บทที่ 1 เรื่องจวนตัว
เดือนสิบปลายฤดูใบไม้ร่วง ดึกสงัดท่ามกลางอากาศหนาวเย็น
ยามสาม [1] แล้ว ภายในเรือนตระกูลเหลียงยังคงส่องแสงสว่าง ไม่มีทีท่าว่าจะนอน
ตามถนนตรอกซอยมีเสียงเคาะบอกยามดังลอยเข้าหู แก๊งๆ ภายในใจเสิ่นเยว่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สงบอีกหลายส่วน
ในอ้อมกอดเสิ่นเยว่ หานเซิงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย กอดมือเสิ่นเยว่ไว้ตลอดเวลา กล่าวอย่างหวั่นกลัว “ท่านพี่ ญาติผู้พี่จะถูกคนของจวนเวยเต๋อโหวตีจนตายหรือไม่...”
เดิมทีในใจของเสิ่นเยว่ก็ไม่สงบ เมื่อเสิ่นหานเซิงถามเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เสิ่นเยว่ที่ได้ฟังรู้สึกร้อนใจ
ที่จริงแล้วนางเองก็ไม่รู้
เหลียงเย่มีเรื่องกับคุณชายรองจวนเวยเต๋อโหว ขณะที่ทั้งสองมีปากเสียงกัน เหลียงเย่เผลอทำฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บ
จวนเวยเต๋อโหวจึงออกคำสั่งให้คนจับเขาทันที
ท่านลุงเป็นที่ปรึกษาของจิงจ้าวอิ่น[2] รู้ว่าในเมืองหลวงนี้มดแดงไม่คิดเขย่าต้นไม้ใหญ่เป็นแน่
จวนเวยเต๋อโหวคือต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
ตระกูลเหลียงไม่มีทางทำอะไรจวนเวยเต๋อโหวได้ หากสะเพร่าแจ้งความก็อาจเป็นการดึงคนอื่นในครอบครัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
สองวันมานี้ท่านลุงและท่านป้าล้วนขอร้องให้คนไปสืบข่าว แต่เมื่อคนใกล้ตัวได้ยินว่าเป็นเรื่องของคุณชายรองจวนเวยเต๋อโหวต่างก็หลบเลี่ยงไปทันที ปกติท่านลุงและท่านป้าเป็นคนกว้างขวางในเมืองหลวง แต่ตอนนี้ แม้แต่หนทางจะไปขอความช่วยเหลือก็ยังไม่มี
เวลาผ่านไปสองวันเต็ม เหลียงเย่ยังคงถูกจับไว้ที่จวนเวยเต๋อโหวไร้ซึ่งข่าวคราว
ท่านลุงและท่านป้าไม่ได้หลับไม่ได้นอนสองคืนติดต่อกัน เห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่สามแล้ว หากยังไม่ช่วยเหลียงเย่ออกมา เกรงว่า...
ภายในใจเสิ่นเยว่ราวกับถูกหินก้อนหนึ่งทับไว้จนหนักอึ้งจมดิ่งลงไป แต่ท่าทางกังวลใจและหวาดกลัวของเสิ่นหานเซิงทำให้เสิ่นเยว่ต้องยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเขา เอ่ยเสียงนุ่มนวลปลอบโยน “ที่นี่อยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ ย่อมมีกฎบ้านเมือง เหลียงเย่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านลุงและท่านป้าจะต้องหาวิธีได้แน่ พวกเราอยู่บ้านอย่างปลอดภัย อย่าสร้างความวุ่นวายให้ท่านลุงและท่านป้าเป็นพอ”
คำพูดของนางราบเรียบมั่นคง ทำให้เสิ่นหานเซิงที่ตื่นตระหนกคลายกังวลไปมาก
หานเซิงฟังพลางพยักหน้า
“นอนเถอะ” เสิ่นเยว่เอ่ยปลอบโยนเสียงเบา แต่ภายในใจกลับรู้ดี ในระบบการปกครองนี้ ซีฉินจวนเวยเต๋อโหวมีทั้งฐานะและอำนาจ ห้ามพูดถึงเรื่องการแอบกักขังคน หากจะคิดเอาชีวิตเหลียงเย่ ไม่ว่าจิงจ้าวอิ่นหรือขุนนางระดับค่อนข้างสูงในราชสำนักก็ดี ต่างก็ไม่กล้าเอ่ยคัดค้าน มิเช่นนั้น ท่านลุงท่านป้าคงจะสามารถจัดการปัญหาได้ไม่เหมือนเช่นตอนนี้
เสิ่นเยว่หลุบตามองต่ำเงียบๆ ปิดบังอารมณ์ที่อยู่ในสายตา
