ตอนที่แล้วบทที่ 9 ฟางกุ้ยอี้ทรงตั้งครรภ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 สอนวาดภาพ

บทที่ 10 ชีวิตประจำวันในวังหลัง


เช้าวันนี้ฉินชิงตื่นตอนซื่อฉือ (เก้าโมงเช้า) ไฉ่อวี้เป็นนางกำนัลที่คอยอยู่ปรนนิบัติตอนนางล้างหน้าบ้วนปาก หลังจากนั้นก็ถึงเวลาต้องรับอาหารเช้า อาหารเช้าที่จัดส่งโดยห้องเครื่องของฮ่องเต้ในวันนี้ ได้แก่ ไข่ดองและโจ๊กเนื้อไม่ติดมัน ผักดองสองสามจาน ไข่ดาวหนึ่งฟอง ชงโหยวปิ่ง [1] อีกสองแผ่น ไข่เยี่ยวม้า และเนื้อไม่ติดมันหั่นเป็นชิ้นๆ จัดวางในถ้วยอย่างสมส่วน มีควันลอยตลบอบอวล กลิ่นหอมก็ลอยไปทั่วบริเวณ

ผักดองถูกวางไว้ในจานเล็กๆ อย่างประณีต ดูแล้วน่ากินยิ่งนัก ไข่เยี่ยวม้าวางอยู่ในชงโหยวปิ่ง จากนั้นก็ทาเครื่องปรุงที่ห้องเครื่องปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ กลิ่นหอมนั้นไม่ต้องพูดก็รู้ว่าหอมแค่ไหน

เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ฉินชิงก็เดินไปรอบๆ ตำหนักสองสามรอบ ยืดเส้นยืดสายอีกสักหน่อย ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อนางกำนัลน้อยไฉ่อวี้

“ไฉ่อวี้ เจ้าเข้าวังตอนอายุเท่าไรหรือ?”

“บ่าวเข้าวังมาตอนแปดขวบเพคะ ปีนี้ก็เข้าปีที่เจ็ดที่บ่าวอยู่ในวังมา”

“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าในอนาคตจะทำอะไร?”

“บ่าวอยากทำตามคำแนะนำของพี่หยินผิง ตั้งใจทำงานในวังและเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเพคะ”

“ประโยคแรกของเจ้าไม่ได้มีความหมายอันใดเลย ไม่จริงใจ เจ้าจะเก็บเงินไปทำสิ่งใด?” ฉินชิงยกมือเคาะศีรษะของไฉ่อวี้เบาๆ

“บ่าวไม่กล้า บ่าวอยากตั้งใจทำงานในวังให้ดี แล้วเก็บเงินส่งกลับไปให้ครอบครัวเพคะ บ่าวเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัว ในบ้านยังมีน้องสาวสองคนและน้องชายหนึ่งคน บ่าวอยากเก็บเงินให้เป็นสินเดิมกับน้องสาว และเก็บเงินส่งน้องชายเข้าสอบขุนนางเพคะ”  ไฉ่อวี้กล่าวไปก็เหมือนจะร้องไห้ไป

ฉินชิงคิดว่าคนในยุคโบราณนี้ช่างโตเกินวัยจริงๆ เพิ่งจะเป็นเด็กอายุแปดขวบกลับต้องถูกส่งตัวเข้าวัง ทั้งยังต้องแบกรับครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย หาสินเดิมให้น้องสาว หาเงินให้น้องชายไปสอบขุนนาง

“แล้วเจ้าไม่เคยคิดเพื่อตัวเองเลยหรือ? หลังจากอายุยี่สิบปีเจ้าก็ต้องออกจากวัง เจ้าไม่ได้คิดถึงอนาคตของเจ้าเลยหรือ?”

“บ่าวไม่เคยคิดเพคะ” ไฉ่อวี้มีใบหน้างุนงงเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอสั่งเจ้า แบ่งเงินเดือนครึ่งเล็กๆ ของเจ้าเก็บไว้เพื่อตัวเอง อย่าส่งกลับไปให้ที่บ้าน เจ้าคงไม่คิดว่าเมื่อถึงวัยก็ต้องออกจากวังและแต่งงาน เมื่อถึงตอนนั้นไร้ซึ่งสินเดิม ว่าที่สามีของเจ้าไม่ต้องการเจ้าจะทำเยี่ยงไร?”

ครั้นเอ่ยถึงหัวข้อนี้ ใบหน้าไฉ่อวี้พลันแดงเรื่อ

“เหนียงเหนียง ท่านอย่าล้อบ่าวเลยเจ้าค่ะ”

“ข้าพูดจริงๆ คิดเพื่อตัวเองบ้าง ในเมื่อไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็ควรคิดให้ดี อีกสิบวันข้าจะถามเจ้าอีกที เจ้าต้องเตรียมคำตอบให้ดีว่าในอนาคตเจ้าอยากแต่งงานกับบุรุษแบบใด นี่คือคำถาม ไปคิดให้ดี ข้าจะถามเจ้าแน่”

เมื่อหยอกล้อไฉ่อวี้แล้ว ฉินชิงก็ไปคุยกับนางกำนัลน้อยคนอื่นๆ กระทั่งถึงเวลาอาหารเที่ยง

อาหารเที่ยงที่ห้องเครื่องส่งมาน่ากินมาก ขณะส่งมาถึงตำหนักจงชุ่ยก็ยังร้อนอยู่

วันนี้อาหารจานหลักของห้องเครื่องคือไก่ต้มสับ อาหารกวางตุ้ง

ไก่ต้มสับใช้ไก่บ้านกระดูกน้อย ใส่วัตถุดิบอย่างเช่นหอมเปราะและกระเทียมผงเป็นต้น หลังจากต้มด้วยไฟอ่อนก็ปล่อยให้เย็นสักพักแล้วค่อยสับเป็นชิ้น หลังจากปรุงเสร็จแล้ว ด้านนอกจะเป็นสีเหลืองน้ำมันและด้านในจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ หนังกรอบ เนื้อเนียน กระดูกหอม อร่อย

ฉินชิงกินไปไม่น้อย ทั้งยังดื่มซุปพุทราแดงและเมล็ดบัวไปหนึ่งถ้วย สรรพคุณของมันว่ากันว่าจะบำรุงให้ใบหน้างดงาม วันที่มีระดูยังช่วยบำรุงเลือด สนมในวังชอบกินนัก ห้องเครื่องก็ทำบ่อย

ฉินชิงที่กินจนอิ่มแล้วก็ไปนอนกลางวัน ตอนเที่ยงๆ เช่นนี้คนง่วงนอนง่าย ฉินชิงไม่มีอะไรทำจึงชินกับการนอนกลางวันเช่นนี้

เมื่อฉินชิงตื่นก็จะไปวาดรูปในห้องหนังสือของตน แม่ของนางเลี้ยงดูนางให้เป็นสตรีเพียบพร้อม หาครูมาสอนด้านดีดฉิน หมากรุก เขียนพู่กัน วาดภาพ ทั้งหมดนี้เป็นสตรีสี่คน และเป็นครูที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง

ในสี่สิ่งนี้วิชาที่ฉินชิงไม่ยอมแพ้ก็คือการวาดภาพ ในฐานะที่ฉินชิงเป็นคนยุคปัจจุบัน เมื่อก่อนเคยเรียนวาดภาพคนมาเล็กน้อย และเป็นตอนเรียนศิลปะระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นางไม่เข้าใจรูปแบบการวาดของยุคโบราณ มันเป็นการวาดภาพที่ลายเส้นแสดงออกถึงความรู้สึกไม่ได้

ฉินชิงเป็นเหมือนนักเรียนประเภทหนึ่งที่รู้ทุกอย่างในวิชาคณิตศาสตร์ แต่พอถึงวิชาภาษาอังกฤษก็สั่นกลัวเหมือนนก การดีดฉิน เล่นหมากรุก เขียนพู่กัน นางได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าฉลาดและมีไหวพริบ เมื่อถึงวิชาศิลปะ อาจารย์ก็เอ่ยว่าทักษะการวาดรูปของนางนั้นแม้แต่น้องสาวนางยังสู้ไม่ได้

จะให้ฉินชิงทำอย่างไร ฝึกฝนก็ฝึกแล้ว ขยันเพื่อชดเชยความไม่เก่งก็ทำแล้ว กลายเป็นนกโง่ที่ออกบินก่อน นางไม่มีทางเชื่อว่านางจะวาดภาพไม่ได้

ก่อนอื่นต้องวาดภาพตามจิตรกรที่มีชื่อเสียงของต้าเหลียงอย่างฮวาเจียนเยว่ จากนั้นก็สร้างภาพวาดทัศนียภาพของภูเขาและแม่น้ำของตัวเอง แม้ว่าจะยังไม่สวยเท่าไร แต่ทักษะเช่นนี้ล้วนต้องฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กอย่างยากลำบาก น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ฉินชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำหยดนี้จะกัดเซาะหินได้เมื่อใด

หลังจากอยู่ในห้องหนังสือมาหนึ่งชั่วยาม ฉินชิงก็รู้สึกว่าตนเริ่มหายใจไม่ออก

ก่อนที่ฟางกุ้ยอี้จะตั้งครรภ์ นางสามารถฝึกวาดภาพเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามได้ทุกวัน จากนั้นก็พาสาวใช้ขาดีไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลวงเพื่อออกกำลังกายและเปลี่ยนบรรยากาศ

วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ข่าวที่ฟางกุ้ยอี้ตั้งครรภ์ได้แพร่กระจายไปทั่ว ตอนบ่ายนางคงยุ่งทั้งวัน แม้แต่ฉินชิงก็ส่งของขวัญยินดีกับการตั้งครรภ์ไปให้นาง

ฉินชิงยังคงชอบไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลวง ตั้งแต่ฮ่องเต้เพิ่มตำแหน่งให้นางสองขั้น นางก็ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ

ในสวนดอกไม้หลวงแห่งนี้ หากเป็นยุคปัจจุบันยังต้องใช้ตั๋วผ่านประตู ไม่แน่อาจเป็นร้อยหรือแปดสิบหยวน ฉินชิงรู้สึกมีความสุขมากที่ได้เพลิดเพลินกับสวนดอกไม้หลวงขนาดใหญ่แห่งนี้ทุกวัน

แม้ว่าจะไม่ได้ชมดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ แต่ก็มีหญิงงามที่อยู่ในสวนให้ชื่นชมได้เหมือนกัน

อย่างเช่นนางที่อยู่ตรงหน้า

“น้อมทักทายเจากุ้ยผิน”

คนที่เข้ามาทักทายฉินชิงตรงหน้านี้ก็คือไป๋เหม่ยเหริน ได้ยินว่าคนที่มาจากโจวฝู [2] ทางเจียงหนานนั้นเปราะบางแต่หยิ่งในศักดิ์ศรี

ได้ยินว่าตอนวันคัดเลือกหญิงงามวันนั้น ฮ่องเต้มองเพียงครู่หนึ่งก็ชี้ไปที่นางทันที และให้ตำแหน่งนางเพราะความงามของนาง ต้องรู้ว่าหญิงชาวบ้านที่แต่ละโจวฝูเลือกมาจะได้รับตำแหน่งไม่สูงมาก การคัดเลือกหญิงงามในต้าเหลียงจะดูคุณสมบัติและดูภูมิหลังครอบครัว ชาวบ้านธรรมดาโดยทั่วไปแล้วจะเป็นตาอิ้ง สูงมาหน่อยก็จะเป็นฉางไจ้ และสูงที่สุดก็ไม่เกินเสี่ยวอี๋

นางได้รับตำแหน่งเหม่ยเหรินในเวลาเพียงไม่นาน เป็นที่ริษยาของบรรดาสตรีที่เข้ามาในวังพร้อมกับนาง

“ไป๋เหม่ยเหริน ช่างงดงามจริงๆ คนงามดั่งบุปผา สมแล้วที่ฝ่าบาทมอบตำแหน่งเหม่ยเหรินให้เจ้า”

“เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว เหนียงเหนียงต่างหากถึงจะเป็นหญิงงามแท้จริง เรียกได้ว่างามล่มบ้านล่มเมือง หม่อมฉันเพียงหน้าตาพอใช้ได้เท่านั้น”

ในฐานะสนมในวัง หากสนมที่ตำแหน่งสูงกว่าเจ้าเอ่ยชมว่าเจ้างดงามต้องทำอย่างไร?

แน่นอนว่าต้องประจบประแจง และตอนนี้ไป๋เหม่ยเหรินก็ประจบอย่างเห็นได้ชัด

“พูดเช่นนี้ช่างน่าฟัง ข้าชอบฟัง ไป๋เหม่ยเหรินไม่เพียงงดงาม แต่ปากยังหวาน ข้าอยากเดินเล่นในสวนดอกไม้หลวงสักครู่ เจ้าไปเถอะ”

หลังจากไป๋เหม่ยเหรินถอยออกไปแล้ว ฉินชิงก็ออกกำลังกายต่อ เดินไปรอบๆ สนามนานกว่าครึ่งชั่วยามด้วยความเร็วที่เร็วกว่าการเดินปกติมาก จากนั้นฉินชิงก็กลับไปที่ตำหนักจงชุ่ย

หลังจากอาบน้ำแล้ว ฉินชิงก็เริ่มดื่มด่ำกับอาหารค่ำของนาง...เกี๊ยว

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วนางก็ให้คนไปสั่ง ในฐานะคนทางเหนือย่อมอยากกินเกี๊ยวบ่อยๆ

เกี๊ยวที่ห้องเครื่องส่งมาย่อมเป็นเนื้อบางแต่ไส้หนา ทำอย่างประณีต และยังมีรสชาติที่แตกต่าง เกี๊ยวทุกชิ้นล้วนรังสรรค์รสชาติออกมาได้ดี

เกี๊ยวไส้ขึ้นฉ่าย หมายถึงเกี๊ยวแห่งความหมั่นเพียรและเงินทองไหลมาเทมา

เกี๊ยวไส้กุยช่าย หมายถึงเกี๊ยวแห่งความร่ำรวยยาวนาน

เกี๊ยวไส้ผักกาดขาว หมายถึงเกี๊ยวแห่งความมั่งคั่ง

เกี๊ยวรสหวาน หมายถึงเกี๊ยวแห่งการเพิ่มทรัพย์

รวมถึงปลาที่จะมีในวันขึ้นปีใหม่ทุกปี จะนำมาห่อเป็นเกี๊ยวไส้ปลา เรียกว่าเกี๊ยวเหลือกินเหลือใช้

นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุงพิเศษที่ทำจากห้องเครื่องโดยเฉพาะ ฉินชิงใช้จิ้มกับเกี๊ยว นางกินเกี๊ยวอย่างมีความสุขและสบายใจ และยังให้คนนำบางส่วนไปที่ตำหนักเซวียนเจิ้งให้ฝ่าบาทกินด้วย

หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จแล้ว ฉินชิงก็หยิบนิยายยุคโบราณจากมุมหนึ่งของห้องสมุดมาอ่าน

ความคิดสร้างสรรค์ของคนโบราณนั้นต้องใช้ได้อย่างแน่นอน แค่อ่านซานไห่จิง [3] ก็รู้แล้ว แต่ที่ฉินชิงหยิบงานประพันธ์เล่มนี้มาอ่านไม่ใช่เพราะความคิดสร้างสรรค์

เห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ก็รู้แล้ว : ท่านอ๋องดุร้ายกับอนุทั้งเจ็ด

ภาษาเขียนในเนื้อเรื่องนั้นสามารถจินตนาการเป็นภาพได้ ฉินชิงจึงอ่านได้อย่างมีความสุข

ตกดึก หยินผิงเร่งเร้าให้นางนอนถึงสองครานางถึงได้ยอมให้ดับไฟและเข้านอน

----------------------------------------

(1) ชงโหยวปิ่ง หมายถึง โรตีแผ่นไม่บางและไม่หนามาก ห่อด้วยน้ำมันและหอมเขียวสับ นวดให้เข้ากันแล้วเอามาทอดบนกระทะจนกลายเป็นแผ่นแบนๆ กรอบๆ

(2) โจวฝู หมายถึง เมืองหลวงของรัฐต่างๆ

(3) ซานไห่จิง หมายถึง คัมภีร์ภูเขาและท้องทะเล เป็นหนังสือโบราณอายุเก่าแก่กว่า 2000 ปี เชื่อว่าถูกรวบรวมระหว่างช่วงยุคจ้านกั๋วถึงฮั่นตอนต้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด