ตอนที่ 433 การทดสอบความโกลาหล
ตอนที่ 433 การทดสอบความโกลาหล
ทันทีที่เซี่ยเฟยออกจากห้องโถง เหล่าบรรดาเซิร์กอาวุโสก็รีบรุมล้อมยิงคำถามเข้าใส่ชิววี่ในทันที เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็อยู่ในสมาพันธ์นักปราชญ์มานาน ความเห็นของพวกเขาจึงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของสมาพันธ์พอสมควร
“ชิววี่คุณไปสัญญากับเขาแบบนั้นได้ยังไง? ถ้าหากว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระ มันก็จะกลายเป็นภัยสำหรับพวกเรา”
“ถูกต้อง ถ้าหากว่าเรื่องนี้รั่วไหลออกไป คนที่จะเดือดร้อนก็ไม่ใช่มีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น แต่มันยังจะรวมถึงครอบครัวของพวกเราด้วย”
“ยังไงซะเขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ว่ายังไงฉันก็เชื่อใจมนุษย์ไม่ได้”
ชิววี่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยราวกับว่าเขารู้สึกรำคาญความคิดที่ดื้อรั้นของเหล่าบรรดาปราชญ์อาวุโส จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทีเป็นหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่จะกล่าวตอบกลับทุกคนออกไปว่า
“มันเป็นเพราะพวกคุณมัวแต่กังวลถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดสินะ มันถึงทำให้สมาพันธ์นักปราชญ์ไม่สามารถเอาชนะสมาคมนักรบได้เสียที ถ้าพวกคุณไม่คิดที่จะเสี่ยงบ้างแล้วพวกเราจะบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ยังไง?”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณแล้วที่พวกนักปราชญ์มักจะมีนิสัยวิตกกังวลมากเกินไป และถึงแม้ว่าการวิตกกังวลจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่การวิตกกังวลมากเกินไปก็จะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งมันอาจจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญที่ผ่านเข้ามา และโอกาสแบบนั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาพวกเขาอีกเลย
ขณะเดียวกันชิววี่ได้วางแผนฆ่าอูดี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว และเขาก็ยังไม่สามารถที่จะลงมือได้เนื่องมาจากเหตุผลยุ่งยากหลายประการ และตัวการสำคัญที่ทำให้เขาไม่สามารถจะลงมือได้เสียที นั่นก็คือความวิตกกังวลของเหล่าบรรดานักปราชญ์อาวุโสพวกนี้นี่เอง
ชิววี่ส่งเสียงกระแอมขึ้นมา 2 ครั้งอย่างตั้งใจ เพราะท้ายที่สุดนักปราชญ์อาวุโสเหล่านี้ก็ยังคงมีอิทธิพลในสมาพันธ์นักปราชญ์อยู่ดี และถึงแม้ว่าปัจจุบันเขาจะเป็นผู้นำของสมาพันธ์นักปราชญ์ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถรุกรานผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในสมาพันธ์ได้
“พวกคุณทุกคนไม่จำเป็นจะต้องกังวลมากจนเกินไป พวกคุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าในบรรดาพวกเราไม่มีใครเหมาะสมที่จะลงมือสังหารอูดี้สักคน และถึงแม้ว่าพวกเราจะสามารถลงมือสังหารอูดี้ได้จริง ๆ แต่มันก็ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบที่ตามมาหลังจากนั้นได้”
“ประชาชนภายในเผ่าจะต้องตราหน้าพวกเราที่เป็นคนสังหารราชาอย่างแน่นอน ซึ่งในเวลานั้นครอบครัวของพวกเราก็คงจะรู้สึกอับอายจนไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้อีกต่อไป แต่โชคดีที่ท่านเทพเปิดทางส่งนักรบมนุษย์คนนี้มาให้กับพวกเรา และเขาก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เราจะนำมาสังหารอูดี้โดยไม่ส่งผลกระทบกลับมาถึงสมาพันธ์”
