป็นพี่น้อง ข้าจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ ทุกคนจำให้ขึ้นใจ ในฐานะของสนมหน้าที่ก็คือปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดี เท่านี้ก็พอแล้ว”
เมื่อเหล่าสนมทำความเคารพเสร็จแล้ว ฮองเฮาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ทุกคนตามข้าไปคารวะไทเฮาเถอะ”
คนกลุ่มใหญ่พากันไปรอที่หน้าทางเข้าตำหนักฉือหนิง เมื่อถึงประตูตำหนักฉือหนิง ไทเฮาก็ส่งคนมาแจ้งว่าตนนั้นอายุมากแล้ว ชอบความสงบ ไม่ต้องมีกันทุกคน แค่ให้สนมและกุ้ยเหรินที่เข้ามาใหม่ไปคารวะก็พอ ให้ฮองเฮาพาสนมคนอื่นกลับไป
จากนั้นก็เรียกเจียเจี๋ยอวี้ ฉินชิง และฟางกุ้ยเหรินเข้าไปคารวะด้านใน
ฉินชิงและอีกสองคนเดินเข้าไปคารวะ หลังจากเข้าไปแล้ว ไทเฮาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ ฉินชิงและอีกสองคนที่เหลือก็ทำความเคารพตามพิธีการ พอพูดถึงตรงนี้ ฉินชิงพลันนึกอิจฉาสนมเหล่านั้น ไม่ต้องมาคุกเข่าสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง ทุกครั้งที่คำนับ โดยเฉพาะการคำนับแบบเต็มรูปแบบ เข่าของฉินชิงมักจะปวดเป็นเวลาสองสามวัน มิน่าล่ะเสี่ยวเยี่ยนจื่อถึงได้ทำผ้ารองเข่าให้นาง
หลังจากคารวะเสร็จแล้ว ฉินชิงและคนอื่นๆ ก็รอโอวาทจากไทเฮาอย่างเงียบๆ
“พวกเจ้าสามคนคือสามอันดับแรกจากการคัดเลือกหญิงงามในครั้งนี้ จงทำหน้าที่สนมให้ดี ตั้งใจรับใช้ฮ่องเต้และฮองเฮา ยึดมั่นคุณธรรมการเป็นสนมที่ดีเอาไว้ และดูแลบ่าวรับใช้ของตัวเองด้วยความเมตตา ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะปฏิบัติตามหน้าที่ รับใช้ฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ” ฉินชิงและคนอื่นๆ ต่างตอบอย่างพร้อมเพรียง
“รู้แล้วก็ดี ข้าไม่อยากเห็นสิ่งสกปรกในสายตา นิสัยของฮองเฮานั้นอ่อนโยน นางเป็นฮองเฮาและจะเป็นฮองเฮาตลอดไป พวกเจ้าต้องให้ความเคารพนาง ส่วนเรื่องอื่น ทายาทของฮ่องเต้นั้นมีน้อยนัก พวกเจ้าจงพยายามแผ่กิ่งก้านสาขาให้ฮ่องเต้ ถ้าพวกเจ้าให้กำเนิดองค์ชายได้ ข้าสัญญาว่าชีวิตของพวกเจ้าจะไม่มีวันลำบาก นำเห็ดหลินจือมามอบให้พวกนาง”
“ขอบพระทัยไทเฮา หม่อมฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพคะ” ทั้งสามคนตอบ
ฉินชิงและอีกสองคนรับรางวัลแล้วก็ถอยออกไป ระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องที่ไทเฮาพูดเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าการกระทำครั้งนี้เหมือนกับการตบหัวแล้วลูบหลัง
ก่อนเข้ามาในวังหลวง ฉินชิงเองก็ได้สืบข้อมูลเหล่านี้มาแล้ว
ฮ่องเต้องค์ก่อนมีทายาทมากมายในวังหลัง ไม่ได้น้อยเหมือนฮ่องเต้องค์ใหม่ ไทเฮาผู้งดงามคนนั้น ทำร้ายผู้อื่นอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาลูกชายหนึ่งคนลูกสาวสองคนของนางให้มีชีวิตรอดในราชวงศ์นี้ได้ ประคับประคององค์ชายสี่ในตอนนั้นจนได้สืบราชสมบัติเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ นับว่าเป็นบุคคลที่มีฝีมือเก่งกาจ
ขณะนั้นที่ฉินชิงได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวไทเฮาผู้นี้จริงๆ นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ล่วงเกินไทเฮาและต้องเอาใจเหล่าไท่ไท่[8] ผู้นี้ให้ดี
