ตอนที่ 9
ซุนเมิ่งไม่รู้ว่าหลินอันหลานให้เฉิงอวี้กินยาเสน่ห์จากสำนักไหน ทำไมเขาถึงหลงใหลอีกฝ่ายเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เฉิงอวี้ก็อยากร่วมงานกับหลินอันหลานมาตลอด แต่ตอนนี้ยิ่งกว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่แสดงเขาก็จะไม่แสดงด้วย นี่มันใช้อารมณ์มากเกินไปแล้วนะ
ซุนเมิ่งไม่มีทางเลือก ก็เลยพูดโน้มน้าวเขาว่า : แม้จิ่งฮ่วนจะเป็นพระเอกเหมือนกัน แต่ว่ากู้ซูอวี่เป็นตัวเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ จิ่งฮ่วนและซุนซินซินเป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาเท่านั้น อีกทั้งผู้กำกับจางอยากให้นายแสดงเป็นกู้ซูอวี่ ดังนั้นนายควรจะแคสบทกู้ซูอวี่นะ ถ้านายอยากแสดงกับเขา ก็ให้เขาแสดงเป็นจิ่งฮ่วนสิ
จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง เฉิงอวี้คิด หลินอันหลานจะไปแสดงเป็นจิ่งฮ่วนได้ยังไง ฉันคือเฉิงอวี้นะ ไม่ใช่เจี่ยงซวี่
หลินอันหลานนั่นแหละคือกู้ซูอวี่
เฉิงอวี้ : เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันขอไปปรึกษาเขาก่อน แล้วฉันจะมาบอกนาย
หลังจากพูดจบ เฉิงอวี้ก็วางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะน้ำชา
แล้วมองไปที่หลินอันหลาน เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยอมแสดงเป็นกู้ซูอวี่หรือเปล่า
หลายปีที่ผ่านมานี้ หลินอันหลานไม่ยอมถ่ายหนังเรื่องเดียวกันเลย ทุกครั้งที่ได้ยินว่าเขาแสดงด้วย อีกฝ่ายจะขอถอนตัวทันที
เฉิงอวี้เคยคิดว่าถ้าหลินอันหลานเข้าวงการบันเทิงแล้วเขาไม่ได้ตามมา ชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสได้คุยกับหลินอันหลานแล้ว
แต่จากนั้นเฉิงอวี้ก็พบว่าต่อให้เขาเข้าวงการตามหลินอันหลานมา ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาอยู่ดี
เพราะว่าหลินอันหลานปฏิเสธที่จะคุยกับเขา
“นายนี่ใจร้ายจริงๆ เลย” เฉิงอวี้กระซิบ จากนั้นก็กระชับกอดเขาให้แน่นขึ้น
“แต่ว่าฉันไม่โทษนาย” เขากอดคนในอ้อมกอดแขนเบาๆ จากนั้นก็หลับตาลงเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันพร้อมคนข้างๆ
หลินอันหลานนอนไปสี่ชั่วโมงกว่าๆ ตอนที่เขาตื่นฟ้าก็มืดแล้ว
เฉิงอวี้เอาน้ำชาที่เหลือไปเก็บแล้ว มื้อนี้ก็กินหม้อไฟกันอีกครั้ง เขาจึงเข้าไปล้างหม้อในห้องครัว
หลินอันหลานนั่งอยู่บนโซฟา ถามผู้จัดการส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องวาไรตี้
หลินอันหลาน : รายการนั้นมีใครไปถ่ายบ้างเหรอ
จัวซือย่า : คนที่เซ็นสัญญาแล้วเหมือนจะมีหลี่หย่งซือ เฉิงอิงเจี๋ย กวนเฟย”
หลินอันหลานมองชื่อของคนทั้งสาม แล้วพูดต่อว่า : เข้าใจแล้ว ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็บอกฉันทันทีเลยนะ
จัวซือย่า : ได้เลย
ตอนค่ำของวันที่สอง หลินอันหลานเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาก็ได้รับข้อความจากจัวซือย่าว่า : เฉิงอวี้ก็กำลังคุยอยู่เหมือนกัน
