ตอนที่ 2
หลังจากเลิกผ้าห่มออก มือข้างหนึ่งของเฉิงอวี้ก็โอบที่ไหล่เขา มืออีกข้างก็โอบรอบที่หลังต้นขาทั้งสองข้าง แล้วอุ้มหลินอันหลานขึ้น
“ฉันจะอุ้มนายไปเอง” เฉิงอวี้พูด
หลินอันหลานจนใจอย่างมาก แม้จะรู้ตั้งนานแล้วว่าแฟนของเขารักเขามาก แต่รู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องเป็นง่อยแน่ๆ
ทำกับข้าวก็ไม่ต้องทำ
งานบ้านก็ไม่ต้องทำ
แม้กระทั่งตอนเดิน แฟนยังอุ้มเขาเดินเลย
“มดงานมักจะชอบขโมยความสามารถ รู้ไหมว่าทำไมมันถึงไม่มาขโมยของฉัน” หลินอันหลานถามแฟนตัวเอง
“เพราะว่านายน่ารักเกินไป เขาเลยไม่กล้าขโมย”
“ไม่ใช่” หลินอันหลานตอบ “เพราะว่าฉันไม่มีความสามารถน่ะสิ”
เขาตีไปที่ไหล่ของเฉิงอวี้แล้วพูดว่า “ไปกินข้าวนอกบ้านก็ไม่ต้องจ่ายเงิน อยู่บ้านฉันก็ไม่ต้องเดินเอง นายลองคิดดู แบบนี้มันโอเคไหม”
เฉิงอวี้กลับคิดว่ามันโอเคมาก มีแฟนคนไหนบ้างที่จะยอมให้คนรักของตัวเองเป็นฝ่ายจ่ายเงิน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงิน ตั้งแต่เด็กจนโตสิ่งที่เขามีไม่ขาดก็คือเงิน
“ที่รัก ฉันมีเงิน” เฉิงอวี้ตอบ “นายเป็นภรรยาของฉัน ฉันไม่ให้เงินนายใช้แล้วเงินพวกนี้จะเอาไว้ทำอะไรเล่า ให้ลูกหมาเหรอ มันก็ใช้ไม่เป็น”
หลินอันหลาน “....”
หลินอันหลานรู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก
เฉิงอวี้เกิดมาในตระกูลไฮโซ ตอนนี้เป็นดาราดังอยู่ในวงการบันเทิง เป็นชายในฝันของสาวน้อยจำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาชอบตัวเอง แล้วยังชอบมากเสียด้วย ตอนนั้นเขาได้ให้เฉิงอวี้กินยาเสน่ห์อะไรไปหรือเปล่าเนี่ย
หลังจากเฉิงอวี้เดินมาถึงอ่างล้างหน้าก็วางหลินอันหลานลง เขาพาหลินอันหลานมาล้างหน้าล้างตาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นตรงอ่างล้างหน้าจึงมีรองเท้าของหลินอันหลานอยู่สองคู่
หลินอันหลานลงจากอ้อมกอด จากนั้นก็เดินไปล้างหน้าตามปกติ
หลังจากล้างหน้าเสร็จ เฉิงอวี้ก็เดินเข้ามาล้างมือ เตรียมตัวทำอาหาร
หลินอันหลานเดินตามเขามา “ฉันจะเป็นลูกมือนายเอง”
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงอวี้พูด “แค่ทำหม้อไฟ ไม่ยาก นายไปเล่นโทรศัพท์เถอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันจะเรียก”
“ช่วยกันทำมันจะเร็วกว่าน้า เดี๋ยวฉันช่วยล้างผัก” หลินอันหลานหัวเราะ
เฉิงอวี้ไม่ได้ปฏิเสธอีก จึงเดินเข้าครัวมาพร้อมกัน
เขาหยิบผักออกมาจากตู้เย็น
หลินอันหลานรับมา จากนั้นก็เปิดก๊อกน้ำ ถูใบผักด้วยนิ้วสีขาวๆ ของเขา
ผักกาดสีเขียวขับให้นิ้วของหลินอันหลานดูขาวมากขึ้น เขาค่อยๆ ล้างมันทีละใบ
เฉิงอวี้เห็นดังนั้นจึงเข้ากอดหลินอันหลานจากด้านหลัง แล้วช่วยกันล้างผัก
หลินอันหลานล้างผัก แต่เขาล้างมือหลินอันหลาน
ล้างไปทีละใบๆ ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเชื่องช้า
หลินอันหลานดันไหล่ของเฉิงอวี้ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “อย่าก่อกวนสิ”
เฉิงอวี้ดึงมือเขาขึ้นมาแล้วจูบเบาๆ จากนั้นก็ไปล้างผักชนิดอื่นต่อ
เมื่อล้างผักเสร็จ เฉิงอวี้ก็หันไปเตรียมน้ำซุปหม้อไฟ จากนั้นทั้งสองคนก็ยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ รอน้ำซุปเดือด
ระหว่างที่รออยู่นั้น โทรศัพท์ของเฉิงอวี้ก็ดังขึ้น
เขาหยิบขึ้นมาดู คนที่โทรเข้ามาเป็นผู้จัดการของเขาเอง
เฉิงอวี้ไม่รับสาย
“ไม่รับเหรอ” หลินอันหลานมองเขา
“ไม่ต้องรับหรอก”
จากนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตลอดเวลา หลินอันหลานคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องมีธุระด่วนแน่ๆ เลยบอกว่า “รับเถอะ เขาอาจมีธุระสำคัญก็ได้นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉิงอวี้จึงยอมรับสาย
เมื่อซุนเมิ่งเห็นว่าเฉิงอวี้รับสายแล้ว ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “เฉิงอวี้ ข่าวดีๆ ผู้กำกับจางกำลังจะเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องใหม่ เขาเชิญให้นายไปแคสติงด้วยนะ”
“อ่า...” เฉิงอวี้ตอบเสียงเรียบ
“เวลาแคสติงก็คือ...”
“ฉันไม่ไป” เขาตอบด้วยเสียงเย็นชา
เขาเปิดฝาหม้อบนโต๊ะ ใส่ผักและเนื้อเข้าไป “มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีฉันขอวางก่อนนะ”
“ทำไมนายถึงไม่ไป” ซุนเมิ่งตกใจมาก “นั่นมันผู้กำกับจางเลยนะ ผู้กำกับจาง”
“ฉันเคยบอกไปแล้วไงว่าช่วงนี้ฉันไม่อยากทำงาน งานเก่าก็เลื่อนไปก่อน ส่วนงานใหม่ยังไม่รับ”
“แต่ว่าผู้กำกับ...”
“เหมือนกัน” เฉิงอวี้พูดตัดบท “ฉันจะกินข้าวแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”
เมื่อพูดจบก็วางสายทันที
หลินอันหลานไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่คุยจึงถามว่า “ทำไมถึงไม่รับงานล่ะ”
เขาบอกว่า “ฉันเพิ่งเลิกกองมา ช่วงนี้เลยไม่รับงาน ไม่เหมือนนายหรอกที่จะทำงานก็ทำได้เลย”
“หรือว่านายเป็นห่วงฉัน”
เฉิงอวี้ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปตักเนื้อในหม้อส่งให้หลินอันหลาน
“ก่อนหน้านี้ฉันทำงานหนักมาก ก็เลยอยากพักสักหน่อย”
เขาคีบเนื้อวางที่ชามของหลินอันหลาน
“แล้วอีกอย่างเราเจอกันน้อยมาก ฉันเลยอยากอยู่กับนายให้มากขึ้น”
เฉิงอวี้รู้สึกว่าเทคนิคการโกหกของเขาก็ไม่เลวเลย
เมื่อก่อนเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนโกหกไม่เป็น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรโกหก
จนกระทั่งหลินอันหลานปรากฏตัวขึ้น เฉิงอวี้จึงคิดว่าความจริงแล้วเขาเป็นคนโกหกเก่งมากทีเดียว
อย่างน้อยเขาก็สามารถโกหกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าได้
“ฉันรับงานตลอดไม่ได้หรอก ฉันต้องเลือกรับงานที่ฉันชอบ ใช่ไหม?” เฉิงอวี้ขยิบตามองหลินอันหลาน
เฉิงอวี้เป็นคนที่หน้าตาดีมาก หลินอันหลานโดนเขามองแบบนี้ แล้วยังมีวิงก์ใส่อีก เลยคิดว่าสิ่งที่เฉิงอวี้พูดน่ะถูกต้องแล้ว เขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อ
เมื่อเฉิงอวี้เห็นว่าเขาเชื่อแล้วก็เลยวางใจ
บนโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหลินอันหลานอีกแล้ว เขาเข้าวงการบันเทิงมาก็เพราะหลินอันหลาน ดังนั้นเรื่องอื่นจึงไม่สำคัญ มีแค่หลินอันหลานเท่านั้นที่เขาจะปล่อยไปไม่ได้
เฉิงอวี้คีบหน่อไม้ฝรั่งวางไว้ในชามของหลินอันหลาน
หลินอันหลานคีบหน่อไม้ฝรั่งคืนให้แล้วพูดว่า “นายกินเถอะ ไม่ต้องคีบให้ฉันแล้ว”
“นายกินเถอะ” เฉิงอวี้ตอบ “นายชอบกินหน่อไม้ฝรั่งไม่ใช่เหรอ”
เมื่อหลินอันหลานได้ยินดังนั้น เขาก็ชะงักไป
มองเฉิงอวี้ด้วยความสงสัย “ตอนกินหม้อไฟ ฉันไม่กินหน่อไม้ฝรั่ง”
เขาพูดต่อ “ถ้าเป็นผัดหน่อไม้ฝรั่งฉันกิน ตอนที่พวกเราไปกินหม้อไฟด้วยกัน ฉันไม่เคยบอกนายเหรอ”
เฉิงอวี้ถือตะเกียบค้าง
“แกร๊ก” เสียงหน่อไม้ฝรั่งตกลงกลางโต๊ะอาหาร