ตอนที่ 428 กลับบ้าน
ตอนที่ 428 กลับบ้าน
หลังจากที่รีบออกเดินทางมาจักจั่นขาวกับเซียวรั่วหยูก็ได้พบกับหงส์แดงและหยานหยานผู้ซึ่งเป็นสาวใช้ยืนข้างกายที่รออยู่ตรงประตู
“สวัสดีค่ะพี่หงส์แดง” จักจั่นขาวกล่าวทักทายด้วยความเคารพ
คิ้วของหงส์แดงเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาของเธอจับจ้องมองไปยังหน้าอกของจักจั่นขาวที่เริ่มนูนออกมาตามช่วงวัยที่กำลังเติบโต
จักจั่นขาวรู้สึกแปลก ๆ กับแววตาของหงส์แดง แต่เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะสำหรับเธอหงส์แดงเป็นเหมือนกับพี่สาวแท้ ๆ ที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน เธอจึงไม่คิดว่าแววตานั้นมันจะมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างมากมาย
อย่างไรก็ตามหงส์แดงกลับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ และคิดว่าในเวลาไม่ช้าก็เร็วสาวงามทั้งสองคนนี้ก็คงจะเติบโตขึ้นเป็นลูกนกในกรงทองของเธอ
“เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ท่านแม่รอพวกเราอยู่” จักจั่นขาวกล่าว
หงส์แดงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในห้องพร้อมกับจักจั่นขาว โดยปล่อยให้หยานหยานกับเซียวรั่วหยูรออยู่ด้านนอก
ภายในห้องมีบรรยากาศค่อนข้างสลัวและสิ่งตกแต่งภายในต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสีชมพู นอกจากนี้มันยังมีกลิ่นหอมชวนเวียนหัวตลบอบอวลในอากาศ ซึ่งสามารถเร่งการหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมาได้
จักจั่นขาวขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเธอไม่ชอบกลิ่นหอมในห้องนี้เลย เนื่องจากมันเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างจะฉุนเกินไปเมื่อเทียบกับกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกลิลลี่ในห้องของเธอ
กลางห้องถูกตั้งไว้ด้วยเตียงกลมขนาดใหญ่และมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่หลังม่านสีชมพู แล้วถึงแม้ว่าม่านนี้จะทำให้คนนอกมองเห็นหน้าตาของเธอไม่ได้อย่างชัดเจน แต่มันก็พอจะเผยให้เห็นรูปร่างโค้งเว้าของผู้หญิงหลังม่านได้ลาง ๆ
“สวัสดีค่ะท่านแม่” ทั้งจักจั่นขาวและหงส์แดงคุกเข่าลงข้างเตียงพร้อมกับก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพ
ผู้หญิงบนเตียงลุกขึ้นมาเผยให้เห็นว่าใบหน้าของเธอได้สวมหน้ากากเอาไว้ แล้วเธอก็โบกมือเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ทั้งสองคนลุกขึ้นมายืนได้
“พวกเราอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว มันถึงเวลาที่เราจะต้องกลับไปแล้ว หงส์แดง, จักจั่นขาวพวกลูกต้องคอยปกป้องในระหว่างที่แม่เปิดประตูมิติ ตอนนี้กลับไปเตรียมตัวได้แล้ว” ผู้หญิงบนเตียงพูดขึ้นมาเบา ๆ
คำสั่งนี้ทำให้จักจั่นขาวชะงักไปเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดเธอก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับความรัก เธอจึงยังไม่อยากกลับไปยังสถานที่ที่พวกเธอจากมา เพราะถ้าหากว่าเธอกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นแล้วเธอก็อาจจะไม่สามารถหาคำตอบในเรื่องนี้ได้อีกเลย
“ท่านแม่พันธมิตรมนุษย์และเราต่างก็ล้วนแล้วแต่มีต้นกำเนิดจากจุดเดียวกัน ตอนนี้พันธมิตรกำลังถูกรุกรานอย่างหนัก และถ้าหากพวกเรากลับไปแบบนี้หนูก็เกรงว่า…” จักจั่นขาวกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“สักวันความอ่อนไหวจะกลับมาทำลายลูกในอนาคต จำเอาไว้ว่าในสังคมปลาใหญ่กินปลาเล็กเราไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับพันธมิตรอีกต่อไป และถึงแม้ว่าพันธมิตรจะถูกทำลายโดยเซิร์กจริง ๆ แต่เรื่องนี้มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา แล้วถ้าหากว่าเรายื่นมือให้ความช่วยเหลือพันธมิตร มันย่อมเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาอย่างแน่นอน”
“แม่ไม่สามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบในเรื่องนั้นได้ ดังนั้นกลับไปเตรียมตัวซะแล้วพวกเราจะออกเดินทางในอีก 12 ชั่วโมงหลังจากนี้” หญิงบนเตียงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ท่านแม่พวกเราเข้าใจแล้ว พูดตามตรงว่าครั้งนี้เราจากบ้านมานานเกินไปและหนูก็เริ่มคิดถึงบ้านของพวกเราแล้ว” หงส์แดงกล่าวพร้อมกับมองไปทางจักจั่นขาวด้วยรอยยิ้ม
“จักจั่นขาวลูกต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากหงส์แดงบ้างนะ ไม่อย่างนั้นตัวลูกก็คงจะโง่เขลามากเกินไป” หญิงบนเตียงกล่าว
คำตำหนินี้ทำให้จักจั่นขาวแอบรู้สึกผิดอยู่ภายในใจ แล้วเธอก็ทำได้เพียงแต่พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังเหมือนในยามปกติที่เธอมักจะทำอยู่เสมอ
หลังออกจากห้องหงส์แดงก็แอบบีบก้นของจักจั่นขาวและกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เชื่อฟังคำพูดของแม่แล้วกลับไปดี ๆ จะดีกว่า เธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้สาวน้อยน่ารักราวกับดอกไม้ไปแบบนี้ สาวน้อยพวกนี้น่ารักกว่าพวกผู้ชายเป็นไหน ๆ”
เซียวรั่วหยูที่อยู่ใกล้ ๆ รีบก้มหน้าลงอย่างกะทันหัน เพราะสาวน้อยน่ารักที่หงส์แดงพูดถึงย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากตัวเธอเอง
จักจั่นขาวไม่พูดจาตอบโต้อะไรกลับไปแล้วเธอก็รีบพาเซียวรั่วหยูกลับไปที่ห้องของเธอ จากนั้นเธอก็เดินไปหยุดอยู่ข้างบานหน้าต่างขนาดใหญ่ พร้อมกับจ้องมองไปยังพื้นที่อันห่างไกลด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“ท่านหญิงพวกเรากำลังจะกลับไปที่บ้านที่คุณเคยพูดถึงเอาไว้แล้วใช่ไหม?” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า เพราะคำพูดของหงส์แดงทำให้เธอตีความได้เพียงแค่แบบเดียวเท่านั้น
“จริง ๆ แล้วบ้านก็เป็นสถานที่ที่ไม่เลวนัก เพียงแต่มันไม่ใช่สถานที่ที่คึกคักและมีชีวิตชีวาเหมือนพันธมิตรมนุษย์เท่านั้นเอง” จักจั่นขาวกล่าวพร้อมกับใช้มือเช็ดน้ำตาเซียวรั่วหยูด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นเซียวรั่วหยูก็โผเข้าไปกอดจักจั่นขาวพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างหนักโดยไม่สนใจถึงสถานะของเธอเลย โดยเธอได้ฝังหัวของเธอเอาไว้บนไหล่และส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมาอย่างต่อเนื่อง
จักจั่นขาวชะงักไปชั่วขณะแต่เธอก็รีบใช้มือลูบหลังของเซียวรั่วหยูเบา ๆ เพราะท้ายที่สุดในอนาคตพวกเธอก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นโชคชะตาที่พวกเธอจะต้องพบเจอ
“ท่านหญิง เสี่ยวหยูยังไม่อยากไปบ้าน ตอนนี้พันธมิตรกำลังถูกยึดครองโดยพวกเซิร์ก แล้วฉันก็ยังไม่รู้ว่าครอบครัวของฉันเป็นยังไงบ้าง? นอกจากนี้พี่ชายเซี่ยเฟยยังกำลังต่อสู้อยู่ในดินแดนเซิร์กเพียงลำพัง เสี่ยวหยูยังไม่สามารถจากไปทั้ง ๆ ที่ยังเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ได้”
แม้ว่าจักจั่นขาวจะไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดเรื่องของครอบครัว แต่เธอก็พอจะทำความเข้าใจถึงความโศกเศร้าของเซียวรั่วหยูได้ แต่เนื่องจากเธอใช้ชีวิตมาอย่างไม่เคยปลอบใจใคร เธอจึงทำได้เพียงแต่กอดให้กำลังใจเซียวรั่วหยูเงียบ ๆ เท่านั้น
“อันที่จริงฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าความรักมันคืออะไรกันแน่…” จักจั่นขาวกล่าวพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
การแสดงความรักของเซี่ยเฟยได้เพาะเมล็ดพันธุ์ในจิตใจของจักจั่นขาวขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเมล็ดพันธุ์นี้จะส่งผลกระทบอะไรกับจักจั่นขาวได้มันก็คงจะไม่มีใครรู้ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะยังคงดำเนินการภายในดินแดนเซิร์กอันห่างไกลเพียงลำพัง แต่การกระทำของเขากลับได้ประทับเงาลงในหัวใจอันบริสุทธิ์ทั้งสองดวงนี้แล้ว
—
แรงกดดันในปัจจุบันแทบที่จะทำให้เซี่ยเฟยไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลย แล้วมันก็ทำให้เขาจำเป็นจะต้องวางแผนการทุกอย่างด้วยความรอบคอบและทุกแผนการจะต้องผ่านการไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ท้ายที่สุดเขาก็อยู่ท่ามกลางดินแดนของศัตรูเพียงลำพัง และมันก็ไม่มีใครสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้กับเขาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นคนเดียวที่จะสามารถช่วยเหลือเขาในสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้ก็มีเพียงแต่การพึ่งพาพละกำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“เรากำลังตกเป็นเป้าหมาย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกระชับหิมะโปรยภายในมือ
คำพูดนี้ทำให้อันธรู้สึกตกตะลึงทันทีและเขาก็รีบมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว
“ไม่มีทาง! ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ห่างไกลมากและนายก็เลือกเป้าหมายอย่างระมัดระวัง แล้วพวกเซิร์กจะสามารถหาร่องรอยของนายเจอได้ยังไง?”