จัวซือย่าลังเลนิดหน่อยแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า : นายโอเคไหมที่จะต้องถ่ายกับเขา
หลังจากจัวซือย่าพูดจบ ในใจก็อดรู้สึกสับสนขึ้นมาไม่ได้
เรื่องที่หลินอันหลานความจำเสื่อม เขารู้ดีอยู่แล้ว ในวันที่รู้ว่าอีกฝ่ายความจำเสื่อม เขาก็ได้พบกับเฉิงอวี้แล้ว
เฉิงอวี้นั่งอยู่ด้านหน้าเขา สายตาเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ “หลินอันหลานความจำเสื่อม นายคงรู้แล้วสินะ”
“ฉันรู้แล้ว”
“งั้นนายคงไม่รู้ว่าก่อนที่เขาความจำเสื่อมหนึ่งอาทิตย์ พวกเราตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ดังนั้นฉันเลยมาบอกนายก่อน”
จัวซือย่ารู้สึกว่ามันน่าขำมาก เขาถามต่อว่า “เฉิงอวี้ ฉันรู้ว่านายกำลังจะพูดอะไร แต่นายคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ”
เฉิงอวี้หัวเราะ พร้อมถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมนายถึงไม่เชื่อล่ะ หลินอันหลานไม่บอกนายทุกเรื่องอยู่แล้ว พวกเราคบกันแบบแอบๆ ก็เลยไม่ได้บอกนาย ตอนนี้ฉันบอกนายแล้ว และนายต้องเชื่อ”
จัวซือย่าส่ายหน้า “ฉันไม่เชื่อ”
เขาดูแลหลินอันหลานมาตั้งแต่อีกฝ่ายเข้าวงการ เขาจึงรู้จักหลินอันหลานดี
หลินอันหลานไม่ได้รู้สึกดีกับเฉิงอวี้ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเกลียดหรอก เขาจึงไม่อยากจะสร้างความสัมพันธ์ด้วย ดังนั้นไม่ว่ากิจกรรมอะไรที่เฉิงอวี้มีส่วนร่วม จึงขอถอนตัวออกมาก่อนทุกครั้ง
ในสัญญาของหลินอันหลานมีเงื่อนไขข้อหนึ่งแจ้งว่า จะไม่ร่วมงานกับเฉิงอวี้
จัวซือย่าจึงคิดว่าหลินอันหลานไม่ชอบเฉิงอวี้ เขาเลยถามหลินอันหลานว่า “นายกับเฉิงอวี้มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า”
หลินอันหลานหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่มี ก็แค่เจี่ยงซวี่ไม่ชอบเขา ฉันก็เลยหลบหน้าเขามาตลอด”
จัวซือย่าคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหตุผลแบบนี้ เขาเลยพูดต่อว่า “นายก็เข้าข้างเจี่ยงซวี่ดีนะ”
“ก็เขาต้องการแบบนั้น” หลานอันหลานตอบอย่างจนใจ “ในเมื่อเขาต้องการแบบนั้นและมันก็ไม่ได้ยากเกินไป ฉันก็เลยโอเค ความจริงฉันเป็นเพื่อนกับเฉิงอวี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว และไม่เคยมีเรื่องอะไรบาดหมางกันด้วย”
“พวกนายเรียนที่เดียวกันเหรอ”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่สมัยมัธยม มหาลัย รู้จักกันมานานมาก น่าเสียดาย”
เขาพูดว่าน่าเสียดาย แต่ไม่มีความเสียใจปรากฏบนใบหน้า ในตอนนั้นจัวซือย่าก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้เสียดายขนาดนั้น
เขาไม่สนใจเฉิงอวี้ ดังนั้นต่อให้ปากพูดว่าเสียดาย แต่เรื่องที่ควรปฏิเสธก็ปฏิเสธ เวลาที่ควรหลบก็หลบ พวกเขาไม่เหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปีเลย แต่เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่ถูกกันมากกว่า
หลินอันหลานที่เป็นแบบนี้ ไม่มีทางแอบคบกับเฉิงอวี้อย่างแน่นอน
“เฉิงอวี้ แม้ว่าหลินอันหลานจะความจำเสื่อม แต่ฉันไม่ใช่ ดังนั้นสิ่งที่นายพูด ฉันไม่เชื่อ”
เฉิงอวี้หัวเราะ เขาค่อยๆ หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ามวนหนึ่งแล้วจุดไฟ
เขาคีบบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง จากนั้นก็ค่อยๆ พ่นควันออกมาเบาๆ ท่าทางดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
“นายไม่เชื่อแล้วยังไงเล่า” เฉิงอวี้พูดเสียงเย็น
“พวกเราเป็นแฟนกัน หรือว่านายจะแยกพวกเราออกจากกันเหรอ”
เฉิงอวี้จ้องหน้าจัวซือย่า น้ำเสียงเรียบนิ่ง พูดด้วยความนุ่มนวล เนิบนาบ “เมื่อนายออกจากที่นี่ไป นายก็เป็นผู้จัดการดาราคนหนึ่ง เมื่อนายกลับบ้านไป นายก็กลายเป็นลูกชายที่ดีของพ่อแม่ เป็นสามีของภรรยา เป็นพ่อของลูกสาว เป็นผู้จัดการมันง่าย แต่เป็นลูกที่ดี สามีที่ดี โดยเฉพาะพ่อที่ดี มันไม่ง่ายอย่างนี้นะว่าไหม”
จัวซือย่าหน้าเปลี่ยนสี “นายกำลังข่มขู่ฉัน”
เฉิงอวี้หัวเราะเยาะเย้ย เขาดับบุหรี่ที่อยู่ในมือ แต่ควันบุหรี่ยังไม่จางหาย สีหน้าของเขาบูดบึ้ง “ในโลกนี้มีเพียงหลินอันหลานเท่านั้นที่จะเป็นอุปสรรคในความรักของฉัน เขาไม่ชอบฉัน ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นคนอื่น ใครกล้ามาเพิ่มอุปสรรคให้ความรักของฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่สนว่ามันจะมีเหตุผลอะไร ฉันจะไม่มีวันปล่อยมันไป”
“จัวซือย่า นายเป็นคนฉลาด ดังนั้นอย่ามาแตะต้องในสิ่งที่ฉันหวงแหน ถ้ามาแตะต้อง ก็อย่าโทษที่ฉันจะทำลายสิ่งมีค่าในชีวิตของนายบ้าง”
“นายอยู่วงการนี้มานาน นายน่าจะรู้ดีนะว่าใครยั่วโมโหได้และใครยั่วโมโหไม่ได้”
จัวซือย่าพูดไม่ออก
เฉิงอวี้มองจัวซือย่าเงียบๆ สายตาไม่ยินยอมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการจำนน เมื่อเห็นดังนั้นเฉิงอวี้ก็รู้สึกพอใจแล้วยืนขึ้น “งั้นฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน อันอันกำลังรอฉันอยู่ที่บ้าน”
“จริงสิ” เขากล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชีสเค้กของที่นี่อร่อยมาก ฉันสั่งเอาไว้ให้นายแล้ว นายจะได้เอาไปให้ลูกสาว เธอน่าจะชอบนะ”
จัวซือย่าที่ได้ยินคำว่า ‘ลูกสาว’ ออกจากปากของอีกฝ่าย เขาก็กำหมัดกร๊อด “เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก”
“ไม่ต้องเกรงใจ” เมื่อเฉิงอวี้พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที
เหลือเพียงจัวซือย่าที่มองตามแผ่นหลังของเขาจากไป ในใจก็รู้สึกขัดแย้งกันอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เฉิงอวี้จะไปออกรายการเดียวกับหลินอันหลาน เขาไม่รู้ว่าหลินอันหลานจะยอมหรือเปล่า ฉันหวังให้เขาไม่ยอม จัวซือย่าคิด ขอเพียงหลินอันหลานไม่ยอม อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้
ไม่อย่างนั้นกว่าจะรอเขาได้รับความจำคืนมา เขาคง...