บทที่ 10 เจ้าหญิงและบ่อน้ำ
วันถัดมา เจ้าหญิงอาลิส, เอลริค และเบลซ วิ่งเล่นรอบๆลาน จุดเดียวกับที่เอลริคพบเบลซเมื่อวันก่อน เจ้าหญิงอาลิสขอให้เอลริคพาขึ้นต้นไม้ที่เขาพบเบลซ ที่ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ อาลิสโบกมือให้ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วพูดว่า
"ให้ใครก็ได้เอาริบบิ้นสีแดงมาผูกรอบต้นไม้นี้ให้ฉันที ฉันอยากจะทำเครื่องหมายไว้เพื่อให้เป็นหมุดหมายว่านี่คือตำแหน่งที่พบเบลซไว้"
“ข้าจะไปหามาให้ทันที องค์หญิงราชกุมารี” ทหารยามตอบออกไป
หลังจากนั้น สาวรับใช้นำริบบิ้นมาให้เจ้าหญิง เธอก็ผูกไว้รอบต้นไม้และให้สาวรับใช้ทำตำแหน่งจดจำไว้ สาวรับใช้ทำตามที่เธอบอก แล้วเจ้าหญิงก็กลับไปเล่นต่อ หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเธอก็กล้าที่จะถามว่า
"จะดีไหมถ้าฉันลองเลี้ยงเธอ"
“ใช่ มันน่าจะโอเค ฉันคิดว่าเบลซชอบเธอนะ”
เอลริคบอกกับเธอ ตอนนี้เขาบอกว่าไม่เป็นไร เจ้าหญิงอาลิสค่อยๆเดินไปหาเบลซและเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอ แต่ก่อนที่มือของเจ้าหญิงอาลิสจะไปถึง ลิ้นแฉกเปียกยาวจ้องเลียฝ่ามือของเธอ กิริยานี้ทำให้เจ้าหญิงอาลิสดีใจราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่เธอเป็น และรีบเข้าไปกอดรอบคอเบลซ เบลซตอบสนองด้วยการเลียเธอไปทั่วใบหน้า นี่ทำให้เอลริคบ่นว่า
"อะไรเนี่ย ฉันไม่เคยโดนเลียด้วยซ้ำ ขอบคุณที่เล่นกับเธอนะ เธอลองลูบหัวเธอและกอดเธอสิ"
ราวกับว่าเข้าใจสิ่งที่เอลริคพูดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เบลซก็วิ่งมาชนเขาและเริ่มเลียเอลริคไปทั่วใบหน้าด้วยเหมือนกันท่าทางตื่นเต้น เบลซแลบลิ้นของเธอเลียปากของเขา โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกำลังขโมยจูบ
“โอเค ฉันยกโทษให้เธอที่ไม่ได้ขอบคุณฉันก่อนหน้านี้ ฉันเดาว่าเธอคงแค่กลัวหรืออะไรซักอย่าง เธอช่วยฉันขึ้นมาหน่อย รู้สึกเหมือนก้อนหินมาทิ่มหลังฉัน”
เอลริคพูดอย่างลำบากในระหว่าง 'จูบ' หลังจากเอลริคลุกขึ้น เจ้าหญิงอาลิสก็บอกกับเขาในขณะที่กลั้นขำว่า
"เบลซขโมยจูบแรกของเธอไป ฉันได้ยินแด๊ดดี้คุยกับสาวใช้คนหนึ่งในปราสาทว่า'จูบแรก'นั้นสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหญิงสาว และถามอีกด้วยว่าใครคือผู้โชคดีคนนั้น ฉันจะไปบอกท่านพ่อ เธอรู้เนอะ เขาคือพระราชา”
หลังจากพูดจบเธอก็วิ่งไปที่ห้องบัลลังก์โดยมีเสียงหัวเราะเยาะตลอดทาง ขณะที่ผู้คุมและเอลริคไล่ตามเธอ และเบลซก็ไล่ตามเอลริค มันเป็นสิ่งที่เตือนคุณว่าเธอเป็นเพียงเด็กหญิงอายุสามขวบ มันง่ายสำหรับทุกคนรอบๆ เจ้าหญิงอาลิสที่จะลืมอายุที่แท้จริงของเธอ เพราะเธอทำตัวแก่กว่าเกือบตลอดเวลา ด้วยท่าทางที่แข็งทื่อเป็นทางการในการแสดงของเธอ เธอเริ่มวางตัวแบบนี้โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่เธอควรทำ
เวลาต่อมา เธออยู่บนตักของราชาและเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับวันของเธอและเกิดอะไรขึ้น เมื่อเอลริคหน้าแดงมาที่ห้องบัลลังก์แล้วตะโกนขอร้องว่า
"ไม่ ได้โปรดอย่าบอกเขา ฉันจะให้ขนมครึ่งหนึ่งแก่เธอ ฉันนำสิ่งที่เบลล์คนชราทำให้ฉันมาด้วย"
แต่โชคร้ายสำหรับเอลริค ราชาฟอสต์กล่าวว่า
"สายไปละ เธอบอกเราแล้วว่าเจ้ามี 'จูบแรก'ไปแล้ว"
เมื่อได้ยินเข้า โอดิสกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตะโกนว่า
"เจ้าหนู! ข้ารู้ว่าเจ้ากล้าหาญ แต่การจะจุมพิตเจ้าหญิงมกุฎราชกุมารีซึ่งมีอายุเพียงสามขวบนั้นยังเกินวัยไปนัก เจ้าจะโชคดีมากถ้ายามของราชาไม่ขังเจ้าไว้ในหอคอยสักสัปดาห์หนึ่ง!"