เวลาผ่านไปสักพัก หานเซิงหลับไปแล้ว แต่เสิ่นเยว่กลับยังไม่ลุกขึ้น นั่งอยู่ขอบเตียงมองดูหานเซิง ตอนที่นางเพิ่งทะลุมิติมา หานเซิงเพิ่งอายุครบหนึ่งปี กำลังอยู่ในวัยหัดเดิน
ตอนนี้หานเซิงอายุสิบปีแล้ว
เมื่อสองปีก่อนท่านแม่จากโลกนี้ไป ท่านลุงเดินทางมาจิ้นโจว รับตัวนางและหานเซิงมาที่เมืองหลวงเพื่อดูแล
ท่านลุงเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของจิงจ้าวอิ่น ครอบครัวมีฐานะ ท่านลุงและท่านป้าดูแลนางและหานเซิงเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัยไม่ต่างจากเหลียงเย่บุตรชายของตนเอง ทั้งยังให้หานเซิงไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองหลวง เมื่อก่อนในตอนที่นางบอกว่าอยากเรียนหนังสือ ท่านป้ายังให้นางแอบแต่งตัวเป็นชายไปเรียนที่โรงเรียนหลายเดือน ต่อมาเสี่ยงอันตรายว่าจะถูกคนจับได้จึงไม่ได้ไป
ในใจของนางและหานเซิง ท่านลุง ท่านป้า และเหลียงเย่คือคนในครอบครัว
นางและหานเซิงไม่เคยอาศัยอยู่กับคนอื่น
นางรู้สึกซาบซึ้งต่อท่านลุงและท่านป้ามาโดยตลอด
ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเหลียงเย่ ท่านลุงท่านป้าขอความช่วยเหลือจากผู้คนไปทั่วแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ลึกลงไปภายในใจเสิ่นเยว่ก็คล้ายกับกระต่ายตัวหนึ่ง กระวนกระวายใจ แต่ก็คล้ายกับช่วยอะไรไม่ได้
ที่นี่ไม่เหมือนการทะลุมิติเช่นก่อนหน้านี้
ในราชสำนัก ขุนนางชั้นต้นไม่สามารถทำร้ายคนจนถึงชีวิตได้ แต่ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายตรงข้ามคือจวนเวยเต๋อโหว?
จิงจ้าวอิ่นยังไม่กล้าออกหน้า หากท่านลุงคิดอาศัยความสัมพันธ์จากผู้อื่นก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
เหลียงเย่เป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด กระทำการสิ่งใดก็รู้จักประมาณตน ตามหลักแล้วไม่มีทางหาเรื่องคนของจวนเวยเต๋อโหวตามอำเภอใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำร้ายคุณชายรองจวนเวยเต๋อโหว แต่เหลียงเย่ถูกคนของจวนเวยเต๋อโหวจับตัวไปทันที ในตอนนั้นท่านลุงและท่านป้าไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงยิ่งไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้
ระหว่างครุ่นคิด เสิ่นเยว่ได้ยินเสียงประตูใหญ่เปิดออก
ในใจเสิ่นเยว่สั่นไหวเล็กน้อย
ผ่านยามสามไปแล้ว สามารถมาที่เรือนในเวลานี้ได้ จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเหลียงเย่แน่นอน...
มีโอกาสแล้วหรือ?
เสิ่นเยว่รีบคลุมเสื้อคลุมกันหนาว เดินออกจากห้องไปดู
มองเห็นท่านลุงต้อนรับคนผู้หนึ่งไปที่โถงข้างจากไกลๆ แต่เพราะรอบข้างมืดเกินไป ทั้งยังอยู่ไกล เสิ่นเยว่จึงมองเห็นไม่ชัด ประจวบเหมาะกับที่ท่านป้าจวงซื่อเพิ่งออกมาจากโถงข้าง กำลังเดินไปชงชาที่ห้องครัว ท่านป้าเห็นเสิ่นเยว่เข้าพอดีจึงกดเสียงต่ำอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านลุงฮั่วของเจ้ามาแล้ว บอกว่าหาวิธีสืบข่าวเย่เอ๋อร์ได้แล้ว!”