ผู้อาวุโสหลาย ๆ คนพยักหน้าอย่างยอมรับ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกบังคับแต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือสังหารอูดี้อย่างแน่นอน เซี่ยเฟยจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับภารกิจนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขการร่วมมือกันอย่างเท่าเทียมได้อยู่ดี
หลังจากหยุดพักไปชั่วคราวชิววี่ก็เริ่มเล่าต่อขึ้นมาว่า
“บททดสอบที่เทพเจ้าขาวเทพเจ้าดำทิ้งเอาไว้เป็นบททดสอบระดับสูงมาก และพวกคุณก็น่าจะรู้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณยังไม่มีเซิร์กคนไหนสามารถที่จะผ่านบททดสอบบทนี้ไปได้”
“พี่ชิววี่คุณไม่ได้คิดที่จะให้เซี่ยเฟยเข้ารับบททดสอบแห่งความโกลาหลใช่ไหม? แบบนั้นมันก็ไม่ต่างไปจากการที่เราเอาเปรียบเขาเลยนะ?!” ชานี่อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ
“เอาเปรียบ? พวกเราวางแผนนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว แล้วฉันต้องเสียสละอะไรไปมากเท่าไหร่ มันไม่ใช่ลูกสาวของคุณนี่ที่ต้องถูกส่งไปเป็นเมียของไอ้ชั่วนั่น ความเจ็บปวดของฉันไม่มีใครเข้าใจมันได้หรอก!!”
ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็ก้มศีรษะลงอย่างพูดไม่ออก เพราะท้ายที่สุดชิววี่ก็เป็นผู้ที่ยอมเสียสละเพื่อแผนการกำจัดอูดี้มากที่สุดจริง ๆ มันจึงทำให้เขาได้เป็นผู้นำสมาพันธ์นักปราชญ์มาจนถึงปัจจุบัน
“พวกเราจำเป็นจะต้องใช้วิธีการนี้เพื่อให้เขาเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา และฉันก็ไม่เชื่อว่ามนุษย์คนนั้นจะสามารถผ่านบททดสอบแห่งความโกลาหลไปได้”
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับ เพราะถ้าหากพูดถึงบททดสอบแห่งความโกลาหล มันก็ไม่มีใครเชื่อว่าเซี่ยเฟยจะสามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้แน่นอน
“แต่ในตอนที่ท่านเทพเจ้าขาวเทพเจ้าดำทิ้งเครื่องทดสอบเอาไว้ มันก็มีตำนานระบุไว้ว่าบททดสอบนี้สามารถเข้าทดสอบได้เพียงแค่ 9 ครั้งเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่การทดสอบผ่านไปจนครบทั้งเก้าครั้ง เครื่องจักรก็จะปิดตัวลงโดยไม่สนว่าจะมีใครสามารถผ่านบททดสอบไปได้หรือไม่”
“ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาทั้งเผ่าพยายามสรรหาผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเข้าไปทำการทดสอบแล้วถึง 6 คน แต่ถึงกระนั้นแม้กระทั่งเลยูตี้ก็ยังไม่สามารถที่จะผ่านบททดสอบนี้ไปได้ ดังนั้นแม้ว่าการนำเซี่ยเฟยมาเข้าร่วมการทดสอบจะเป็นผลดี แต่มันก็เป็นการทิ้งสิทธิ์ไปอย่างเปล่าประโยชน์ครั้งหนึ่งด้วยเหมือนกัน” ชานี่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ฉันรู้ว่าคุณต้องการเข้าร่วมบททดสอบแห่งความโกลาหลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นทุก ๆ คนต่างก็จำเป็นจะต้องเสียสละ แล้วคุณคิดจริง ๆ เหรอว่าคุณจะสามารถผ่านบททดสอบที่แม้แต่เลยูตี้ก็ยังไม่สามารถผ่านมันไปได้?” ชิววี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่ชิววี่เรื่องนั้นผมรู้ตัวดี ผมแค่อยากรู้เฉย ๆ ว่ามันเป็นบททดสอบแบบไหนกันแน่ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะได้ใช้โอกาสในการทดสอบครั้งนี้ไป แต่อย่างน้อยมันก็ยังเหลือการทดสอบให้กับเผ่าพันธุ์ของเราอีกตั้ง 2 ครั้ง” ชานี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
ชิววี่พยักหน้าก่อนที่จะกวาดสายตามองผู้อาวุโสทุกคนโดยรอบ ซึ่งในตอนนี้มันก็ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดจะคัดค้านแผนการของเขาอีกต่อไปแล้ว
“แล้วถ้าหากว่าเซี่ยเฟยสามารถผ่านบททดสอบแห่งความโกลาหลไปได้ล่ะ พวกเราจะทำยังไง?” ชายชราคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หลังคำถามนั้นทุกคนก็เงียบเสียงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้ยินสิ่งที่น่าตลกขบขันมากที่สุดในชีวิต
“เป็นไปไม่ได้หรอก! มันไม่มีทางที่เขาจะสามารถผ่านบททดสอบนั้นไปได้” ชิววี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะต่อไป
—
เซี่ยเฟยรออยู่ในห้องถัดจากห้องประชุมอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งหลังจากที่การหารือได้จบลงแล้วชานี่ก็พาชายหนุ่มออกมาจากห้องนั้น แต่ในระหว่างพบกันสายตาที่ชานี่มองมาก็ดูแปลกไปอยู่เล็กน้อย ซึ่งเซี่ยเฟยก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าหมองที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“คนพวกนี้จะต้องวางแผนอะไรที่ไม่ดีเอาไว้แน่ ๆ และพวกเขาก็ต้องมั่นใจว่าบททดสอบนั้นเป็นบททดสอบที่นายไม่มีวันจะผ่านมันไปได้” อันธกล่าว
“ถึงยังไงมันก็เป็นบททดสอบจากเทพเจ้าเชียวนะ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าพวกเขามีเจตนาแอบแฝงที่ไม่ดี แต่ฉันก็อยากจะลองบททดสอบของเทพพวกนั้นด้วยตัวเองเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าว
“คนบนโลกเคยพูดเอาไว้ใช่ไหมว่าความอยากรู้อยากเห็นฆ่าคนได้ เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยขี้สงสัยสักที ถ้านายยังคงเป็นพวกขี้สงสัยแบบนี้สักวันหนึ่งนายก็คงจะตายเพราะความขี้สงสัยไม่ช้าก็เร็ว” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เซี่ยเฟยยักไหล่ให้เป็นคำตอบเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่สามารถแก้นิสัยเรื่องนี้ได้จริง ๆ
แน่นอนว่าเขาย่อมพยายามหาคำตอบในสิ่งที่เขาให้ความสนใจเท่านั้น และถึงแม้ว่าอันธจะบ่นอย่างเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะปล่อยวางในเรื่องนี้ได้ เพราะท้ายที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เคยสร้างโอกาสให้กับเขามาแล้วอย่างมากมาย แต่มันก็นำปัญหากลับมาให้กับเขาอย่างมากมายเช่นเดียวกัน
“ฉันเดินทางเข้ามาในดินแดนนี้สักพักหนึ่งแล้ว และถ้าหากว่าฉันยังรู้จักพวกเซิร์กเพียงแค่นี้ฉันก็คงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถผ่านบททดสอบไปได้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การได้เห็นบททดสอบของเทพเจ้าอาจจะทำให้ฉันได้ไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมาก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธทำได้เพียงแต่เงียบเสียงไปเท่านั้น เพราะเมื่อเซี่ยเฟยตัดสินใจไปแล้วเขาก็จะไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ อย่างแน่นอน
ในที่สุดพวกเขาก็เดินเข้ามาภายในห้องซึ่งมีรูปทรงคล้ายพีระมิดบนภูเขาลูกหนึ่ง โดยภายในห้องมีเพียงแค่พื้นและผนังที่ทำขึ้นมาจากโลหะแผ่นเดียวกัน ซึ่งแสงสว่างที่กระทบโลหะพวกนี้ก็ทำให้ผู้จ้องมองรู้สึกเวียนหัวอยู่เล็กน้อย
“เมื่อบททดสอบเริ่มต้นขึ้นวิวทิวทัศน์โดยรอบจะเปลี่ยนไป ซึ่งในตอนนั้นคุณจะถูกดึงเข้าไปในภาพลวงตาเสมือนจริง และมันก็จะมีใครบางคนออกมาบอกเองว่าคุณจะต้องทำอะไรในระหว่างที่อยู่ในภาพลวงตา”
หลังจากพูดจบชานี่ก็เตรียมพร้อมที่จะออกไป แต่เซี่ยเฟยกลับรั้งเขาไว้แล้วถามขึ้นมาเสียก่อน
“อันไหนคือเครื่องจักรของเทพเจ้าที่คุณได้พูดถึงในก่อนหน้านี้?”
“คุณจำภูเขาสีดำขนาดใหญ่ที่มีความสูงมากกว่า 10,000 เมตรในระหว่างที่คุณมาที่นี่ได้หรือเปล่า?” ชานี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อือ ผมจำได้”
“ภูเขาลูกนั้นคือเครื่องจักรที่เทพเจ้าดำและเทพเจ้าขาวได้ทิ้งเอาไว้ โดยภูเขาลูกสีดำคือภูเขาของเทพเจ้าดำ ส่วนภูเขาลูกสีขาวก็คือภูเขาของเทพเจ้าขาว”
“อะไรนะ?! เครื่องจักรคือภูเขาลูกใหญ่นั่นงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ใช่” ชานี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“แล้วผมจะต้องทดสอบแบบไหน? เนื้อหาข้างในเป็นยังไง? แล้วผมจะต้องอยู่ในบททดสอบนานแค่ไหน?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะฉันก็ยังไม่เคยเข้า” ชานี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะถ้าหากว่าแม้แต่ชานี่ก็ยังไม่เคยทดสอบ มันก็แสดงว่าบททดสอบนี้จะต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ
ชานี่ตระหนักถึงความผิดพลาดในคำพูดของเขาอย่างรวดเร็ว เขาจึงพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนและกล่าวออกไปให้เซี่ยเฟยสบายใจว่า
“คุณวางใจได้ บททดสอบนี้ปลอดภัยอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่ายังไงเราก็ยังต้องการให้คุณเป็นคนช่วยกำจัดอูดี้ให้กับเรา”
หลังจากพูดจบชานี่ก็หันหลังและเดินออกไปจากห้องแห่งนี้
เมื่อชายชราเดินออกไปแล้วพื้นและผนังทั้งหมดภายในห้องก็สว่างขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเช่นเดียวกัน และทำให้เซี่ยเฟยที่ถูกล้อมรอบไปด้วยแสงสว่างไม่สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาสู้แสงเหล่านั้นได้
ชายหนุ่มสัมผัสได้เพียงร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านและเท้าของเขาที่รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าเล็กน้อย คล้ายกับว่าในปัจจุบันเขากำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆ ก่อนที่แสงสว่างที่กระทบกับดวงตาของเขาจะค่อย ๆ ลดความเข้มของแสงลงไป
เมื่อเซี่ยเฟยลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ได้พบกับดาวเคราะห์สีน้ำตาลอยู่ห่างไปไม่ไกลมากนัก ซึ่งภาพที่เขากำลังเห็นมันก็คล้ายกับภาพที่เขายืนมองดูพระจันทร์จากพื้นผิวของดาวโลก
“เจ้าไม่ใช่เซิร์กงั้นเหรอ?” จู่ ๆ มันก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้างของเซี่ยเฟย
เมื่อชายหนุ่มหันศีรษะไปทางเสียง เขาก็ได้พบกับคนแคระชุดดำกำลังมองมาทางเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ตามคนแคระนี้ก็เป็นเพียงแค่เครื่องจักรที่มีหัวเป็นวงกลมและมีตัวเป็นทรงสามเหลี่ยมที่ไม่มีแขนมีขา แล้วบนใบหน้าก็มีหูตาจมูกปากและหมวกครึ่งวงกลมที่ถูกสวมอยู่บนศีรษะ
“ฉันเป็นมนุษย์ แล้วคุณเป็นใคร?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม ซึ่งสายตาของคนแคระคนนี้ก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งตัว
“เจ้าคือคนที่ 7 ที่ได้เข้ารับบททดสอบแห่งความโกลาหลของเทพเจ้าดำ เจ้าจะเรียกข้าว่าหมายเลข 7 ก็ได้” คนแคระกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนที่เขาจะเริ่มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ไอ้พวกแมลงบ้านั่นมอบโอกาสอันมีค่าให้กับเผ่าพันธุ์อื่นจริง ๆ เหรอเนี่ย?!”
แม้ว่าเสียงของคนและจะเบามากแต่เซี่ยเฟยก็ยังได้ยินเสียงพวกนั้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่มันก็ยังไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจถึงบททดสอบนี้ได้อยู่ดี
“ข้าคือจิตวิญญาณที่ท่านเทพเจ้าดำทิ้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยเมื่อนานมาแล้ว และข้าก็คือผู้รับผิดชอบในบททดสอบอันล้ำค่านี้”
หลังจากที่หมายเลข 7 กล่าวจบเขาก็โบกมือและทำให้ภาพรอบ ๆ ตัวของเซี่ยเฟยเปลี่ยนจากภาพดาวเคราะห์กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน
“ตามข้ามา” หมายเลข 7 โบกมือและเดินนำเซี่ยเฟยเข้าไปภายในเมือง โดยบนถนนของเมืองนี้เต็มไปด้วยเซิร์กและชนเผ่าทูรอนที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งสภาพของสังคมเมืองในปัจจุบันมันก็น่าจะเป็นภาพเมื่อในอดีต สมัยที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ยังเคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ขณะเดียวกันแม้ว่าคนบนถนนจะสังเกตเห็นเซี่ยเฟย แต่ในแววตาของคนพวกนั้นก็ไม่ได้มองเขาเป็นศัตรูหรือเป็นแววตาที่มีความอยากรู้อยากเห็นแต่อย่างใด คล้ายกับว่าคนพวกนี้คุ้นเคยกับการมีอยู่ของเซี่ยเฟยตั้งนานแล้ว
“นี่คือดาวเคราะห์เสมือนจริงที่มีประชากรอยู่ทั้งหมด 99,999,999 คน เนื้อหาของการทดสอบในครั้งนี้คือข้าจะกลายเป็นประชาชนหลังจากที่พวกเราคุยกันจบ และตราบใดก็ตามที่เจ้าสามารถหาข้าเจอภายใน 7 วันก็จะถือว่าเจ้าผ่านบททดสอบนี้ไปได้”
“ฉันจะต้องหาคุณท่ามกลางคนกว่า 100 ล้านคนเนี่ยนะ?!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พื้นที่ของดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ใหญ่มากนักและข้าย่อมแฝงตัวอยู่บนดาวดวงนี้อย่างแน่นอน ถ้าหากว่าใครก็สามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้ง่าย ๆ มันก็ไม่เหมาะที่จะเป็นบททดสอบของเทพเจ้าดำใช่ไหม? ดังนั้นถ้าหากว่าเจ้าต้องการของรางวัลจากเทพเจ้าดำ เจ้าก็จำเป็นจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย” หมายเลข 7 กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ของรางวัลของเทพเจ้าดำงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความสงสัย
***************