ราชาฟอสท์หัวเราะอย่างชอบใจเมื่อโอดิสระเบิดอารมณ์ออกมาและพูดว่า
"ใจเย็นๆก่อนโอดิส จูบแรกของเขาถูกมังกรขโมยไป ไม่ใช่เจ้าหญิง ให้ตายเถอะ เราชอบเด็กผู้ชายคนนี้จริงๆ และเด็กพวกนี้นะ ต่อให้เขาจูบอาลิสเจ้าหญิงตัวน้อยของฉัน ก็ไม่ขังเขาไว้นานหรอก อย่าตีตนไปก่อนไข้เลย"
“อืม ข้าได้ยินก็ดีไป” โอดิสกล่าวก่อนจะค่อยๆนั่งลง
“เดี๋ยวก่อน เรายังพูดไม่จบ” ราชาฟอสท์กล่าว เขาพูดต่อ "อย่างมากที่สุดเราจะให้เขาฝึกทั้งกลางวันและกลางคืนจนกว่าเขาจะแข็งแรงพอที่จะเป็นฮีโร่ที่คู่ควรกับเจ้าหญิงของฉัน หรือ'ถ้า'บังเอิญเขาจะขึ้นมา'เป็น'เจ้าชายได้ เราจะหมั้นหมายพวกเขา" พระราชาหัวเราะเล็กน้อยหลังจากพูดเรื่องนี้
โอดิสพูดว่า"ก็อย่างนี้แหละ ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ยังไงซะ เอลริค เจ้าพาเบลซไปที่ห้องของคุณและทำความสะอาดตัวเองซะ ในอีกไม่ถึงชั่วโมงจะมีงานเลี้ยงต้อนรับข้าที่กลับมายังปราสาท อีกทั้งราชาจะประกาศว่าเจ้าพบมังกรตัวแรกในรอบหลายร้อยปีในฟาร์โก ไปได้แล้ว และหนึ่งในผู้พิทักษ์จะคุ้มกันเจ้าเพื่อไม่ให้เจ้าหลงทางหรือมีปัญหา”
และราชาฟอสต์ยังบอกให้อาลิสไปที่ห้องของเธอเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย
คืนนั้นงานเลี้ยงเล็กๆก็ได้จัดขึ้น โอดิสได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการในการกลับมาทำหน้าที่ของเขา และราชาฟอสต์ประกาศเกี่ยวกับการที่เอลริคค้นพบเบลซและราชอาณาจักรจะช่วยเลี้ยงดูเธอ ด้วยความหวังว่าเบลซจะเติบโตเป็นผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังสำหรับราชอาณาจักร พระองค์ทำสิ่งนี้เพราะมียาม แม่บ้าน และเจ้าหน้าที่ปราสาทจำนวนมากที่พบเห็นเธอแล้ว จึงยากที่จะเก็บเป็นความลับ เนื่องจากราคาของสัตว์ดังมันสามารถขายได้ และจะทำให้แม้แต่ผู้ที่ภักดีต่อเขาส่วนใหญ่ก็ยินดีจ่ายด้วยความโล�
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เอลริคและเบลซที่ได้นอนพักอยู่ในห้องของเขา เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตใหม่ของพวกเขาในปราสาท ในตอนเช้าโอดิสจะให้บทเรียนเล็กๆน้อยๆแก่เอลริคในช่วงอาหารเช้าก่อนที่เขาจะทำหน้าที่ที่ปรึกษาของกษัตริย์ จากนั้นเอลริคจะไปเล่นในบริเวณพระราชวังโดยมีเจ้าหญิงอาลิสตามมาด้วยหลังจากเรียนประจำวันเสร็จแล้ว เธอเรียนได้ไม่นานเนื่องจากอายุของเธอ ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของเธอจึงหมดไปกับการเล่นกับเอลริคภายใต้การจับตามองขององครักษ์ส่วนตัวของเธอ
