บทที่ 14 แต่มันเป็นงานของข้า
หลังจากที่ราชาฟอสต์ออกคำสั่งให้ทำลายอาณาจักรแอช ทุกคนในห้องบัลลังก์ก็ถวายคำนับหรือโค้งคำนับแล้วออกไปเพื่อเตรียมการ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องบัลลังก์ซึ่งมียามประจำอยู่ที่ประตู เอลริคและเบลซกลับไปที่ซุ้มมังกรของพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ราชาสั่งให้พวกเขาไปทันทีท ขณะเดียวกัน ราชา, โอดิส และนายพลก็ออกจากห้องบัลลังก์เช่นกัน พวกเขาไปที่ห้องประชุมทัพ
เมื่อทุกคนไปถึงที่ห้อง ที่ปรึกษาคนอื่นๆของราชาฟอสต์ก็มารวมตัวกันที่นั่น และกำลังกางแผนที่ขนาดใหญ่บนโต๊ะกลาง ขณะที่ราชาและคนอื่นๆเดินเข้ามา ที่ปรึกษาก็รวมตัวกันคำนับราชาโดยพร้อมเพรียง หลังจากที่ทุกคนโค้งคำนับแล้ว พวกเขาก็กลับไปทำงานร่างแผนที่ต่อ
ด้วยแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางขนาดใหญ่ ราชาฟอสต์สั่งให้ทุกคนรวมตัวกันและนั่งลงรอบๆ เขานั่งที่ปลายโต๊ะด้านหนึ่งกับโอดิส และที่ปรึกษาคนอื่นๆทางขวาของเขา และหัวหน้านายพลทางซ้าย หลังจากที่ทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว สาวใช้ก็เสิร์ฟไวน์แดงรสอ่อนให้ทุกคน เมื่อเธอรับใช้พวกเขาทั้งหมดเสร็จแล้ว เธอก็ออกจากห้องพร้อมกับทหารยามที่ก้าวออกไปนอกประตูและล็อคมันไว้ข้างหลังพวกเขา องครักษ์หกคนที่ประจำการอยู่ที่ประตูทั้งสองด้านตามโถงทางเดินกลับไปที่ห้องบัลลังก์
ตอนนี้ห้องประชุมทัพได้ปิดตาย โอดิสเริ่มวางธงและตัวเลขเล็กๆลงบนแผนที่ ธงระบุตำแหน่งของอาณาจักรทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในทวีปฟาร์โก ในขณะที่ตัวเลขระบุตำแหน่ง จำนวน และประเภทของกองกำลังตามข้อมูลล่าสุด แม้ว่าสถานที่และจำนวนบางส่วนอาจผิดเพี้ยนไปเล็กน้อยสำหรับบางอาณาจักร แต่จำนวนและตำแหน่งของฟอสต์และแอชลงนั้นถูกต้อง เพราะหน่วยสอดแนมสองสามคนลอบเข้าไปในอาณาจักรแอชก่อนแล้ว เมื่อเชื่อว่าอาณาจักรแอชอยู่เบื้องหลังการลักพาตัวเจ้าหญิงอาลิส
นอกเสียจากว่าอาณาจักรแอชจะฉลาดพอที่จะส่งหน่วยทหารนอกเครื่องแบบไว้ในเมืองด้วยเหมือนกัน ปัจจุบันพวกเขามีอัศวินม้าเร็วสองร้อยคน อัศวินเดินเท้าสามร้อยคน อัศวินยศต่างๆหนึ่งพันคน และนักธนูเพียงเจ็ดสิบคน อาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ไม่สามารถซื้อม้าให้อัศวินทุกคนได้ด้วยซ้ำ กองทัพที่สามารถรวบรวมได้หากตัวเลขนั้นถูกต้องมีขนาดไม่ถึงหนึ่งในสามของกองทหารฟอสต์เพียงกองเดียวด้วย กองทหารของฟอสต์หนึ่งกองร้อยที่รู้จักกันทั่วไปมีทั้งหมดสามพันถึงหนึ่งหมื่นคน โดยรวมแล้วกองทัพของอาณาจักรฟอสต์มีมากกว่าหกแสนคน อัศวินมากฝีมือสองพันคนรับใช้ภายใต้กัปตันเดวิสเพียงคนเดียว มีกองทหารลับอีกสองกองที่อยู่ภายใต้คำสั่งโดยตรงของราชาฟอสต์ซึ่งไม่ได้รายงานให้ใครทราบ กองกำลังนี้ จำนวนและสถานะของพวกเขา มีเพียงราชาที่รู้ และมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์
กองทัพฟอสต์แบบใดๆก็ตาม สามารถบดขยี้อาณาจักรแอชได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแสดงพลังของราชาฟอสต์ ผู้ที่รวมตัวกันในห้องสงครามกำลังวางแผนที่จะใช้กองทัพเต็มรูปแบบ การแสดงพลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นการบังคับอาณาจักรแอชให้ฉุกคิดได้ แต่ยังเป็นการเตือนอาณาจักรอื่นที่มีความคิดจะช่วยอาณาจักรแอช ท้ายที่สุดแล้วอาณาจักรฟอสต์ที่กองทัพมีประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดนั้น คือกองทัพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีเพียงกองทหารลับและราชองครักษ์เท่านั้นที่จะไม่ส่งออหไป เพราะหากไม่เกิดเหตุฉุกเฉิน "กองกำลังพิเศษ" ของราชาฟอสต์จะไม่ถูกใช้อย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถป้องกันเมืองหลวงได้หากมีคนโจมตีในขณะที่กองทัพหลักกำลังบดขยี้อาณาจักรแอชเป็นผุยผง
โอดิสและหัวหน้านายพล Patton คิดแผนขึ้นมาว่า อัศวินภายใต้กัปตันเดวิสจะขี่ออกไปตามถนนสายหลักระหว่างเมืองหลวงของทั้งสองอาณาจักร ทำให้กองทัพแห่งอาณาจักรแอชคิดว่านี่คือทั้งหมดที่จะส่งไป ในขณะที่กองกำลังฟอสต์ที่เหลือจะมาจากทุกทิศทุกทางพร้อมๆกัน และเข้าล้อมอาณาจักร Ash ในอีกสองวันต่อมา จากนั้นกองทหารแต่ละกองจะส่งกองทหารหกร้อยคนไปยังหมู่บ้านหรือเมืองใหญ่แต่ละแห่งที่ผ่านไประหว่างทางเพื่อเข้าร่วมกับเดวิสที่เมืองหลวง หากไม่ส่งข่าวภายในสามวันหลังจากกองกำลังหลักมาถึงเมืองหลวงว่าราชกุมารอาลิสปลอดภัยมายังค่ายของกองทัพหรือกำลังเดินทางกลับไปยังอาณาจักรฟอสต์ กองทัพที่ส่งออกไปจะเริ่มเข้ายึดทันที ภายในสิ้นสัปดาห์ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในอาณาจักรแอชคือทุ่งเถ้าถ่านและประชากรที่ถูกกดขี่ หากเจ้าหญิงอาลิสไม่ได้อยู่เคียงข้างบิดาของเธอ
ด้วยแผนการณ์ที่กำหนดไว้และทุกคนเห็นพ้องต้องกันราชาฟอสต์สั่งให้ปลดล็อคประตูและให้ทุกคนออกไปก่อน ยกเว้นโอดิส, หัวหน้านายพลแพตตัน และกัปตันเดวิส เขาต้องการความคิดเห็นจากพวกเขาก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะส่งเอลริคและเบลซออกไปหรือไม่ ถ้าจะส่งพวกเขาไปก็ควรนำหน้าคนอื่นๆด้วยกัปตันเดวิส หรือไม่ก็เป็นกองหนุน หากจำเป็นจริงๆ
ณ ซุ้มมังกร
เอลริคกำลังเก็บดาบและชุดเกราะสำรอง เขาให้ช่างตีเหล็กในท้องถิ่นคนหนึ่งทำอะไหล่ให้เขาเผื่อไว้ เผื่อเขาทำชิ้นส่วนที่เขาได้รับเป็นของขวัญขณะออกลาดตระเวนเสียหาย ต้องขอบคุณการฝึกของกัปตันเดวิสที่เขาคิดเรื่องนี้ได้ หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เขาได้รับการสอนคือ ดาบหนึ่งเล่มก็เปรียบได้กับไม่มี ดาบสองเล่มก็เปรียบได้กับดาบเล่มเดียว และดาบสามเล่มก็เปรียบเหมือนดาบสองเล่ม โดยทั่วไปหมายความว่าในช่วงที่ร้อนระอุของการต่อสู้ อาวุธหนึ่งชิ้นอาจหลุดมือหรือแตกหักได้ ดังนั้นควรเตรียมพร้อมและพกสำรองไว้จะดีกว่า