เมื่อกลับถึงตำหนักของตัวเอง อันดับแรกฉินชิงให้หยินผิงนำยามาให้นางเพื่อจะทาลงบนเข่าให้เร็วที่สุด เมื่อเลิกผ้าขึ้น เข่าของฉินชิงก็กลายเป็นสีม่วงเล็กน้อยแล้ว ฉินชิงรีบนำยามาทาทันที หลังจากขบคิดสักครู่ก็ตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนางต้องเย็บสนับเข่าดีๆ สักอัน ขนาดวันนี้มีผ้ารองเข่าก็ยังเขียวช้ำขนาดนี้ ต่อไปถ้าต้องเจอกับงานไว้ทุกข์ เข่าของตนจะไม่พิการเอาหรือ
ผิวของฉินชิงนั้นบอบบางกว่าคนทั่วไป ตั้งแต่เล็กนางกินดีอยู่ดี ไม่เคยทำงานหนัก ทำให้ผิวของฉินชิงบอบบางราวกับจะสามารถคั้นน้ำออกมาได้ก็ไม่ปาน
หลังจากทายาเสร็จแล้วก็ถึงเวลาอาหาร วันนี้สนมเจาไม่อยากจะกินเนื้อปลาหรือเนื้อหมูแล้ว นางอยากจะกินผักเขียว ดังนั้นนางจึงสั่งผัดเต้าหู้ ผัดผักกาด ผัดมันฝรั่งซอย
เมื่อได้กินแล้วก็ยังคงเบิกบานใจมาก
หลังจากฉินชิงกินดื่มอิ่มแล้วก็เริ่มขุนตัวเองด้วยการเอนกายอยู่บนเก้าอี้และเรียกให้หลิวหลีมาเล่าเรื่องซุบซิบให้ฟัง พูดถึงนางสนมทุกคนของฮ่องเต้
“เสียวจู่ วันนี้บ่าวจะเล่าเรื่องเจิ้งกุ้ยเฟย เหนียงเหนียงที่อยู่ตำแหน่งรองจากฮองเฮาให้ท่านฟัง บ่าวได้ยินมาว่าเจิ้งกุ้ยเฟย[9] เป็นเจ๋อเฟย[10] ตอนที่ฮ่องเต้ยังอยู่จวนอ๋อง เข้าจวนอ๋องช้ากว่าฮองเฮาเล็กน้อย นางคือหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่เคียงข้างฮ่องเต้มาตั้งแต่แรกๆ บิดาของเจิ้งกุ้ยเฟยเป็นขุนศึก ตอนนี้ก็ได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นแขนขวาและแขนซ้ายของฮ่องเต้ เจิ้งกุ้ยเฟยมีนิสัยเอาแต่ใจเพราะทางครอบครัวนางคอยตามใจมาตลอด” หลิวหลีค่อยๆ กล่าว
“แล้วยังมีเหนียงเหนียงคนอื่นอีกหรือไม่?” ฉินชิงถาม
“ยังมีพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานในวังหลัง อย่างเช่น พระสนมหรง พระสนมโหลว ลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้ อวี้หรงหัวที่ให้กำเนิดองค์หญิงสองพระองค์ สนมหนิงให้กำเนิดองค์หญิงสามพระองค์ ทั้งหมดนี้ล้วนได้รับความโปรดปราน”
เมื่อได้ยินเรื่องในวังหลังที่หลิวหลีพูดมา ฉินชิงก็ถอนหายใจ ช่างซับซ้อนจริงๆ คนก็มีมากมาย จำได้ไม่หมด ทำอย่างไรดี ใครก็ว่าวังหลังของฮ่องเต้นั้นมีคนน้อย แต่จริงๆ แล้วถ้าเอาไปเทียบกับฮ่องเต้องค์ก่อนที่มีประมาณร้อยคน วังหลังตอนนี้ก็เรียกได้ว่าน้อยจริงๆ
หลังจากฉินชิงไล่จำชื่อของคนอื่นๆ มาพักหนึ่งก็ทนต่อการโจมตีของปีศาจแห่งการง่วงนอนไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ยากเกินไปตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ สิ่งเหล่านี้ถ้าจำไม่ได้ก็ให้หยินผิงหยินซั่นไปจำ ทั้งยังได้ฝึกฝนพวกนาง แบบนี้ดีจะตาย
-----------------------------------------------------
(1) เจี๋ยอวี้ หมายถึง ตำแหน่งพระสนมขั้นสาม คือตำแหน่งที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
(2) กุ้ยเหริน หมายถึง ชื่อตำแหน่งสนมขั้นหก สามารถแต่งตั้งได้ไม่จำกัด
(3) เหม่ยเหริน ตำแหน่งพระสนมขั้นสี่
(4) ฉางจ้าย หมายถึง ตำแหน่งสนมระดับล่าง สามารถแต่งตั้งได้จำนวนไม่จำกัด
(5) ตาอิ้ง หมายถึง ตำแหน่งสนมระดับล่างรองจากฉางจ้าย สามารถแต่งตั้งได้จำนวนไม่จำกัด
(6) เฟย หมายถึง ตำแหน่งพระชายาของฮ่องเต้ สามารถแต่งตั้งได้สี่คน
(7) กล้วยไม้ในหุบเขาร้าง หมายถึง สตรีที่งดงามไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอันวุ่นวาย
(8) เหล่าไท่ไท่ หมายถึง คำเรียกสตรีที่มีอายุสูง
(9) กุ้ยเฟย หมายถึง ตำแหน่งพระสนมขั้นสูงสุด
(10) เจ๋อเฟย หมายถึง ตำแหน่งพระชายารอง