บทที่ 66: เป้าหมาย! ถ้ำของโนมกระหายเลือด!
ความเย้ายวนใจของอาวุธทั้ง 10 ชิ้นนั้นช่างมากมาย แถมวิธีได้มายังง่ายอีกด้วย ทำให้เหล่าผู้พเนจรทั้งหลายถึงกับคิดว่าหากข้อตกลงซื้อขายที่เกือบฟรีนี่ล้มเหลวล่ะก็ตัวเองคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
พูดอีกอย่างก็คือคิดว่าถังเจิ้นเป็นคนโง่ที่มีเงินเยอะ และที่เอาอาวุธมาเสนอให้โดยแลกกับเศษขยะเพียงเล็กน้อยก็คงเพื่อให้ตัวเองดูน่านับถือเท่านั้น
แต่ไม่ว่าถังเจิ้นจะต้องการเศษกระดาษไปทำอะไรก็ตามยังไงพวกผู้พเนจรก็ยังคิดว่าตัวเองคือผู้ได้กำไรมากมายอยู่ดี
อาวุธ 10 ชิ้นไม่ใช่หญ้า 10 ต้น แต่กลับได้มาโดยไม่ต้องใช้ลูกปัดสมองแลกแม้แต่เม็ดเดียว คุ้มไม่คุ้มล่ะ!
ตอนนี้ทุกคนในค่ายที่กำลังคุยกันมีคนหนึ่งบอกว่าตอนไปเก็บเมล็ดหญ้าครั้งก่อนเห็นกระดาษแบบนี้เพียบเลยแต่ไม่ได้สนใจ ตอนนี้พอคิดถึงมันแล้วก็เสียใจจริง ๆ แล้วบางคนก็บอกอีว่าตอนที่เก็บกวาดของจากพวกโนมกระหายเลือดเจอกระดาษแบบนี้อีก 2 แผ่นด้วย ไม่รู้ว่าพวกมันไปเอามาจากไหน?
เด็กหนุ่มเฝ้ายามยืนถัดจากลิซ่าได้ยินคนคุยกันไม่หยุดซักทีก็อดกลอกตามองบนแล้วบ่นไม่ได้ “งั้นก็ไปหาที่ถ้ำของไอ้พวกโนมกระหายเลือดเลยดิ ไอ้พวกนั้นได้ไรมามันก็เก็บหมดไม่ยอมทิ้งไม่ใช่เอ่อ?”
คำบ่นของเด็กหนุ่มทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันถึงกับอึ้งจากนั้นก็มองเจ้าตัวด้วยสายตาทิ่มแทงก่อนจะตระหนักได้ “เออว่ะ! ที่นั่นมันน่าจะมีเพียบจริง ๆ ด้วย!”
“จำได้ว่าลิซ่าเองก็เอากระเป๋าหนังนั่นมาจากใกล้ ๆ ถ้ำนั่นด้วยหนิ!”
“เออ ๆ ไม่แน่เศษกระดาษนั่นอาจจะมาจากเย่โหลวร้างที่ไอ้พวกโนมมันเข้าไปทำรังก็ได้”
ใบหน้าของผู้พเนจรเต็มไปด้วยความสุขเพราะรู้สึกว่าในที่สุดก็พบแหล่งที่มาของกระดาษแล้ว อาวุธ 10 ชิ้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
แต่ในไม่ช้าบางคนก็เริ่มส่ายหัวและถอนหายใจ แล้วบอกด้วยความหงุดหงิดว่ารังของโนมกระหายเลือดนั่นมันอันตรายเกินไป ในนั้นมีโนมกระหายเลือดอยู่เพียบ แค่พวกตนไม่มีทางเข้าไปใกล้ได้เลย อย่าว่าแต่เข้าไปแค่แอบดูยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ใช้วิธีที่ปลอดภัยจะดีกว่า เช่นให้ชาวค่ายทุกคนออกค้นหาบริเวณนอกรังของพวกมัน เพราะมีผู้พเนจรบางคงจำได้ว่าเห็นเศษกระดาษพวกนี้ตกอยู่ในกอหญ้าโดยที่ไม่ได้เก็บมา แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าไปเก็บมาได้แล้วจะได้ถึงสองเท่าเหมือนที่ถังเจิ้นต้องการหรือไม่
ไทสันมีสีหน้าครุ่นคิดขมวดคิ้วแน่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปหาถังเจิ้น
ไทสันแล้วก็นั่งลงขัดสมาธลงตรงหน้าถังเจิ้นที่กำลังเล่นกับปืนไรเฟิล “ท่านถัง ฉันคิดว่าที่ที่จะได้เจอกระดาษนั่นเยอะพอคือเย่โหลวร้าง ตัวอาคารถูกพวกโนมกระหายเลือดยึดเลยทำให้มีพวกมันอยู่เยอะเกินไป อย่างต่ำ ๆ ก็สองร้อยตัว อาศัยแค่พวกเราในค่ายตอนนี้แค่เข้าใกล้ยังไม่ได้เลย”
ถังเจิ้นตั้งใจฟังแล้วถามว่า “แล้วนายคิดว่ายังไง”
ไทสันพูดด้วยความอับอายว่า “คำขอของฉันอาจฟังดูล้ำเส้น แต่หวังว่าท่านจะมอบอาวุธให้แก่พวกเราก่อน แล้วใช้ปืนคาบศิลาของท่านคอยสนับสนุนเราในช่วงเวลาวิกฤตในการยึดรังของพวกโนมกระหายเลือด!”