เบลซติดตั้งอานม้าและชุดเกราะที่เอลริคขอให้เธอเรียบร้อยแล้ว มันดูทำให้เธอกลายเป็นรถถังต่อสู้หลักเวอร์ชันซาเนีย เอลริคบรรจุเนื้อตากแห้งลงในถุงอานม้าเพื่อเอาไว้เป็นเสบียงหากเขาไม่สามารถทานอาหารในค่ายของกองทัพหรือซื้ออาหารจากชาวบ้านได้ สิ่งที่เอลริคต้องเตรียมหากได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางคือคว้ากระเป๋าของเขาที่ติดกับหลังอานก่อนออกเดินทาง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งสองก็เข้านอนแม้ว่าจะยังเช้าอยู่ เผื่อว่าจะถูกสั่งให้ออกเดินทางกลางดึก ขณะที่เขาและเบลซรู้สึกสบายตัว ก็เสียงเคาะประตูหน้าซุ้มมังกรก็ดังขึ้น
หนึ่งในองครักษ์ของพระราชามาแจ้งว่า “ผู้พิทักษ์เอลริค เวลเลน โปรดตามฉันไปที่ห้องสงครามของพระราชา” สมาชิกราชองครักษ์กล่าว
“อีกสักพักเดี๋ยวเราจะออกไปแล้ว” เอลริคพูดขณะที่เขาลุกจากเตียง เอลริคเดินไปที่ประตูโดยมีเบลซอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเขาเปิดประตู เขาและราชองครักษ์ก็ถวายคำนับอัศวินแก่กันและกัน จากนั้นราชองครักษ์ก็พาทั้งสองคนไปที่ห้องประชุมสงคราม
เมื่อเข้ามาเอลริคก็พูดขึ้นว่า"รายงานตามคำสั่งฝ่าบาท" ตอนนี้เขาโค้งคำนับเหมือนเป็นธรรมเนียมของห้องสงครามที่จะคำนับเมื่อราชาเข้ามาเท่านั้น ไม่ใช่มารายงาน
“เอลริค เราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สั่งให้เจ้าขี่นำหน้ากองทัพไปยังอาณาจักรแอชหรือร่วมกับกองกำลังหลัก เจ้าและเบลซจะต้องอยู่ที่นี่และลาดตระเวนอาณาจักรเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากกองกำลังศัตรูด้วยความสามารถของคุณ” ราชาฟอสต์กล่าว
“แต่ แต่มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องเจ้าหญิงอาลิสสิ” เอลริคกล่าวตอบ “หรือข้าไม่ควรเผาอาณาจักรแห่งแอชให้เป็นเถ้าถ่านจนกว่าพวกเขาจะส่งคืนนางหรอ”
“ไม่ เจ้ายังไม่เข้าใจ ถ้าเจ้าแก่กว่านี้ เราไม่ลังเลเลยที่จะส่งเจ้าออกไป เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องการให้เจ้าทำตามหน้าที่ของเจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้ายังเด็ก และในตอนแรกเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์ของเจ้าหญิงส่วนใหญ่ เพราะข้อเท็จจริงนี้ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าสามารถปกป้องเจ้าหญิงอาลิสได้จริงในสถานการณ์ส่วนใหญ่แม้ว่าจะอายุเพียงสิบขวบก็ตาม แต่เราคงเป็นราชาที่โหดเหี้ยมมากถึงขนาดคิดส่งเด็กไปรบ เจ้าและเบลซยังเป็นคนสำคัญต่อเจ้าหญิง ดังนั้น ตัวเราและอาณาจักรเสี่ยงที่จะสูญเสียไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าคนใดคนหนึ่ง เจ้าหญิงอาลิสจะไม่มีวันยกโทษให้ข้าแน่นอน” ราชาฟอสต์กล่าว
เอลริคบอกว่าเขาเข้าใจคำพูดของพระองค์ ขณะที่เขากำลังจะจากไป เบลซตะคอกใส่กราชาและจุดไฟใส่เก้าอี้ก่อนที่จะจากไปเช่นกัน จริงๆแล้ว เบลซแทบจะไม่พอดีกับห้องที่มีขนาดสูงเท่าเธอ หลังจากที่ทั้งสองจากไป โอดิสก็พูดขึ้น "พระองค์คงรู้ว่าเขาอาจจะพยายามแอบออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะยัดถุงอานที่เต็มไปด้วยอาหารและกำลังรอคำสั่งจากพระองค์เท่านั้น"
“เราควรพยายามหยุดเขาจากการทำเช่นนั้นหรือไม่”
“ฝ่าบาท พระองค์มิได้ทรงสั่งให้เขาอยู่ตรวจตราทั่วราชอาณาจักรเพื่อคุ้มกันภัยหรือ?”
“โอดิส นั่นเป็นคำพูดที่เราพูด แต่เจ้าควรนับวันของเจ้าในฐานะที่ปรึกษาหลักของฉันด้วย”
"หมายความว่าไงหรือฝ่าบาท?"
“ที่เราพูดคือเด็กคนนั้นอาจจะเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของเราดีกว่าเจ้าน่ะ ความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังคำพูดของเราคือ เราในฐานะกษัตริย์ไม่สามารถสั่งให้เด็กอายุสิบขวบไปรบได้ การทำเช่นนั้นจะทำให้เราจะไม่ต่างกับสัตว์ร้าย ไม่เหมาะที่จะเป็นราชา เราไม่เคยบอกว่าจะห้ามไม่ให้เขาไป เรายังพูดไปไกลถึงขนาดที่เขาสามารถปกป้องเธอได้ หมายความว่าเขากับเบลซแข็งแกร่งพอที่จะช่วยเหลือเธอหรืออย่างน้อยก็มีส่วนร่วมเข้าช่วยเหลือของเธอ หากเขาอยู่ต่อ เขาก็แค่พิสูจน์ความภักดีของเขาโดยทำตามคำสั่ง แม้ว่าทุกสายใยในตัวเขาจะบอกว่าอย่าทำก็ตาม”
“ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว พระองค์บอกเขาในลักษณะที่คนอื่นไม่เข้าใจ และถ้าเขากลัว เขาก็ใจะออกไปโดยไม่ทำให้เขาอับอาย พระองค์ยังบอกให้เขาปลอดภัยและทำเกินขอบเขตให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย คือ ถ้าเขาไม่สามารถช่วยเธอด้วยตัวเขาเองให้คอยสอดส่องไว้จนกว่ากองทัพจะมาหนุนหลังเขา”
“ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจที่เราพูดโดยไม่บอก เจ้ากำลังบอกว่ามีความนัยซ่อนอยู่ งานของเจ้าปลอดภัยแล้วสำหรับตอนนี้”
“งั้นขอเดาว่าคืนนี้เขาจะ'ออกตามหา'ใช่หรืไหม?
“ใช่ เราเกือบจะเสียใจแทนผู้คนในอาณาจักรแอช เพราะด้วยวัยของเขา เขาอาจไม่ยอมไว้ชีวิตพวกเขาจากความโกรธแค้นของเขาได้ สำหรับเจ้าชายที่สามนั้น หวังว่าชิ้นส่วนเขาจะหมดลงก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองอยู่ในท้องมังกรที่กำลังพิโรธนะ”
"เราจะเขียนประกาศขอโทษต่อผู้คนในอาณาจักรแอช และเสนอจะช่วยฝังคนตายของพวกเขาด้วย" โอดิสกล่าวเสริม
คืนนั้นประมาณตีสอง เอลริคและเบลซ"แอบ"ออกจากปราสาท เขาไม่ล้มเลิกที่จะพาเจ้าหญิงอาลิสกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาสังเกตว่าคืนนี้ขาดผู้คุ้มกัน หลังจากออกจากเมืองหลวง เอลริคก็สั่งให้เบลซวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ความมืดของกลางคืนไม่มีความหมายต่อสายตาของมังกร แม้ว่าเบลซจะไม่ใช่มังกรขนาดใหญ่ในตอนนี้ แต่ความเร็วในการวิ่งของเธอก็ยังเร็วกว่าม้าทุกตัวถึงหลายเท่า ถ้าเธอวิ่งโดยไม่หยุด ทั้งสองสามารถไปถึงอาณาจักรแอชได้ไม่นานหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นและถึงประตูปราสาทของพวกเขาทันเวลาเพื่อถามว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเที่ยง แม้ว่าเขาจะรีบเร่ง แต่ก็ยังทำให้แน่ใจว่าจะได้เจอกับโจรที่เขาผ่านตามถนน