บทที่ 74: สร้างโหลวเฉิง!
เมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านผืนป่าส่องลงมายังหุบเขา ผู้เพนจรกว่า 400 คนได้มารวมตัวกันที่ลานโล่งหน้าหน้าผา
ใบหน้าแต่ละคนบ่งบอกถึงความเลื่อมใสศรัทธา ดวงตาที่มืดมนอึน ๆ เปล่งประกายสดใสเป็นครั้งแรกในชีวิต ร่างกายที่ทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากลับรู้สึกเหมือนมีพลังอันแกร่งกล้าสูบฉีดอยู่ภายใน
มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความหวัง’ ได้ฝังรากลึกอยู่ในใจของพวกเขา
เฉียนหลงที่หน้าบานไม่หุบ ไทสันที่แววตาแทบจะยิงลำแสงได้ ทั้งหมดต่างมองไปที่ถังเจิ้นที่ยืนอยู่คนเดียวหน้าแท่นหินสี่เหลี่ยมสีดำด้วยดวงตาที่เหมือนมีไฟลุกโชน
ทุกคนกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าบรรยากาศที่เคร่งขรึมนี้จะถูกทำลาย
มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งถูกต้าสยงอุ้มไว้ จิมมี่ยืนอยู่ข้าง ๆ และเจ้าพวกหัวเผือกหัวมันตัวน้อยทั้งหลายก็ถูกจับไปนั่งรวมกันในมือให้ถืออมยิ้มไว้คนละอันอยู่ที่วงนอกสุด เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเจ้าพวกเด็กน้อยนี่แน่นอนว่าไม่แยแส เพราะสิ่งที่แยแสตอนนี้มีแค่อมยิ้มในมือเท่านั้น
ถังเจิ้นยืนอยู่หน้าแท่นหินเงียบ ๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็หยิบศิลาเสาเอกสีดำออกมาจากช่องเก็บของ มันคือรากฐานของเย่โหลวของพวกโนมกระหายเลือด
แม้ว่าเขายังมีศิลาเสาเอกอยู่อีกหลายก้อนที่ยกเค้ามาจากห้องเก็บสมบัติเมืองเฮยเหยี่ยนก็ตาม ทว่าถังเจิ้นก็ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากเย่โหลวประเภทใด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยที่สุดเขาจึงเลือกใช้ศิลาเสาเอกที่ตนเองรู้จักในการสร้างโหลวเฉิง
ถังเจิ้นชูศิลาเสาเอกขึ้นเหนือหัว “ถึงเทพเจ้าเบื้องบน! ในวันนี้ข้าน้อยต้องการสร้างโหลวเฉิง โปรดจงเมตตากรุณาอำนวยอวยพรให้โหลวเฉิงของข้าน้อยได้มีอายุยืนยาวนับพันปี พลเมืองชาวโหลวเฉิงสุขกายสบายใจตลอดชั่วกาลนานเทอญ!”
“โปรดจงอวยพรให้โหลวเฉิงแห่งนี้สืบทอดต่อไปอีกนับพัน ๆ ปี และให้พลเมืองได้มีความสุขสุขภาพแข็งแรงตลอดไปด้วยเทอญ!”
เสียงคำรามดังลั่นจากผู้พเนจรกว่า 400 คนดังขึ้นสอดรับสนั่นสั่นสะเทือนจักรวาลกึกก้องกังวานอยู่ในหุบเขาอยู่นานไม่จางหาย
ถังเจิ้นก้าวเข้าไปและวางศิลาเสาเอกลงบนแท่นหินอย่างเบามือ ทว่าไม่มีการแตะสัมผัสกัน ศิลาเสาเอกเหมือนโดนแขวนอยู่ในความไม่มีอะไรเหนือแท่นหินแน่นิ่งมั่นคงและอักขระก็ส่องแสงออกมาเล็กน้อย
ถังเจิ้นได้เอากริชออกมาปาดที่ฝ่ามือตนแล้วยื่นมือที่เป็นแผลไปยังศิลาเสาเอก จากนั้นก็กำหมัดเพื่อบีบให้เลือดหยดจากบาดแผลลงบนศิลาเสาเอกทีละหยด ๆ
ศิลาเสาเอกที่ได้สัมผัสกับเลือดก็กลายเป็นสภาพเป็นเหมือนกับทับทิมในทันที อักขระที่ร้อยเรียงเป็นวงแวนเก้าวงได้เปล่งแสงออกมากลางอากาศจากนั้นก็หายไปในไม่กี่วินาที
และในขณะนี้เองจู่ ๆ ถังเจิ้นก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นในใจ ราวกับว่าความคิดของตนได้เชื่อมโยงเข้ากับศิลาเสาเอกนี้แล้ว
ถังเจิ้นได้เปิดใช้งานและผูกมัดกับศิลาเสาเอกแล้ว แปลว่าตอนนี้เขาได้มีสถานะเป็นเจ้าเมืองแล้วนั่นเอง ทว่าเขาก็ไม่ได้หวั่นไหว!
สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือใช้ลูกปัดสมองสังเวย
เขาโบกมือหนึ่งครั้งลูกปัดสมองเลเวล 1 กองโตก็โผล่บนแท่นหิน อย่างน้อย ๆ น่าจะมีซัก 1,000 เม็ด แล้วศิลาเสาเอกก็เปล่งแสงวูบวาบออกมา ลูกปัดสมองเลเวล 1 ทั้งหมดก็หายวับไป
เห็นแบบนี้แล้วถังเจิ้นก็ไม่ลังเลโบมืออีกรอบ ลูกปัดสมองโผล่มาอีก 1 กองแล้วก็หายวับไป
เขาเอาลูกปัดสมองให้ศิลาเสาเอกดูดซับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก 10 รอบ!
ผู้พเนจรที่ชมดูอยู่ต่างก็หวาดผวา เพราะคิดไม่ออกเลยว่าถังเจิ้นเสกลูกปัดสมองออกมาจากความว่างเปล่าได้ยังไง
หลังจากหมดลูกปัดสมองเลเวล 1 ไป 10,000 เม็ดแล้วถังเจิ้นก็รู้สึกถึงความ ‘อิ่ม’ จากศิลาเสาเอกเหมือนมันกลังบอกเขาว่าไม่ต้องสังเวยต่อแล้ว!
ถังเจิ้นแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขาพึ่งจะใช้ลูกปัดสมองทั้งหมดไป ไม่นึกเลยว่าการสังเวยมันจะบริโภคลูกปัดสมองมากมายถึงขนาดนี้ โชคยังดีที่เขาไปยกเค้าห้องเก็บสมบัติของเมืองเฮยเหยี่ยนมา ไม่งั้นคงต้องรออีกนาน
ปรากฏว่าหลังจากเสร็จสิ้นการการสังเวยแล้วศิลาเสาเอกก็ส่งข้อความที่พอเข้าใจได้ว่าถ้าจะอัปเกรดต้องใช้ลูกปัดสมองเลเวล 2 อีก 10,000 เม็ด!
ลูกปัดสมองเลเวล 2 จำนวน 10,000 เม็ดเทียบได้กับลูกปัดสมองเลเวล 1 จำนวน 100,000 เม็ด ไม่รู้ว่าในช่องเก็บของยังเหลือลูกปัดสมองพอมั้ย
แม้ว่าใจเขาก็อยากจะอัปเกรดโหลวเฉิงเป็นเลเวล 2 เลยก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่กล้าเสี่ยง ไอ้เรื่องต้องใช้ลูกปัดสมองนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าถ้าทำแล้วมันจะเพิ่มจำนวนมอนสเตอร์ที่มาบุกเป็นเท่าตัวด้วยเนี่ยสิท่าจะแย่
อีกทั้งลูกปัดสมองเหล่านี้ยังมีประโยชน์สำหรับเขามากด้วย ดังนั้นเลยยังไม่อาจซี้ซั้วแตะต้องมันตอนนี้ได้
ถังเจิ้นสลับวางความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง
และภายใต้สายตาคาดหวังของทุก ๆ คนถังเจิ้นก็พูดเบา ๆ ว่า “สร้างเมือง!”
“ตู้ม!
ถังเจิ้นรู้สึกถึงเสียงดังในหัว จากนั้นแบบจำลองอาคารขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า อาคารสูง 4 ชั้นและดูภายนอกแล้วแสนจะธรรมดา
แล้วก็เหมือนจะมีเสียงดังขึ้นในใจบอกว่าถังเจิ้นสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบในระดับหนึ่ง
ถังเจิ้นฝังมันลงในโพรงของหน้าผาโดยไม่ลังเล พร้อมกันนั้นเขายังแก้ไขประตูหน้าต่างเพื่อให้สะดวกต่อการป้องกัน นอกจากนี้เขายังแก้ไขตำแหน่งบางตำแหน่งที่ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยด้วย
หลังจากปรับแต่งตามใจชอบเสร็จแล้วถังเจิ้นก็ได้ออกคำสั่งให้สร้างมันขึ้นมา!
แบบจำลองที่อยู่ตรงหน้าได้หายวับไป หน้าผาที่มีบรรยากาศทึม ๆ น่าหดหู่ได้มีแสงเงาสาดไปเคลื่อนมาวุ่นวายทันที สายตาของถังเจิ้นเบลอ ๆ เหมือนได้เห็นอดีตยาวมาจนถึงปัจจุบันของโหลวเฉิงแห่งนี้
มันเคยเป็นอาคารที่สร้างขึ้นติดถนนที่มีคนเดินกันพลุกพล่านเพื่อใช้เป็นธนาคาร ตั้งแต่เริ่มต้นก็ผ่านสถานการณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ มานานหลายสิบปีมีคนที่ทั้งทำงานและอาศัยอยู่ในนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ชายสวมหน้ากากกลุ่มหนึ่งได้พุ่งเข้ามาในตัวอาคาร พวกมันใช้ปืนที่เอามาด้วยกราดยิงใส่พนักงานและลูกค้าจนแตกตื่นซึ่งก็มีหลายคนร่วงลงไปจมกองเลือดอยู่ที่พื้นจากนั้นก็ปล้นเอาธนบัตรกองโตไป
จากนั้นภาพก็ตัดสลับฉาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรไอ้คนสวมหน้ากากพวกนั้นมันก็เกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วจัดการยิงตัวประกันทั้งหมดทิ้ง เสร็จก็ฉีกเสื้อผ้าโชว์เรือนร่างไปพลางหัวเราะเหมือนคนบ้าไปพลาง
แล้วก็เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับภาพที่ตัดไป!
นี่คือความทรงจำทั้งหมดของอาคารหลังนี้ซึ่งถูกแสดงให้เห็นต่อหน้าต่อตาของถังเจิ้น
ถังเจิ้นเงียบไป เขาไม่เคยคิดว่าอาคารที่ดูเรียบง่ายจะมีความทรงจำที่เลือดกระเซ็นเช่นนี้มาก่อน เขาสัมผัสถึงความรู้สึกจากความทรงจำเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ
‘เชี่ยเอ๊ย ไอ้สิ่งของที่เย็นยะเยือกพวกนี้มันมีความรู้สึกได้ไงกันวะ!’
ถังเจิ้นส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วจ้องมองไปยังหน้าผาเขม็ง หลังจากแสงเงาขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวหายไปก็ปรากฏอาคารหลังใหม่เอี่ยมอ่องตั้งอยู่ตรงหน้าของทุกคนแล้ว!
มันได้ฝังตัวอยู่ในกำแพงหินทั้งสามด้าย มีเพียงหน้าผาตรงหน้านี้เท่านั้นที่เปิดโล่ง ผนังประดับด้วยภาพนูนต่ำบ้างนูนสูงบ้างดูสวยสดงดงามสุด ๆ ประตูหน้าต่างทั้งหมดมีการติดตั้งราวกั้น และทางเข้าเป็นประตูทองสัมฤทธิ์หนักคู่หนึ่ง
“เจ้าเมืองจงเจริญ!”
หลังจากที่ได้เห็นฉากนี้แล้วผู้เพนจรทุกคนก็โห่ร้องพร้อมกัน มีหลายคนที่หลั่งน้ำตาด้วยความปีติยินดีอย่างควบคุมไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
สุดท้ายแล้วเมื่อเผชิญกับฉากอันอัศจรรย์ใจนี้แล้วแทบจะไม่มีใครสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ที่สำคัญคือสถานที่แห่งนี้กำลังจะกลายเป็นบ้านของพวกตน!
แต่ถังเจิ้นกลับแอบตกใจอยู่ภายใน เพราะเขาไม่เหมือนกับผู้พเนจรที่เห็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ตัวเขาที่เป็นเจ้าเมืองย่อมรู้ข้อมูลอื่น ๆ มากกว่า
เย่โหลวที่เป็นรังของพวกโนมกระหายเลือดนี่แต่เดิมเคยเป็นธนาคาร ด้วยเหตุนี้นอกจากฟังก์ชั่นใช้งานตามปกติแล้วเย่โหลวแห่งนี้ยังมีฟังก์ชันพิเศษไม่เหมือนใครอีก 3 อย่าง
แต่สิ่งที่ทำให้ถังเจิ้นรู้สึกไม่สบายใจก็คือทั้ง 3 อย่างนี้มันดันเป็นของสถานที่แปลก ๆ ที่ต้องมีอยู่ในโหลวเฉิงทุกแห่ง เหมือนอย่างบันไดเพนโรสของเมืองเฮยเหยี่ยน และโหลวเฉิงของเขาคือธนาคารผี
ธนาคารผีมีฟังก์ชั่นพิเศษ 3 อย่าง ฟังก์ชั่นแรกคือการออม ลูกปัดสมองทั้งหมดของชาวโหลวเฉิงสามารถเลือกเอามาฝากไว้กับธนาคารผีของโหลวเฉิงได้ โดยการออมจะได้ดอกเบี้ย 0.5% ทุกเดือน นี่โคตรเป็นประโยชน์เลย!
ฟังก์ชันที่สองคือการกู้ยืม พลเมืองชาวโหลวเฉิงทุกคนสามารถกู้ยืมจากธนาคารผีโดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3% ต่อเดือน ซึ่งจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาที่พ่อบุญธรรมไปหายืมเงินแล้วหนีไปกับเมียชาวบ้านทำให้ถังเจิ้นโนคอมเมนต์กับฟังก์ชันนี้ อีกทั้งยังรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยด้วย
แล้วไอ้ธนาคารผีนี่มันยังมีมาตรการรับมือลูกหนี้เบี้ยวหนี้โดยการดึงพลังวิญญาณจากลูกหนี้โดยตรงซึ่งโคตรบ้า
ฟังก์ชันที่สามคือแลกเปลี่ยนเงินตรา สามารถใช้ลูกปัดสมองแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรและทองคำต่าง ๆ ได้ แต่จะไม่สามารถเอาธนบัตรมาแลกเป็นลูกปัดสมองได้
หรือก็คือฟังก์ชันที่สามนี้ออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับถังเจิ้นซึ่งเป็นเจ้าเมืองโดยเฉพาะ เพราะนอกจากตัวเขาเองแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่น ๆ จะยอมแลกเปลี่ยนลูกปัดสมองกับเศษกระดาษที่ไม่มีประโยชน์
นอกจากฟังก์ชันพิเศษทั้งสามแล้วฟังก์ชันปกติของโหลวเฉิงคือการปล่อยและรับภารกิจของโลกบนแท่นศิลาเสาเอก การแลกเปลี่ยนทักษะพื้นฐานสำหรับนักรบ และการแลกเปลี่ยนอาหารโดยจำกัดจำนวนต่อเดือน
ฟังก์ชันเหล่านี้ถือว่าดีมาก ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองเป็นผู้ก่อตั้งล่ะก็เขาคงเดาไม่ออกด้วยซ้ำว่าโหลวเฉิงจะทำแบบนี้ได้ด้วย มันได้ครอบคลุมปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์เกือบทุกด้าน อย่างไรก็ตามการจะใช้ฟังก์ชันเหล่านี้มันต้องมีของแลกเปลี่ยน
และนั่นก็คือลูกปัดสมองหรือไม่ก็แต้มคะแนนที่มากพอ
หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง แท่นศิลาเสาเอกของโหลวเฉิงก็คือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของโลกโหลวเฉิงนั่นเอง!