ตอนที่ 432 ไฮเอนด์
ตอนที่ 432 ไฮเอนด์
แวมไพร์เริ่มออกเดินทางอีกครั้งโดยมีเป้าหมายคือไฮเอนด์
ชานี่ขึ้นมาบนยานพร้อมกับเซี่ยเฟยด้วยโดยอ้างว่าเขากลัวว่าชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหน แต่เซี่ยเฟยรู้ดีว่าชายชราคนนี้กลัวเขาจะฉวยโอกาสหลบหนีไป เพราะเซี่ยเฟยรู้ถึงแผนการของเหล่านักปราชญ์แล้วชานี่จึงไม่สามารถปล่อยให้ชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้เหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมา
พฤติกรรมบนยานของชานี่ค่อนข้างที่จะสุภาพ เพราะเมื่อเขาขึ้นมาบนยานเขาก็เดินเข้าไปภายในห้องที่เซี่ยเฟยจัดเอาไว้ให้โดยไม่บ่นอะไร แต่หลังจากที่เขาปิดประตูเซี่ยเฟยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายชราทำอะไรอยู่ภายในห้องนั้น
ขณะเดียวกันหมิงจี้ก็ถูกเซี่ยเฟยจับขังเอาไว้ภายในโกดังที่ว่างเปล่า และเนื่องมาจากว่าเธอถูกคุมขังเอาไว้ภายในพลังความมืดของชานี่ ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะต้องการติดต่อไปยังเลยูตี้ แต่เธอก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเมื่อหมิงจี้ปรากฏตัวขึ้นมากระป๋องก็พยายามให้บริการเธอด้วยความกระตือรือร้น เพราะหุ่นยนต์ตัวน้อยตัวนี้ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับภารกิจดูแลมนุษย์ ดังนั้นมันจึงคอยดูแลหมิงจี้เป็นอย่างดีแม้ว่าเธอคนนี้จะตกอยู่ในสถานะเชลยก็ตาม
“นั่นนายกำลังจะทำอะไร?” เซี่ยเฟยถามหลังจากที่เขาเห็นกระป๋องวิ่งเข้าไปในครัวและเตรียมอาหารออกไปเสิร์ฟด้านนอก
“กระป๋องจะเอาอาหารไปให้หมิงจี้ หมิงจี้อยู่ในโกดังคนเดียว กระป๋องกลัวว่าเธอจะหิว”
“อือ” เซี่ยเฟยส่งเสียงในลำคอพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น
“ความจริงแล้วเธอคนนั้นก็มีชีวิตที่ค่อนข้างน่าสงสาร เท่าที่ชานี่เล่าให้ฟังก็ดูเหมือนว่าเธอจะอาศัยอยู่ในเผ่าพันธุ์เซิร์กมาตั้งแต่ยังเด็กและถูกเลยูตี้เลี้ยงดูขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือ มันจึงทำให้เธอพร้อมที่จะตายทุกเมื่อเมื่ออาจารย์ของเธอต้องการ”
“ตอนนี้เธอเพิ่งจะมีอายุเท่าไหร่เองและดูเหมือนกับว่าเธอจะยังไม่เคยเห็นมนุษย์ด้วยกันด้วยซ้ำ ตอนที่เธอเจอกับนายในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันไม่ได้มีเจตนาสังหารซ่อนอยู่ในแววตานั้นเลยแม้แต่น้อย” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เซี่ยเฟยตอบกลับด้วยการยักไหล่และไม่พูดอะไรตอบกลับไป
ความระแวดระวังของเซี่ยเฟยอยู่ในระดับที่สูงมาก และเขาก็ไม่ยอมลดความระแวงของตัวเองลงเพราะความสงสาร หรืออีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงอย่างเด็ดขาด เพราะในสายตาของเขาศัตรูก็คือศัตรู ดังนั้นไม่ว่าชีวิตของหมิงจี้จะน่าสงสารแค่ไหน แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความระแวดระวังของเซี่ยเฟยได้อยู่ดี
สาเหตุที่เขาสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ นั่นก็เพราะว่าเขามีความระแวดระวังมากกว่าที่คนทั่วไปควรจะมี และความดื้อรั้นที่เขาไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของใคร ซึ่งมันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขามีอายุยืนยาวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง
กระป๋องกลับเข้ามาอีกครั้งก่อนที่มันจะหยิบผ้าเช็ดตัวและน้ำร้อนแล้วเตรียมตัวออกไป
“นั่นนายกำลังจะทำอะไรอีก?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“ผมของหมิงจี้ยุ่งมาก ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยฝุ่น กระป๋องจะช่วยเธอทำความสะอาด”
“อือ”
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจดีว่ากระป๋องมีหน้าที่คอยรับใช้มนุษย์ทุกคน และเขาก็รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่กระป๋องมาคอยดูแลชีวิตประจำวันของเขา เพราะมันช่วยให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าในอดีตที่เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว
“ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ นายก็ไม่ต้องฆ่าหมิงจี้ก็ได้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้วลองพาเธอกลับไปยังพันธมิตร ไม่แน่ครอบครัวของเธออาจจะมีชีวิตอยู่ก็ได้” อันธกล่าว
คำพูดของอันธในครั้งนี้ทำให้เซี่ยเฟยเงียบเสียงไป เพราะคำว่าครอบครัวทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
ตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่เคยรู้จักคำว่าครอบครัวเลยแม้แต่นิดเดียว และถึงแม้ว่าในปัจจุบันเขาจะมีกลุ่มเพื่อนและตั้งบริษัทขึ้นมาเป็นของตัวเอง แต่เขาก็หลุดมาในดินแดนเซิร์กอย่างโดดเดี่ยวและต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง
ก่อนหน้านี้ชีวิตของเขากำลังเข้าใกล้คำว่าครอบครัวมากแล้ว เพราะเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองและมีโอกาสจะได้อยู่ในบ้านกับคนที่เขารัก แต่หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่เดือน ความตายก็ได้พลัดพรากครอบครัวที่เขาต้องการออกไป
ความเจ็บปวดที่ก่อขึ้นในจิตใจของเซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะรุนแรงมาก แล้วเขาก็ทำได้เพียงแต่เลียบาดแผลของตัวเองเพียงลำพังเหมือนกับสัตว์ร้ายและบาดแผลนี้ก็อาจจะไม่หายในชั่วชีวิตของเขา
จากมุมมองภายนอกคนอื่นอาจจะไม่เห็นท่าทางของเซี่ยเฟยเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะเขาเพียงแค่กำหมัดแน่นและทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ จนกลายเป็นนิสัย
ทันใดนั้นกระป๋องก็วิ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับกระดานอิเล็กทรอนิกส์ และมันก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเซี่ยเฟยด้วยความลังเล
เซี่ยเฟยพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองกลับมาเป็นปกติ เพราะท้ายที่สุดกระป๋องก็เป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ที่ไร้เดียงสาและเขาก็ไม่อยากจะทำตัวแย่ ๆ ต่อหน้าหุ่นยนต์ตัวนี้
“ว่าไง? มีอะไร?”
กระป๋องพยักหน้าก่อนที่มันจะส่งกระดานอิเล็กทรอนิกส์ในมือให้กับเซี่ยเฟย
“ผู้หญิงที่ถูกขังในโกดังน่าสงสารมาก”
เซี่ยเฟยหยิบกระดานอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาดูก่อนที่จะพบข้อความว่า
“ฉันเป็นมนุษย์จริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจและได้พบว่าความมืดของชานี่ไม่ได้ปิดกั้นการสื่อสารระหว่างหมิงจี้กับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ เพราะข้อความนี้ย่อมเป็นข้อความที่ถูกเธอเขียนขึ้นมาอย่างชัดเจน
“น่าสงสารจริง ๆ แค่เธอเกิดมาอย่างโดดเดี่ยวและเป็นใบ้ก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว แต่นี่เธอยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือเปล่า” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ใช่” เซี่ยเฟยเขียนคำง่าย ๆ ตอบกลับลงไปในกระดาน
กระป๋องวิ่งไปแล้ววิ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมกับข้อความประโยคใหม่ในกระดานอิเล็กทรอนิกส์
“คุณก็เป็นมนุษย์ใช่ไหม? เผ่าพันธุ์ของเราหน้าตาเป็นยังไง? พวกเขาทุกคนหน้าตาเหมือนคุณหรือเปล่า?”
“มนุษย์มีเผ่าพันธุ์ย่อย ๆ มากมายในจักรวาล และเผ่าพันธุ์ย่อยแต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย”
“แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกแตกต่างจากคุณ?”
“นั่นก็เพราะว่าเธออยู่ในดินแดนเซิร์กนานเกินไป มันจึงทำให้เธอขาดความเป็นมนุษย์”
“ฉันขาดความเป็นมนุษย์งั้นเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้น”
“ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกดีมากตอนที่ฉันได้พบกับคุณ”
“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกันก็ได้”
“แต่คุณก็ยังอยากจะฆ่าฉันงั้นเหรอ?”
“นั่นก็เพราะว่าเธอคือศัตรู”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นศัตรู ตั้งแต่ที่ฉันพบกับคุณฉันก็รู้แล้วว่าฉันไม่สามารถทำอะไรกับคุณได้”
“อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
กระป๋องทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเซี่ยเฟยและหมิงจี้ ซึ่งหลังจากที่มันเดินไปเดินมาหลายสิบรอบมันก็ทำให้กระป๋องผู้น่าสงสารเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย
หมิงจี้ถามเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่คำตอบของเซี่ยเฟยก็ยังคงเต็มไปด้วยความระแวดระวัง และเมื่อพิจารณาจากข้อความเด็กสาวคนนี้ก็ยังคงไร้เดียงสาอยู่มาก ซึ่งเธอก็ใช้เพียงแค่สัญชาตญาณในการพยายามใกล้ชิดกับเซี่ยเฟยมากขึ้นเท่านั้น
‘เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ เหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ แต่เขาก็รีบสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว
‘เธอเป็นลูกศิษย์ของเลยูตี้ ดังนั้นเธอคือศัตรู ตั้งสติเอาไว้ให้ดี ๆ ว่าการปรานีต่อศัตรูไม่ต่างไปจากการพยายามฆ่าตัวตาย’ เซี่ยเฟยกล่าวเตือนตัวเองภายในใจ
—
ไฮเอนด์คือชื่อของดาวเคราะห์ที่สภาพแวดล้อมภายในดาวเต็มไปด้วยภูเขาอันสูงชัน ซึ่งภูเขาที่สูงที่สุดก็มีความสูงเหนือพื้นดินขึ้นมามากกว่า 10 กิโลเมตร
แวมไพร์พยายามลงจอดในหุบเขาและเนื่องจากภูเขาในดาวดวงนี้มีความสลับซับซ้อนมาก มันจึงกลายเป็นสถานที่หลบซ่อนชั้นดีโดยที่เขาแทบที่จะไม่ต้องมองหาจุดหลบซ่อนแวมไพร์เลย
เซี่ยเฟยเดินตามชานี่ออกจากยานรบโดยมีขนอุยเกาะอยู่บนไหล่ ส่วนหมิงจี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยความมืดลอยตามอยู่ด้านหลังอย่างห่าง ๆ
ชานี่คอยควบคุมความมืดให้ปิดกั้นหมิงจี้เอาไว้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เธอรายงานสถานการณ์กลับไปหาเลยูตี้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหนเขาก็จะไม่ปล่อยให้หมิงจี้อยู่ห่างจากเขามากเท่าไหร่นัก
ระหว่างทางเดินในหุบเขาเซี่ยเฟยพบว่ามีสายตาเป็นจำนวนมากแอบมองเขาอยู่จากระยะไกล ซึ่งมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าดาวเคราะดวงนี้ไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่รกร้าง แต่มันมีประชากรชาวเซิร์กอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้มากพอสมควร
“ที่นี่คือศูนย์ฝึกอบรมของพวกเรา พวกเราจะทำการคัดเลือกนักสู้ที่มีความสามารถมาทำการฝึกฝนเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต” ชานี่อธิบาย
หลังจากเดินผ่านประตูโลหะผสมในหุบเขา ชายหนุ่มก็ได้พบกับจิตรกรรมบนผนังหินที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ซึ่งตามปกติแล้วมันหาได้ยากมากที่จะมีงานศิลปะแบบนี้ในดินแดนของเซิร์ก แล้วมันก็ทำให้เซี่ยเฟยได้ตระหนักว่าสิ่งที่ชานี่ได้อธิบายเอาไว้ในก่อนหน้านี้มันก็น่าจะเป็นความจริง
หลังจากเดินผ่านทางเดินเข้ามาจนถึงห้องโถง ชายหนุ่มก็ได้พบกับเซิร์กชราหลายคนยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามเซิร์กชราพวกนี้ก็กำลังมองมาที่เซี่ยเฟยด้วยสายตาแปลก ๆ และชายหนุ่มก็สบตาพวกเขากลับไปโดยไม่คิดที่จะหลบสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากนั้นชานี่ก็เชื่อมต่อระบบสื่อสารพร้อมกับเปิดหน้าจอที่มีภาพของชิววี่ผู้ซึ่งเป็นพ่อของบิทินี่ยืนอยู่ในนั้น
“มนุษย์คุณคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับเราหรือเปล่า?” ชิววี่กล่าวถาม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับตอบกลับโดยไม่แสดงท่าทางอ่อนน้อมหรือเย่อหยิ่งมากเกินไป
“แล้วคุณจะพิสูจน์ยังไงว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอ?”
“ถ้าผมไม่มีคุณสมบัติพอ พวกคุณก็คงจะไม่ส่งคนไปตามหาผมใช่ไหมล่ะ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ถ้าเรามอบอิสระให้คุณในระหว่างภารกิจ เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่เปิดเผยความลับของเราและหลบหนีไป?” ชิววี่ถาม
“ผมรับประกันให้ไม่ได้ เรื่องนี้พวกคุณจะต้องยอมรับความเสี่ยงเอง” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฮ่า ๆ ๆ น่าสนใจดีนี่ ฉันยอมรับเงื่อนไขของคุณ แต่คุณต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำงานสำคัญนี้ให้กับเราได้” ชิววี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“จะให้ผมพิสูจน์ยังไง?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ง่ายมาก พวกเรามีเครื่องจักรที่เทพเจ้าได้ทิ้งเอาไว้ และตราบใดก็ตามที่คุณผ่านบททดสอบฉันก็จะถือว่าพวกเราร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม ซึ่งเราจะแบ่งปันข้อมูลและทรัพยากรให้กับคุณ ส่วนคุณจะลงมือเมื่อไหร่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเอง” ชิววี่กล่าว
เมื่อได้ฟังการตัดสินใจของชิววี่ เซิร์กชราที่อยู่ใกล้ ๆ ก็พยายามส่งสัญญาณอย่างกังวล แต่ชิววี่ก็ยังคงดื้อรั้นยืนยันในคำตัดสินของตัวเอง
“เทพเจ้า? มันใช่เผ่าพันธุ์เทพเจ้าที่พวกทูรอนพูดถึงหรือเปล่า?” อันธอุทานขึ้นมาเบา ๆ
“เทพเจ้าที่เผ่าพันธุ์เซิร์กนับถือมีอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นเทพเจ้าของช่วงกลางวันและอีกคนเป็นเทพเจ้าในช่วงกลางคืน ซึ่งมันสอดคล้องกับคำอธิบายของสมองเซิร์กที่เราพบในเผ่าทูรอน และเครื่องจักรนั่นก็อาจจะเป็นเศษซากอารยธรรมที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยโบราณ” เซี่ยเฟยกล่าว
“เผ่าเทพที่พวกเขาพูดถึงน่าจะมีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าพวกผู้ใช้กฎอย่างหยูฮัวและหยูเจียง ฉันเดาไม่ออกเลยว่าสิ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้มันจะเป็นอะไร?” อันธกล่าว
“ผมไม่รู้ว่าบททดสอบที่เทพเจ้าของพวกคุณทิ้งเอาไว้ให้คืออะไร? แต่ถ้าหากว่าพวกคุณต้องการผมจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าผมมีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับพวกคุณ” เซี่ยเฟยเงยหน้าตอบชิววี่อย่างมั่นใจ
“ฉันสัญญาว่าการทดสอบนี้จะเป็นไปอย่างยุติธรรมแน่นอน และถ้าหากว่าคุณไม่ผ่านบททดสอบฉันก็หวังว่าหลังจากนั้นคุณจะยอมทำงานอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ตั้งข้อสงสัยในวิธีการของพวกเรา”
***************