วันหนึ่งราวๆเที่ยงวัน เด็กสองคนกับลูกมังกรกำลังเล่นอยู่ในสนามหญ้าที่มีบ่อน้ำเก่า มันแห้งไปเมื่อหลายปีก่อนและมีไม้วางปิดวางอยู่เหนือปากบ่อและถังถูกถอดออกจากเชือกและล้อเลื่อนที่ยังวางอยู่ อาลิสกำลังปีนขึ้นไปบนขอบบ่อแล้วหินก็หลุดออกมาทำให้เธอตกลงไปกระแทกกับไม้ ความเก่าของไม้มันเลยแตกกระจายพร้อมเสียงกรีดร้องของเธอจนหล่นลงข้างในบ่อ เธอตกลงไปในบ่อน้ำ โชคดีที่ขาซ้ายของเธอไปติดอยู่กับเชือกที่ยังแขวนอยู่ สิ่งนี้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงอาลิสจากการตกลงไปจนกระแทกพื้น ในขณะที่มันชะลอการตกของเธอลงเมื่อปมในเชือกเริ่มคลายตัว
โดยไม่คาดคิด เอลริคที่เบลซเกาะอยู่บนหลังของเขาในเวลานั้นพุ่งเข้ามาหาเธอไม่ทันก่อนที่ยามที่เฝ้าดูทั้งสองคนจะรู้ตัว อย่างไรก็ตาม เขาเอื้อมมือไปจับเชือกได้ทันที ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งเอื้อมไปจับหลังเบลซไม่ให้ตกลงไปด้วย แต่กรงเล็บของเบลซทำให้เขารู้ว่าเธอสามารถเกาะอยู่ได้ด้วยตัวเธอเองอย่างรวดเร็ว เล็บของเธอทำให้เขาเจ็บเล็กน้อยขณะที่มันจิกไปในอกของเขา แต่เขาก็สามารถดันมันไปได้โดยไม่ต้องจับเบลซ เอลริคก็เอื้อมมืออีกข้างไปจับเชือกและใช้มือทั้งสองดึงตัวเองและเบลซที่อยู่บนหลังให้ค่อยๆลงไป
ขณะที่เขาไต่เชือกลงมา เอลริคก็จำบทเรียนเมื่อเช้านี้ได้ มันเกี่ยวกับการที่มังกรประเภทต่างๆ สามารถหายใจธาตุต่างๆ เช่น ไฟ สายฟ้า น้ำ หรือน้ำแข็งได้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เอลริคก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเบลซว่า
"ข้าขอให้เจ้าอายุมากพอที่จะมีลมหายใจดังธาตุที่โอดิสพูดถึงเมื่อเช้านี้ การที่เจ้าหายใจเป็นไฟได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำให้บ่อน้ำนี้สว่างขึ้น ดังนั้น ข้าจะสามารถมองเห็นเธอได้ในที่มืดๆนี้"
ดูเหมือนมันตอบสนองต่อสิ่งที่เอลริคพูด เบลซเริ่มพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อหายใจออกมา แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอก็ตาม เนื่องจากเธอเป็นเพียงลูกมังกรเท่านั้น
แรกๆไม่มีอะไรนอกจากอากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นอีกสองสามครั้งก็เกิดควันดำพวยพุ่งออกมาโดยมองไม่เห็นในความมืดของบ่อน้ำ จนความพยายามครั้งที่สิบสอง เปลวไฟเล็กๆ พุ่งออกมาจากปากของเบลซ มันไม่ใหญ่มาก แต่ก็ใหญ่พอที่จะทำให้บริเวณรอบๆ ทั้งสองคนสว่างขึ้นได้ การทำอย่างต่อเนื่องของเบลซทำให้เปลวไฟดำเนินต่อไป สิ่งนี้ทำให้เอลริครู้ตัวเล็กน้อยและเริ่มมองไปรอบๆ เขามองเห็นเจ้าหญิงอาลิสที่เท้าของเธอยังติดอยู่กับเชือกอยู่ห่างจากก้นบ่อประมาณหนึ่งฟุต
เอลริคไต่เชือกลงมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เบลซพยายามต่อไปเพื่อให้เปลวไฟส่องมาทางเขา เขาลงไปถึงก้นบ่อและยืนอยู่ในบ่อน้ำโดยปล่อยมือจากเชือกที่ไว้ปีนขึ้น เขาเอื้อมมือไปปลดขาของเจ้าหญิงอาลิสที่หมดสติ หลังจากปลดเชือกออกจากตัวเธอได้ เขาวางเธอไว้ที่ก้นบ่อน้ำเพื่อดูว่าเธอบาดเจ็บหรือไม่ ต้องขอบคุณเปลวเพลิงที่ลุกโชนของเบลซตลอดเวลา เอลริคเห็นว่าเธอไม่เป็นไรยกเว้นแค่หมดสติเท่านั้น
เอลริคเริ่มตะโกนบอกยามที่รีบเข้ามาและกำลังยืนอยู่รอบ ๆ บ่อน้ำโดยพยายามหาวิธีช่วยเจ้าหญิงและเขาเอง พวกเขาได้ยินเอลริคตะโกนว่า
"ข้าพบเธอแล้ว เจ้าหญิงไม่เป็นไร เธอเพิ่งสลบจากอาการตกใจ ข้าจะพยายามปลุกเธอในขณะที่ผูกเชือกรอบเอวของเธอให้ และค่อยดึงเธอขึ้นเมื่อฉันบอกให้ ดึง! ล่ะ"
เขาเขย่าเธอเบาๆขณะที่เรียกเธอด้วย ประมาณสองสามรอบ เจ้าหญิงอาลิสก็ลืมตาขึ้น ด้วยความงุนงงเล็กน้อย ใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการพูดว่า
“เธอกระโจนเข้ามาช่วยฉัน และเบลซล่ะ สามารถหายใจเป็นไฟได้หรอ”
"ใช่ และฉันดีใจที่เห็นว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ เอาล่ะ ช่วยพากันออกจากบ่อน้ำนี้เถอะ"
เขาจัดการผูกเชือกรอบตัวเธอในขณะที่คอยดึงสติเธอเพื่อให้เธอตื่น เขาตะโกน"ดึง!!!"ไปยังด้านบนของบ่อ นอกจากนี้เขายังบอกเบลซว่าทำได้ดีมากๆและตอนนี้เธอหยุดพ่นไฟได้แล้ว เพราะเขาเห็นได้ว่ามันยากมากสำหรับเธอจริงๆ
เหล่าผู้คุมดึงเจ้าหญิงอาลิสขึ้นสู่ที่ปลอดภัย และปลดเชือกที่พันรอบเอวของเธอออก แล้วโยนมันกลับไปหาเอลริคและเบลซ เมื่อเอลริคและเบลซกลับไปที่ด้านบนของบ่อน้ำ ราชาฟอสต์และโอดิสยืนอยู่ข้างๆ โดยมียามวิ่งมาบอกพวกเขาเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงที่เอลริคกระโดดตามเธอไป ขณะที่เอลริคปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำ ผู้คุมทุกคนต่างโห่ร้องพร้อมคำนับเขา
"ขอบคุณฮีโร่หนุ่มเอลริคและมังกรเบลซผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยองค์หญิงราชกุมารีอาลิสของเรา"
ขณะที่เอลริคปลดเชือกออกจากตัว ราชาฟอสต์กล่าวว่า
"เขาเป็นฮีโร่วัยเยาว์อย่างแท้จริง และเบลซจะได้รับรางวัลสำหรับการช่วยเหลือเจ้าหญิงมกุฎราชกุมารีของเรา"
“เอลริก เวลเลนและเบลซ เราต้องการให้เธอไปรายงานตัวที่ห้องบัลลังก์ภายในหนึ่งชั่วโมง ถือว่าเป็นหมายเรียกอย่างเป็นทางการ”
“ครับ ฝ่าบาท” เอลริคตอบกลับ เบลซยังส่งเสียงคำรามสั้น ๆ เพื่อเป็นการรับทราบ
“ตอนนี้ไปชำระร่างกายให้สะอาดและสวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดและดาบด้วยถ้าเธอมีนะ และผู้คุม บันทึกรายงานนี้ให้ละเอียด และส่งข่าวไปที่ครัวเพื่อเตรียมงานเลี้ยงใหญ่สำหรับเย็นนี้” พระราชาตรัสขึ้น
เมื่อได้รับสั่งจากพระราชาแล้ว ทุกคนก็ทำตามที่ได้รับสั่ง กษัตริย์ยังให้สาวใช้อุ้มเจ้าหญิงไปที่ห้องของเธอเพื่อพักผ่อนจนถึงงานเลี้ยง เอลริคไปที่ห้องของเขาและชำระล้างเลือดแห้งออกจากหลังของเขาจากจุดที่กรงเล็บของเบลซจิกเข้าไป เขายังล้างตัวเบลซด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงเล็กน้อยเนื่องจากเธอไม่ชอบเปียกน้ำเท่าไร เขาต้องขอโทษสาวใช้ที่รับผิดชอบในการทำความสะอาดห้องของเขาเมื่อเขาเห็นเธอเข้ามาด้วย หลังจากอาบน้ำเขาก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มันเป็นชุดหนังสีดำพร้อมหมวกและเข็มขัดดาบที่เข้าชุดกัน
เอลริคและเบลซมุ่งหน้าไปยังห้องบัลลังก์ตามคำสั่งที่มาถึงตรงเวลาพอดี ขณะที่ผู้คุมเปิดประตูให้พวกเขา และหนึ่งในผู้คุมก็ประกาศว่า 'เอลริคและเบลซสหายมังกรผู้ยิ่งใหญ่ของเขามาถึงแล้ว' เอลริคเดินไปที่ใจกลางห้องบัลลังก์โดยมีเบลซอยู่ข้างๆ เมื่อถึงจุดศูนย์กลางห้อง เขาโค้งคำนับ โดยเบลซก็ทำเช่นเดียวกันอย่างน่าประหลาดใจ ในขณะที่ยังคงโค้งคำนับ เอลริคพูดเสียงดัง
"เอลริคและเบลซมาเข้าเฝ้าตามคำสั่งของฝ่าบาท"
"ลุกขึ้นเถิด ฮีโร่หนุ่ม และเข้าใกล้เราซิ" ราชาฟอสต์กล่าว
เอลริคลุกขึ้นและเดินเข้าใกล้บัลลังก์ของกษัตริย์โดยหยุดห่างออกไปประมาณหนึ่งฟุต
"เอลริก เวลเลน เจ้ามาที่นี่โดยได้รับฉายาว่า 'สหายคนสนิทและผู้พิทักษ์ของเจ้าหญิงอาลิส ฟอสต์' เจ้าจะได้รับการฝึกการต่อสู้จากหัวหน้าองครักษ์และเข้าร่วมบทเรียนเกี่ยวกับมารยาทของราชวงศ์ในเวลาเดียวกันกับเจ้าหญิง เพื่อช่วยเหลือเจ้าในการทำหน้าที่ของเจ้สให้สำเร็จ เบลซจะได้รับฉายา: Light Bringer(ผู้นำแสง) เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับเธอสองคน ป้อมปราการของมังกรจะถูกสร้างขึ้นที่นี่ในบริเวณปราสาท ที่จะมาเป็นบ้านของเจ้าเมื่อสร้างเสร็จและได้มีการเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้า"
โอดิสซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังกษัตริย์มีสีหน้าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
เย็นวันนั้นในโถงจัดเลี้ยง มีงานเลี้ยงใหญ่โดยมีขุนนางทั้งหมดของฟอสต์มาร่วมงานด้วย เอลริคและเบลซได้นั่งทางขวาและซ้ายของเจ้าหญิงอาลิสตามลำดับ โดยทางขวาของเอลริค เธอนั่งกับราชาฟอสต์ในงานฉลองตำแหน่งของพวกเขาที่ประกาศพร้อมกับสิ่งที่พวกเขาทำมา
ในตอนท้ายของงานเลี้ยง เจ้าหญิงอาลิสมอบกริชสีทองอันเล็กให้เอลริคและจุมพิตที่แก้ม ซึ่งพระราชาผู้เป็นบิดาของเธอและโอดิสได้กล่าวว่าเหมาะสมแล้ว