หลังจากฟังแผนของไทสันถังเจิ้นก็แล้วถามว่า “ถ้ายึดรังของโนมกระหายเลือดได้ก็ต้องฆ่าพวกมันทั้งหมดหมายความว่าภัยคุกคามชีวิตของพวกนายจะหมดไปด้วย แต่ว่าดันไม่เจอสิ่งที่ฉันต้องการจะทำยังไง? แบบนั้นพวกนายได้เปรียบแต่ว่าฉันเสียเปรียบน่ะสิ!”
ใบหน้าของไทสันแดงเล็กน้อย สิ่งที่ถังเจิ้นพูดนั้นถูกต้องเลย ยังไม่รู้เลยว่าไอ้พวกโนมกระหายเลือดมันยังมีกระดาษอีกเยอะจริงมั้ย แต่โอกาสกำจัดมอนสเตอร์กลุ่มเดียวในหุบเขาที่เป็นภัยคุกคามต่อค่ายของตนก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ไทสันไม่อยากทิ้งไปอยู่ดี
เมื่อเห็นไทสันหน้าหมอง ๆ และกำลังจะลุกออกไปถังเจิ้นก็หัวเราะเบา ๆ และส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายใจเย็น ๆ
ถังเจิ้นไม่ต้องการทำให้ไทสันอับอายเพราะในความเป็นจริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบ
ไม่ว่าจะเป็นการได้เงินหรือกวาดล้างไอ้พวกโนมกระหายเลือดในหุบเขาก็ตาม สุดท้ายแล้วคนที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดก็คือถังเจิ้นอยู่ดี เพราะที่นี่คือที่ที่เขาเลือกแล้วว่าจะใช้สร้างเมือง
หลังจากแกล้งไทสันเขาก็พยักหน้ายอมรับ “ฉันให้อาวุธนายก่อนก็ได้ แล้วก็ช่วยสนับสนุนการรบได้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าผลการเก็บเกี่ยวจะเป็นยังไงชาวค่ายของนายต้องทำงานให้ฉันระยะหนึ่งแลกกับอาหารหนึ่งจินต่อวัน โอเคมั้ย?”
ไทสันรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก แล้วก็เงิบไปเลยเพราะไม่เข้าใจ
อาหารวันละ 1 จินที่ถังเจิ้นว่านั้นมันสูงเกินไป ถ้าข่าวนี้หลุดออกไปล่ะก็รับรองเลยว่าต้องมีคนนับไม่ถ้วนมาสมัครงานอย่างแน่นอน ข้อแม้นี้มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว เพราะนอกจากจะได้กำจัดภัยซ่อนเร้นอย่างพวกโนมกระหายเลือดแล้วยังมีโอกาสได้กินอาหารดี ๆ อีกเพียบด้วย!
ปัญหาคือทำไมท่านถังถึงได้ยอมจ้างงานชาวค่ายในราคาแพงลิ่วเช่นนี้ อาหารเป็นสิ่งที่มีค่ามากไม่ใช่แค่กับชาวค่ายแห่งนี้เท่านั้น แต่ว่าผู้พเนจรทุกคนต่างหวังว่าจะมีมันตกถึงท้องทุกวัน สิ่งที่ทำให้เขางงคือทำไมเขาถึงจ้างชาวค่ายด้วยราคาที่สูงเช่นนี้ แถมยังมากถึงวันละ 1 จินด้วย!
“ค่าจ้างสูงขนาดนั้นคงไม่ใช่จะจ้างเราไปตายหรอกนะ แบบนั้นเราคงรับข้อแม้นั่นไม่ได้หรอก?”
เมื่อคิดถึงเด็กและคนแก่ในค่ายแล้วสิ่งที่ไทสันต้องทำคือต้องตกลงกันให้ชัด
“ไม่ได้จะให้ไปทำอะไรแบบนั้นซักหน่อย ต่อให้ฉันสั่งแบบนั้นจริง ๆ พวกนายก็เลือกจะไม่ทำก็ได้!”
หลังจากถังเจิ้นทำสัญญาไทสันก็พยักหน้ายอมรับอย่างลังเลใจ
เนื่องจากสัญญากับไทสันแล้วว่าจะมอบอาวุธให้ล่วงหน้าถังเจิ้นจึงต้องกลับไปที่โลกเดิมก่อน หลังจากอธิบายเรื่องราวให้เฉียนหลงกับมู่หรงจื่อเหยียนฟังแล้วเขาก็เดินออกจากหุบเขาพร้อมกระเป๋าใส่แบงก์และเทเลพอร์ตกลับบ้าน
แบงก์พวกนี้เก็บไว้ในบ้านโกโรโกโสก็ไม่ปลอดภัย ช่องเก็บของก็แทบไม่เหลือที่แล้ว ดังนั้นถังเจิ้นได้ยืนยันก่อนว่าแบงก์พวกนี้เป็นสกุลเงินที่ใช้กันในโลก เมื่อยืนยันแล้วก็จัดการทำความสะอาดทั้งหมดแล้วเอาไปฝากธนาคาร
อัตราการแลกเปลี่ยนสกุลเงินระหว่างสหพันธรัฐอเมริกาและสหพันธรัฐเอเชียคือ 1 ต่อ 4 ดังนั้นหลังจากออกจากธนาคารถังเจิ้นจึงมีเงินฝากเพิ่มอีกเกือบ 5 ล้าน
เหมือนที่คำโบราณว่าไว้เลย ยิ่งอันตรายกำไรที่ได้ก็ยิ่งงาม แม้ว่าต่างโลกจะโคตรอันตราย แต่หากยอมเสียงชีวิตต่อสู้กับมันล่ะก็จะไม่มีทางขาดแคลนโอกาสร่ำรวย
หลังจากกลับถึงบ้านถังเจิ้นเอาดาบเหล็กจากที่ที่กอง ๆ อยู่เป็นจำนวนมากในโกดังใส่กล่องแล้วเทเลพอร์ตกลับไปนอกหุบเขา
เมื่อถังเจิ้นมาถึงค่ายเขาได้เห็นเด็กหนุ่มยืนเฝ้าอยู่บนก้อนหินอีกครั้ง หลังจากที่ถังเจิ้นโบกมือให้เด็กหนุ่มก็โบกมือตอบพร้อมกับหันกลับไปตะโกนบอกพวกในถ้ำ
ทุกคนในค่ายรีบออกมาพร้อมกันโดยมองที่กล่องในมือเขาด้วยสายตาแหลมคม เฉียนหลงจำได้ทันทีว่าห่อแบบนี้ใช้ห่อดาบ
เคล้ง!
ถังเจิ้นโยนกล่องนั้นลงพื้นเกิดเสียงโลหะกระทบกันดังลั่น
ภายใต้สายตาที่คาดหวังของทุกคนถังเจิ้นได้ดึงดาบออกมาจากกล่องก่อนจะตวัดใส่ม้านั่งไม้ข้าง ๆ ความคมกริบของมันมากพอจนทำให้ม้านั่งขาดเป็นสองท่อน!
“ดาบเหล็กคุณภาพสูงสิบเล่มนี่ทั้งหมดเป็นของนายแล้ว อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ล่ะ!”
หลังจากถังเจิ้นพูดกับไทสันจบเขาก็หันหลังเดินกลับไปพักผ่อน