ตอนที่แล้วบทที่ 2 องุ่นสุกแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 เสียง

บทที่ 3 ลืม


เมื่อเก็บของเสร็จเธอจึงได้นั่งลงและดื่มน้ำ

บ้านหลังนี้ ยังคงเหมือนเมื่อหกปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่ป้ายอวยพรที่ติดบนกำแพงก็ยังไม่แกะออก

เธอจำได้แม่น รูปใบนี้ถ่ายหลังจากที่เธอแต่งงานได้หนึ่งปี พ่อแม่นั่งอยู่ตรงกลาง เธอกับน้องชาย หร่วนหลาง ยืนอยู่ด้านหลังทั้งสองด้าน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตรงกลางก็คือ ‘เขา’ น้องชายสนิทกับเขามาก และเท้าไหล่เขาเวลาถ่ายรูป ส่วนเธอตัวเล็กๆ ตรงนั้น ควงแขนเขาราวกับนกตัวน้อยที่เกาะบนไหล่ใครสักคน ยิ้มอย่างอ่อนหวาน

ตอนที่ล้างภาพออกมา พ่อชอบมันมาก และทอดถอนใจ ภาพนี้ทำให้คิดได้ว่า จื้อเชียนเป็นเสาหลักของครอบครัว!

ใช่แล้ว เธอเองก็เคยเข้าใจไปแบบนั้น

เธอเข้าใจไปว่าผู้ชายที่ตัวสูงตระหง่านและสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายเสมอนั้นจะเป็นเสาหลักในชีวิต และเป็นที่พึ่งให้กับเธอ น่าเสียดาย...

หึ คงจะเป็นเธอที่เรียกร้องมากไปสินะ! อย่างน้อย ในตอนหย่า ทุกคนก็พูดแบบนี้ เธอยังจะต้องการอะไรอีก?

ใช่ เธอยังต้องการอะไรอีก? แม้แต่บ้านหลังนี้ หลังแต่งงานเขายังซื้อบ้านหลังนี้เป็นของขวัญให้พ่อกับแม่ ไม่เช่นนั้น พ่อแม่และน้องชายของเธอคงจะยังต้องแชร์บ้านอยู่กับคนอื่นอย่างแออัด

ในตอนที่หย่า เธอเสนอว่าจะคืนบ้านให้กับเขา เขาไม่ต้องการ

เธอเข้าใจเขาดีและรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเอามันกลับคืนไป ยิ่งกว่านั้นในตอนนั้นอยากจะทำทุกอย่างให้รวบรัด รีบเซ็นเอกสาร ดังนั้นจึงไม่อยากจะพูดให้มากความ

ประมาณว่ายิ่งเธอรับของจากเขามากเท่าใด ความรู้สึกผิดในใจของเขาคงน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นในช่วงเวลานั้น เธอได้รับมามากมายจริงๆ มากเสียจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก

ถือโอกาสจากการดื่มน้ำเพื่อปรับอารมณ์ของเธอสักนิด

พ่อแม่อายุมากขึ้น ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวคนโต ไม่มีเหตุผลที่จะลอยชายอยู่นอกบ้านอีกต่อไป ในเมื่อตัดสินใจที่จะกลับมา ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับคนและเรื่องราวทั้งหมด เธอคิดว่าเวลาหกปี เธอจะไม่สั่นไหวไปกับใครอีกแล้ว แต่ความจริงแล้ว เธอไม่ได้ตายด้านเหมือนกับที่ตัวเองคิดไว้ ทว่า เธอไม่คิดจะกลับไปเป็นอย่างที่เธอเคยเป็นอีกแล้ว ดังนั้น ต่อให้ถ่านไฟจะยังคุกรุ่นเพียงใด ก็ปล่อยให้มันมอดไหม้ไปเถอะ

เมื่อคิดได้แบบนี้ ก็พอทำให้สงบจิตใจลงได้ เธอหิ้วสัมภาระแล้วไปที่โรงพยาบาล

ถนนสายนี้ที่คุ้นเคย

เธอเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเคยเดินไปเดินมามากี่ครั้ง เธอรู้ว่าน้ำพุในสวนจะเปิดน้ำกี่โมง เธอรู้ว่าถนนสายนี้มีต้นไม้อยู่กี่ประเภท เธอรู้ว่าแมกโนเลียจะบานช่วงเวลาไหน ใบต้นแปะก๊วยจะร่วงเมื่อใด เธอรู้แม้กระทั่งบนทางเดินที่มีต้นแปะก๊วยเรียงรายนั้นปูกระเบื้องกี่แผ่น...

เธอเดินไปด้วยความระมัดระวัง

แดดจ้าแยงตา เธอกางร่ม และดึงร่มลงต่ำเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ ต่ำลงอีกนิด กลุ่มคนสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ผ่านมุมหางตาของเธอไปนั้น เธอหวังจริงๆ ว่าจะไม่มีสักคนที่เป็นเขา...

เมื่อเดินเข้าไปในตึกผู้ป่วยใน ร่มของเธอไม่อาจจะเป็นร่มที่ปกป้องเธอได้อีก เก็บเถอะ ในใจของเธออึดอัดเล็กน้อย

ร้านขายของเล็กๆ ที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของตึกผู้ป่วยในยังคงเหมือนเมื่อก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็ยังไม่เปลี่ยน

เธอซื้อของใช้ประจำวันอย่างแปรงสีฟันและยาสีฟัน เมื่อเดินไปจ่ายเงิน เถ้าแก่เนี้ยเบิกตาโพลงแล้วชี้มาที่เธอ “เอ๋? เธอ...”

เธอลนลานและแค่นยิ้มนิ่งๆ “ไม่ทราบว่าเท่าไรคะ?”

“เอ่อ ทั้งหมด 54 หยวน” เถ้าแก่เนี้ยมองเธออีกสองครั้ง

เธอจ่ายเงิน กล่าวขอบคุณและหันหลังเดินออกไป ที่ด้านหลัง เถ้าแก่เนี้ยยังบ่นพึมพำ “ทำไมหน้าตาคุ้นขนาดนั้นนะ?”

ต้องคุ้นอยู่แล้ว เมื่อหกปีก่อนหญิงสาวที่มารอหมอหนิงเลิกเวรกะดึกบ่อยๆ มาซื้อขนมที่ร้านนี้ตั้งเท่าไร...

ลืมก็ดีแล้ว

บางครั้ง ‘การลืม’ ก็เป็นทักษะที่ยากเกินกว่าที่มนุษย์จะเรียนรู้

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด