ตอนที่ 431 ขี่หลังเสือ
ตอนที่ 431 ขี่หลังเสือ
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมจะคอยดูมันให้เอง” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นอันตราย
ชานี่ขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องมองไปยังก้อนขนในอ้อมแขนของเซี่ยเฟยอย่างเคร่งเครียด และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักสัตว์อสูรตัวนี้แต่มันกลับสร้างความรู้สึกที่ไม่สบายใจให้กับเขา
—
“ตอนนี้คุณก็น่าจะรู้แล้วว่าในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์เซิร์กได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถคาดเดาได้”
“ตอนนี้เผ่าพันธุ์ของพวกคุณมีคนฉลาดและคนที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นอย่างมากมาย และพวกคุณก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีนิสัยป่าเถื่อนอีกต่อไป” เซี่ยเฟยกล่าวตอบหลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เผ่าพันธุ์ของพวกเราพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วจริง ๆ แล้วมันก็มีเซิร์กฉลาด ๆ เกิดใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่เรายังไม่สามารถกำจัดความป่าเถื่อนในเผ่าพันธุ์ของเราได้” ชานี่กล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะน้ำเสียงของชานี่ดูคล้ายนักปราชญ์มากกว่านักรบซึ่งแตกต่างจากนักรบเซิร์กทุก ๆ คนที่เขาเคยเจอมาก่อน
ขณะเดียวกันแม้ว่าชานี่จะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมากแต่เขาก็แต่งกายอย่างพิถีพิถัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็น่าจะได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี และวิธีการพูดของเขาเมื่อสักครู่นี้ก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเผ่ามนุษย์
“ในระหว่างที่เผ่าพันธุ์ของเราวิวัฒนาการ มันก็ได้ก่อให้เกิดทางแยก 2 ทางอย่างชัดเจน โดยฝ่ายหนึ่งเกิดมามีสติปัญญาอันชาญฉลาด แต่ฝ่ายนี้มักจะขาดความแข็งแกร่งที่ควรจะมี ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพัฒนาพลังการรบขึ้นมาสูงมาก แต่พวกเขายังคงมีนิสัยป่าเถื่อนไม่ต่างไปจากบรรพบุรุษ ซึ่งผู้ที่เดินทางทั้งสองสายนี้พร้อมกันก็ค่อนข้างหาได้ยากมาก เพราะส่วนใหญ่นักสู้เซิร์กก็ยังคงเป็นพวกไร้ปัญญาเหมือนกับบรรพบุรุษของเราอยู่ดี”
“เมื่อเวลาผ่านไปความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายก็เด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้มีอำนาจในปัจจุบันให้ความสำคัญกับนักรบมากกว่านักปราชญ์ มันจึงทำให้สถานะของนักปราชญ์ในเผ่าพันธุ์ด้อยกว่านักรบอย่างชัดเจน”
“นักปราชญ์ทุกคนต่างก็โหยหาอารยธรรม พวกเขาชื่นชอบดนตรี, ศิลปะ, วรรณกรรมและชอบใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนกับมนุษย์ แต่ในสายตาของนักรบพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้เลย และเทคโนโลยีสำหรับพวกเขาก็มีเอาไว้สำหรับการผลิตยานรบที่ทรงพลังเท่านั้น”
“ด้วยเหตุนี้เองความขัดแย้งระหว่างนักปราชญ์และนักรบจึงมีให้เห็นอยู่เสมอ แต่ฝ่ายของนักรบเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าและเขาก็บังคับให้ประชาชนทำการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม”
“แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เหล่านักปราชญ์ต้องการจะเห็น เพราะพวกเขาหวังว่าเซิร์กจะพัฒนาอารยธรรมขึ้นมาอย่างหลากหลายมากกว่า เหล่านักปราชญ์จึงค่อย ๆ รวมกำลังกันเพื่อพยายามกำจัดความโง่เขลาออกไปจากเผ่าพันธุ์ของตัวเอง”
“น่าเสียดายที่การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรม และนักรบระดับสูง 1 คนก็สามารถสังหารนักปราชญ์นับพันได้อย่างง่ายดาย เมื่อเวลาค่อย ๆ ดำเนินผ่านไปสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนักปราชญ์หลาย ๆ คนเริ่มยอมจำนนให้กับนักรบ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้มันก็ได้มีนักปราชญ์คนหนึ่งสามารถคลองบัลลังก์ของเซิร์กได้ในที่สุด”
“คุณกำลังพูดถึงอูดี้ผู้ที่มีสติปัญญาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเซิร์กใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ใช่ ฉันกำลังพูดถึงเขานั่นแหละ เมื่อมีเขาเป็นผู้นำเหล่าบรรดานักปราชญ์ของเผ่าพันธุ์ก็เริ่มกลับมารวมตัวกันอีกครั้งและผลักดันเขาขึ้นสู่บัลลังก์ของราชา โดยพวกเขาหวังว่าอูดี้จะช่วยพัฒนาอารยธรรมของเผ่าพันธุ์ให้มีความศิวิไลซ์มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในเวลานั้นมันก็จะไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนสามารถมาดูถูกพวกเราว่าเป็นเผ่าพันธุ์ดิบเถื่อนได้อีกแล้ว”
“แต่จู่ ๆ เขาก็หักหลังเรา! ก่อนขึ้นรับตำแหน่งเขาสาบานว่าเขาจะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและวัฒนธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เขาทำเมื่อเขาขึ้นรับตำแหน่งคือการเดินหน้าพัฒนากองทัพและก่อสงคราม ซึ่งมันเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของนักปราชญ์ทุกคนอย่างแท้จริง”
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เซี่ยเฟยแอบรู้สึกตลกอยู่ภายในใจ และการแบ่งฝ่ายนักรบกับนักปราชญ์ก็ไม่ต่างไปจากเรื่องไร้สาระสำหรับเขาเลย เพราะท้ายที่สุดถ้าหากไม่มีนักรบสร้างความแข็งแกร่งให้กับเผ่าพันธุ์ เหล่าบรรดานักปราชญ์จะมีเวลาออกมาพัฒนาวัฒนธรรมได้อย่างไร
นี่คือสังคมจักรวาลกว้างใหญ่และมันก็ไม่ต่างไปจากสังคมที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นถ้าหากว่าใครไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกมาทักท้วงว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกรังแกได้ด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่คุณกับพวกนักปราชญ์ต้องการก็คือการพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดคนทรยศและแต่งตั้งราชาขึ้นมาใหม่ ส่วนผมก็คงจะถูกมอบหมายหน้าที่ให้เป็นมือสังหารเพราะว่าผมเป็นมนุษย์ แล้วมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าหากว่าผมจะเป็นคนสังหารอูดี้ต่อหน้าประชาชน และการใช้ผมเป็นผู้ลงมือก็จะไม่ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่าเรื่องนี้ถูกหนุนหลังจากฝ่ายของนักปราชญ์”
“ว่ากันว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดมาก ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันเคยได้ยินจะไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงมากเท่าไหร่สินะ” ชานี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับ
“ต่อให้พวกคุณแต่งตั้งราชาคนใหม่แล้วพวกคุณจะรับประกันได้ยังไงว่าเขาจะไม่หักหลังพวกคุณเหมือนกับอูดี้?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ
ชานี่เงียบเสียงไปครู่หนึ่ง เพราะมันไม่มีใครสามารถรับประกันเรื่องนี้ได้จริง ๆ และอูดี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่มีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว
“สิ่งที่คุณคิดมันก็ไม่มีอะไรผิด แต่น่าเสียดายที่คุณพึ่งพาคนอื่นมากเกินไปและไม่มีกำลังเป็นของตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องภายในของเซิร์กมากเกินไป คุณจะให้ผมทำยังไงก็ได้ตราบใดก็ตามที่ผมสามารถสังหารอูดี้และยุติสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ได้”
“ถ้าผมตกลงร่วมมือกับคุณ คุณจะรับประกันได้ยังไงว่าผมจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับอูดี้?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล พวกเรามีสายลับชั้นดีอยู่ข้างกายอูดี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว พวกเราจึงสามารถล่วงรู้การเคลื่อนไหวของเขาได้ตลอดเวลา และตราบใดก็ตามที่คุณตอบตกลงคุณย่อมมีโอกาสกำจัดอูดี้อย่างแน่นอน”
“ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไม่นานมานี้อูดี้ก็ปลีกตัวออกไปอาศัยอยู่ลำพังและไม่ค่อยได้อยู่ในเต็นท์ทองคำมากนัก ซึ่งถ้าหากว่าคุณไม่สามารถระบุที่อยู่ของเขาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าคุณจะมีพลังมากพอที่จะทำลายครึ่งกาแล็กซี แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์อยู่ดีเพราะอูดี้ก็คงจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ให้คุณเข้าไปจัดการ”
ชานี่เล่าทุกอย่างอย่างจริงใจและมันก็ทำให้เซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะรู้สึกประทับใจชายชราคนนี้มากพอสมควร
ชายชราคนนี้เป็นทั้งนักรบและนักปราชญ์ในคนคนเดียวกัน แล้วเขาก็รู้ว่าความช่วยเหลือของเซี่ยเฟยจะช่วยเพิ่มโอกาสให้แผนการของพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบได้
ในความเป็นจริงเพียงแค่การที่ชายชราคนนี้ได้ออกมาเจรจากับเซี่ยเฟยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากแล้ว แม้ว่าเรื่องที่พวกเขากำลังเจรจาจะไม่ใช่เรื่องการลอบสังหารอูดี้ก็ตาม
“พูดตามตรงว่าผมสนใจเงื่อนไขที่คุณเสนอมามาก แต่ผมก็มีเงื่อนไขของตัวเองด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“เงื่อนไขอะไร?”
“ผมจะเคลื่อนไหวอย่างอิสระและไม่ยอมรับคำสั่งของใครเด็ดขาด ทางฝั่งของคุณแค่ต้องบอกสถานที่กับเวลามา ส่วนผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าผมจะลงมือหรือไม่หลังจากที่ผมได้ประเมินสถานการณ์นั้น ๆ ด้วยตัวเองแล้ว”
“คุณกำลังหมายความว่าคุณตกลงที่จะร่วมมือกับเราใช่ไหม?” ชานี่กล่าวถามอย่างไม่มั่นใจ
“ในเมื่อความตายของอูดี้เป็นผลประโยชน์ของเราทั้งคู่ ดังนั้นความสัมพันธ์ของเราคือความร่วมมือมากกว่าการจ้างงาน พวกคุณแค่ส่งสถานที่กับเวลาที่อูดี้จะปรากฏตัว ส่วนผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าผมจะลงมือเมื่อไหร่” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เหตุการณ์นี้ทำให้ชานี่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะแต่เดิมแผนการของเขาคือเกลี้ยกล่อมให้เซี่ยเฟยเป็นนักฆ่ารับจ้าง ซึ่งถ้าหากว่ามนุษย์คนนี้ปฏิเสธเขาก็จะกำจัดเซี่ยเฟยทันที
แต่ในตอนนี้เซี่ยเฟยยินดีที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขาก็ต้องการความอิสระในการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้
“กรุณารอสักครู่” ชานี่กล่าวก่อนที่จะเรียกความมืดออกมาปกคลุมทั้งตัว ทำให้เซี่ยเฟยมองไม่เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ภายในความมืดพวกนั้นกันแน่
“พลังความมืดเป็นพลังที่แข็งแกร่งจริง ๆ มันสามารถใช้ได้ทั้งการโจมตี, การป้องกันและการอำพราง นี่มันเป็นพลังที่แทบจะทำได้ทุกอย่างในพลังพิเศษเพียงแค่ชนิดเดียวเลย” อันธกล่าวยกย่องขึ้นมาจากด้านข้าง
“เมื่อเทียบกับพลังควบคุมความมืดแล้ว พลังควบคุมน้ำแข็งกับพลังควบคุมไฟก็ดูเหมือนเด็กน้อยกับผู้ใหญ่ไปเลย” เซี่ยเฟยกล่าว
“นายคิดจะร่วมมือกับพวกนี้จริง ๆ เหรอ? ถึงแม้ว่าข้อเสนอจะดูดีแต่ฉันก็ไม่อยากไว้ใจคนพวกนี้เลยจริง ๆ” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้มันก็เหมือนกับการขี่หลังเสือนั่นแหละ ถ้าฉันคิดไม่ผิดแผนการที่พวกเขาเล่ามาคือเรื่องจริง แต่มันก็ยังมีเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่พวกเขายังคงปิดบังฉันอยู่” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ปิดบังอะไร?”
“พวกเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้ฉันสังหารอูดี้ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะฆ่าฉันด้วยเหมือนกัน เพราะมันมีเพียงแต่คนตายเท่านั้นที่จะเก็บรักษาความลับเอาไว้ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเองคนพวกนั้นก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ฉันมีชีวิตรอดต่อไปแน่นอน”
“ทันทีที่ฉันลงมือฉันก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรผู้ลอบปลงพระชนม์ เพื่อพยายามผลักดันความเกลียดชังของประชาชนทั้งหมดมาที่ฉัน และในเวลานั้นพวกเขาก็จะสามารถใช้แรงโกรธแค้นของประชาชนผลักดันพวกเขาเพื่อขึ้นสู่อำนาจได้ แล้วพวกเขาค่อยกำจัดคนเก่า ๆ ของอูดี้ออกไปและสามารถเข้าควบคุมชนเผ่าเซิร์กได้ทั้งหมด”
“นี่มันเป็นแผนการที่เจ้าเล่ห์จริง ๆ ในเมื่อนายรู้อยู่แล้วว่าพวกนั้นจะไม่มีวันปล่อยนายไป แล้วนายไปตกลงร่วมมือกับพวกเขาได้ยังไง?!”
“โอกาสมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่ยอมเสี่ยงกับแผนการของพวกเขา ฉันก็คงจะไม่มีโอกาสสังหารอูดี้ด้วยเหมือนกัน อย่างน้อยการร่วมมือกับพวกเขาก็ช่วยเพิ่มโอกาสให้ฉันสามารถสังหารอูดี้ได้”
“แล้วนายแน่ใจเหรอว่านายจะหนีรอดออกมาได้อย่างมีชีวิต?”
“ไม่”
“แล้วนายคิดจะพึ่งพาแค่โชคชะตางั้นเหรอ?”
“ฉันไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรทั้งนั้นแหละ กุญแจสำคัญของการรอดชีวิตครั้งนี้คือฉันจะร่วมมือกับพวกเขาโดยที่ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าฉันจะเริ่มเคลื่อนไหวตอนไหน และมันก็มีเพียงเงื่อนไขนี้เพียงแค่เงื่อนไขเดียวเท่านั้นที่มันจะทำให้ฉันมีโอกาสรอดชีวิตหลังจากลงมือได้”
—
ภายในความมืดที่กำลังปกคลุม ภาพโฮโลแกรมของชิววี่กำลังยืนสนทนาอยู่ต่อหน้าชานี่ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“เขามีเงื่อนไขงั้นเหรอ?” ชิววี่กล่าวพร้อมกับใช้มือลูบเครายาว
“ใช่ เขาต้องการให้เราเป็นผู้ให้ข้อมูลแต่เขาจะเป็นคนเลือกเวลาในการลงมือเอง” ชานี่กล่าว
“ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เราไม่สามารถควบคุมเขาได้ และมันก็จะเป็นอันตรายต่อแผนการของพวกเรามาก” ชิววี่กล่าวอย่างครุ่นคิด
“ฉันคิดว่าเซี่ยเฟยคนนี้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากและบางทีเขาก็อาจจะทำสำเร็จก็ได้” ชานี่กล่าวอย่างจริงจัง
“คุณประเมินเขาเอาไว้สูงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?” ชิววี่กล่าวด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“อือ ฉันประเมินเขาเอาไว้ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก” ชานี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“ทั่วทั้งจักรวาลนี้จะมีคนที่ถูกคุณยอมรับสักกี่คน ในเมื่อคุณมองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีก็ยอมรับเงื่อนไขของเขาแล้วพาเขาไปที่ไฮเอนด์เถอะ” ชิววี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ไฮเอนด์! คุณจะพาเขาไปที่ไฮเอนด์ทำไม?” ชานี่อุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ในเมื่อเขามีเงื่อนไขของเขา เราก็จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการของเราเล็กน้อย” ชิววี่กล่าว พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
***************