บทที่ 10 สัญชาตญาณ
หร่วนหลางที่อายุน้อยกว่าเธอแปดปีถือว่าเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ได้รับความรักเอ็นดูมาเสมอ ย่อมถูกตามใจอย่างไร้กฎเกณฑ์ และชอบมีเรื่องแต่เด็ก ต่อมาก็มีเรื่องใหญ่โตขึ้นทุกที เมื่อพ่อแม่คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องกำราบเขาก็ไม่มีวิธีไหนเหลือนอกจากต้องใช้ไม้แข็ง แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้จากต้นเหตุ มีแต่จะทำให้หร่วนหลางนั้นเจ้าเล่ห์ขึ้น ทำเป็นเชื่อฟัง และยังก่อเรื่องอยู่เหมือนเดิม
วันต่อมาหร่วนหลางก็ไป เขาออกไปกองถ่ายและไล่ตามความฝันของเขาอีกครั้ง คำพูดของเขายังดังก้องอยู่ข้างหูเธอ ‘พี่ ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไปเถอะนะ ปล่อยให้มันเป็นไป’
สองสัปดาห์ต่อมา เธอได้รับประกาศเรื่องการฝึกงานในโรงพยาบาลเป๋ยหย่าอย่างเป็นทางการ
จากลิฟต์ถึงห้องทำงานเป็นระยะทางใกล้ๆ ขาของเธอกลับอ่อนแรงและขนลุกซู่ เธอต้องกะระยะทุกย่างก้าว เพียงแค่เจอคนสวมเสื้อกาวน์สีขาวหรือชุดห้องผ่าตัดสีเขียวก็ใจสั่น เธอรู้สึกว่าตนเองเหมือนโจร ไม่เหมือนกับแพทย์ฝึกหัดเลย...
ในที่สุดก็เดินมาถึงห้องทำงาน เธอรีบกวาดสายตาภายในห้องและไม่พบใครเลยก็โล่งใจนิดๆ ที่บอกว่านิดๆ นั้นก็เป็นเพราะเธอมาที่นี่ไม่รู้กี่รอบ แพทย์พยาบาลจะยังจำเธอได้หรือเปล่า?
เมื่อกวาดตามองเป็นครั้งที่สอง เธอก็แทบจะอยากมุดดินหนีอย่างแรง! มีหลายคนที่คุ้นหน้า! เธอรู้สึกว่าที่เธอยังคงยืนอยู่ได้ไม่ใช่เพราะความกล้า แต่เป็นความหน้าด้านของเธอ!
“ไม่ทราบว่าหัวหน้าสวีอยู่ไหมคะ?” เธอยังคงหน้าทนถามต่อ
ทุกคนเงยหน้ามองเธอ จนเธอรู้สึกได้ว่าใบหน้าของเธอกำลังไหม้
“ฉันเอง” แพทย์อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้น
“สวัสดีค่ะหัวหน้าสวี ฉันชื่อหร่วนหลิวเจิง เป็นแพทย์ฝึกหัด” เธอพบว่าใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้นไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ ราวกับไม่รู้จักเธอ จึงได้รู้สึกสงบจิตใจลง
“อ้อ สวัสดีหมอหร่วน เมื่อคืนหมอหนิงอยู่เวรดึก วันนี้เลิกงานแล้ว พวกคุณสองคนทำความคุ้นเคยกันก่อน เตรียมตัวสำหรับการอบรมก่อนฝึกงาน” หัวหน้าสวีพูดพร้อมกับหันไปมองผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้สวมเสื้อกาวน์
ในหูของเธอมีแต่คำว่า ‘คุณหมอหนิง’ สามคำนี้ดังก้อง...
เป็นเขาเหรอเนี่ย! ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นดังคาด! แต่กลับทำให้เธอตกตะลึงอยู่ในภวังค์ จนเธอไม่ได้ยินสิ่งที่หัวหน้าสวีพูดต่อจากนั้น...
จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นตรงหน้าและถามเธอ เธอจึงหลุดจากภวังค์ “ฮะ? อะไรนะ?”
“หัวหน้าสวีให้เราทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม! คุณยังจะยืนอยู่ตรงนี้ทำไม?” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดและกดขี่
หญิงสาวสูงกว่าเธอครึ่งศีรษะ แค่ส่วนสูงก็เพียงพอที่จะกดขี่คนอื่นได้แล้ว
“อ้อ ได้ค่ะ” เธอนึกเกลียดที่ตัวเองมีกิริยาไม่เหมาะ และยิ้มขอโทษหัวหน้าสวี
หัวหน้าสวียิ้มกลับให้เธอเล็กน้อยด้วยความใจดี “พวกเธออยากได้คนนำทางไหม?”
“ไม่ ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ” หร่วนหลิวเจิงรีบตอบ สถานที่แห่งนี้ เธอคุ้นเคยเสียจนหลับตาเดินก็ยังเดินถูก ยังจะต้องให้นำทางอีกเหรอ?
เธอยังเงอะงะเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไป แต่ในตอนที่หันหลังกลับนั้น ศีรษะก็ชนเข้ากับกำแพง จะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าเป็นกำแพงมนุษย์
เธอเจ็บหน้าผากจนแทบน้ำตาเล็ด
“ขอโทษค่ะ ขอ...” เธอยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกได้ว่าผิดปกติ
บางครั้งสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณก็ช่างน่ากลัว
เธอที่กุมหน้าผาก เห็นเพียงรองเท้าคู่หนึ่งและชายเสื้อกาวน์สีขาว และลมหายใจก็หยุดนิ่ง