เสิ่นเยว่แสดงสีหน้าดีใจ “ดีเหลือเกิน!”
ดวงตาจวงซื่อแอบแสดงออกถึงความตื่นเต้น
“ท่านป้า ท่านกลับโถงข้างไปก่อน เรื่องน้ำชาข้าจะจัดการเอง” เสิ่นเยว่กล่าว
“เด็กดี!” ดวงตาจวงซื่อพร่ามัว ก่อนจะผละออกและกลับไปที่โถงข้าง
เสิ่นเยว่เองก็ไม่ทำให้เสียเวลา เดินเข้าห้องครัวโดยเร็วราวกับสายลม
เมื่อก่อนท่านลุงฮั่วเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของท่านลุง เป็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนอ๋องผิงหย่วน จากตำแหน่งของจวนอ๋องผิงหย่วนในเมืองหลวง บางทีอาจจะสามารถสืบข่าวของเหลียงเย่ได้จริงๆ ถึงแม้จะไม่สามารถช่วยออกมาได้ แต่ก็นับว่ามีความเคลื่อนไหว
นับว่าเป็นความคืบหน้าที่ใหญ่ที่สุดของสองวันมานี้
เสิ่นเยว่คิดไปพลางเทน้ำร้อนไปพลาง ไม่ทันระวังเพียงชั่วครู่ น้ำร้อนล้นออกมาฉับพลันทำให้ลวกง่ามนิ้วมือด้านซ้ายของตนเอง เสิ่นเยว่เจ็บจนร้อง “ซี้ด” ออกมา รีบร้อนวางมือไว้ใกล้ริมฝีปากเพื่อเป่า
แผลน้ำร้อนลวกเดิมทีต้องแช่น้ำ แต่ตอนนี้ภายในใจเสิ่นเยว่คิดเพียงแต่เรื่องของเหลียงเย่ จึงไม่มีเวลามาสนใจแผลน้ำร้อนลวก นางยกถ้วยชาไปโถงข้างทันที
เมื่อถึงห้องโถงก็ได้ยินท่านลุงฮั่วพูดกับท่านลุงพอดี “ข้ามาดึกดื่นเพราะกลัวพวกเจ้าสองสามีภรรยาเป็นกังวล เรื่องนี้โชคดีที่เมื่อวานเวยเต๋อโหวกลับเมืองหลวงพอดี คุณชายรองไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจในจวน จึงไม่ได้ทำตัวเป็นศาลเตี้ย ทำให้รักษาชีวิตเย่เอ๋อร์ไว้ได้”
ปลายจมูกจวงซื่อแดงก่ำ ท่านลุงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
ท่านลุงฮั่วกล่าวอีกว่า “ข้าเพียงได้ยินมาจากหลากหลายที่ เรื่องนี้คุณชายรองจวนเวยเต๋อโหวมีความผิดก่อน เย่เอ๋อร์ปกป้องไม่ให้ผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หากจะโชคร้ายก็ร้ายที่เขาพลั้งมือทำร้ายคุณชายรองไป คุณชายรองกลัวเวยเต๋อโหวตำหนิจึงสร้างเรื่องว่าถูกทำร้ายบาดเจ็บหนัก ลงจากเตียงไม่ไหว ดังนั้นเย่เอ๋อร์จึงยังถูกจับตัวไว้ที่จวนเวยเต๋อโหว”
ในตอนแรกดวงตาท่านลุงท่านป้ายังแสดงออกถึงความดีใจ แต่ต่อมาก็เก็บสีหน้ากลับไปทันที
ครั้งนี้ถือได้ว่าเหลียงเย่โดนกล่าวโทษโดยไร้เหตุผล
จวนเวยเต๋อโหวลึกลับเกินไป เป็นเรื่องยากกว่าจะสืบข่าวเหล่านี้มาได้ หากคิดจะช่วยคนออกมาก็เป็นอีกเรื่อง...
ในตอนที่ท่านลุงส่งท่านลุงฮั่วกลับจวน ท่านลุงฮั่วทอดถอนใจแล้วกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ข้าเป็นเพียงหัวหน้าพ่อบ้านจวนอ๋อง ฐานะต่ำต้อย มีขีดจำกัดในการดำเนินเรื่อง เรื่องนี้ นอกเสียจากว่าท่านอ๋องข้าจะออกหน้าเอง”
แต่อ๋องผิงหย่วนจะยอมรับคำขอคนนอกโดยง่ายได้เช่นไร?
เสิ่นเยว่คิดเช่นนี้
ทันใดนั้น ในดวงตาเสิ่นเยว่สั่นไหวเล็กน้อย นึกถึงครั้งก่อนที่ท่านลุงฮั่วมาเป็นแขกในจวนแล้วเคยพูดกับท่านลุงไว้ว่า จวนอ๋องผิงหย่วนเสียสละอย่างกล้าหาญ ทั้งหมดล้วนตายในสนามรบ เหลือเพียงอ๋องผิงหย่วนและกลุ่มต้นตระกูลตัวน้อยที่มีค่า เพียงแต่กลุ่มต้นตระกูลนี่ดูแลจัดการได้ยาก ในหนึ่งปีไล่โมโม่[3]ไปสิบคน เวลาสั้นที่สุดคือสามวัน นานที่สุดไม่เกินสองเดือน ร้ายแรงที่สุดคือกลายเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง
อ๋องผิงหย่วนใกล้ออกศึกแล้ว ต้นตระกูลตัวน้อยกลุ่มนี้ยังหาคนที่เหมาะสมมาดูแลในจวนไม่ได้ อ๋องผิงหย่วนกำลังรู้สึกเป็นกังวลใจ หากมีคนสามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ได้ก็เท่ากับเป็นการแก้ไขปมปัญหาใหญ่ในใจของท่านอ๋อง ท่านอ๋องเองก็สามารถออกศึกได้อย่างสบายใจ
เสิ่นเยว่ไตร่ตรองเรื่องเมื่อหลายวันก่อนอย่างถี่ถ้วน
...
ออกไปจากเรือนตระกูลเหลียงได้ไม่ไกล ฮั่วหมิงก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเรียกเขาจากทางด้านหลัง “ลุงฮั่ว ช้าก่อน”
ฮั่วหมิงเดินทางมาโดยรถม้า แต่ตอนนี้เรื่องของตระกูลเหลียงเป็นเรื่องอ่อนไหวยิ่ง เขาจึงให้รถม้าหยุดอยู่ที่นอกตรอกแล้วเดินมาที่เรือนตระกูลเหลียง
ฮั่วหมิงหมุนตัวกลับ เห็นเสิ่นเยว่ “อาเยว่?”
เสิ่นเยว่ยอบตัวทำความเคารพฮั่วหมิง “ลุงฮั่ว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าอ๋องผิงหย่วนใกล้ออกศึกแล้ว ยังหาคนที่เหมาะสมมาดูแลเด็กในจวนไม่ได้ หากมีคนสามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ได้ อ๋องผิงหย่วนก็จะสามารถช่วยเหลียงเย่ออกมาได้ใช่หรือไม่?”
ฮั่วหมิงนิ่งชะงักไป กล่าวด้วยความประหลาดใจ “หากสามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเรื่องต้นตระกูลตัวน้อยเหล่านี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วยเหลียงเย่ออกมา จะให้คุณชายรองจวนเวยเต๋อโหวจ่ายค่าชดเชยหรือกล่าวคำขอโทษล้วนเป็นเรื่องง่ายดาย”
ในดวงตาเสิ่นเยว่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ กล่าวกับฮั่วหมิงว่า “ลุงฮั่ว ข้าอยากลองดู”
--------------------------------------------------------
(1) ยามสาม คือ 23:01 - 01:00 น.
(2) จิงจ้าวอิ่น เป็นหนึ่งในขุนนางในส่วนภูมิภาค หรือ ซานฝู่ (三辅) ซึ่งประกอบด้วย จิงจ้าวอิ่น (京兆尹), สั่วเฝิงอี้(左冯翊), โย่วฝูเฟิง (右扶风)
(3) โมโม่ ชื่อเรียกนางข้าหลวง