เซี่ยเฟยไม่พูดอะไรตอบกลับไปเพียงแต่เสียบหัวของนักรบศักดิ์สิทธิ์ไว้ในกิ่งไม้ ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปยังยานรบโดยไม่รีบร้อน
“ลองดูนั่นสิ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอย่างใจเย็น และเมื่ออันธหันมองไปยังทิศทางนั้นเขาก็ได้พบกับจุดสีดำขนาดเล็กหลาย ๆ จุดที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
“รีบหนีไปเร็วเข้า! นี่มันเป็นกับดัก!!” อันธตะโกนอย่างตื่นตระหนก
“ฉันถูกคนที่ใช้พลังจิตระบุเป้าหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าฉันจะพยายามหนีไปแต่มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่ไร้ประโยชน์” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
อันธรีบสังเกตร่างกายของเซี่ยเฟยอย่างระมัดระวัง แล้วเขาก็ได้พบกับโซ่วิญญาณที่กำลังพันรอบหัวใจของชายหนุ่มเอาไว้อย่างแน่นหนา และเขาก็ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าโซ่วิญญาณพวกนี้พันธนาการร่างของเซี่ยเฟยเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
พลังของคนที่ระบุเป้าเซี่ยเฟยเอาไว้ย่อมอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้อันธจะมีประสาทสัมผัสเกี่ยวกับพลังงานที่เฉียบคมมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะตรวจจับอันตรายที่ใกล้เข้ามาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเฟยยังมีประสาทรับสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกระบุเป็นเป้าหมายโดยที่เขาไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนเลย
ขนอุยอ้าปากหาวและมองไปยังศัตรูที่กำลังเข้ามาใกล้ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงนี้มันก็คงจะเป็นคนที่ใจเย็นมากที่สุด
ทูดี้, ลารี่, ยำมี่และหมิงจี้ต่างก็พุ่งเข้าหาเซี่ยเฟยจากทิศทางที่แตกต่างกัน โดยการเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่เร็วมากนักคล้ายกับว่าพวกเขาจงใจที่จะเคลื่อนที่เพื่อกดดันการกระทำของเซี่ยเฟย
เซี่ยเฟยยังคงยืนอยู่นิ่ง ๆ ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังรู้สึกกระวนกระวายมากกว่าคนอื่น ๆ เสียอีก
ด้วยโซ่วิญญาณที่พันธนาการร่างกายเขาเอาไว้ มันจึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะลงมือทำอะไรอย่างวู่วามได้จริง ๆ เพราะก่อนอื่นเขาต้องรู้ก่อนว่าโซ่วิญญาณประเภทนี้สามารถสร้างอันตรายให้กับร่างกายของเขาได้หรือไม่ และใครคือเป้าหมายที่เขาจำเป็นจะต้องกำจัดเป็นอันดับแรกเพื่อปลดโซ่ที่พันธนาการร่างเขาไว้
เมื่อร่างทั้งสี่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจมาก เพราะเขาเริ่มสามารถมองเห็นใบหน้าของหมิงจี้ได้อย่างชัดเจน และไม่ว่าเขาจะพยายามมองยังไงแต่เด็กสาวคนนี้ก็เป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
การพบมนุษย์ในดินแดนของศัตรูทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสนใจมาก แต่ความสนใจพวกนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเจตนาสังหารอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดในสายตาของเซี่ยเฟยทุกคนที่มุ่งเป้ามาที่เขาต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรู แน่นอนว่าศัตรูของเขาย่อมจะต้องถูกกำจัดไม่ว่าศัตรูจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนในจักรวาลก็ตาม
ขณะเดียวกันหมิงจี้ก็กำลังมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยท่าทางแปลก ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับมนุษย์ในระยะใกล้ขนาดนี้
ตั้งแต่จำความได้หมิงจี้ก็อาศัยอยู่ในดินแดนเซิร์กตั้งแต่แรกแล้ว เธอจึงมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อชายหนุ่มได้จ้องมองมาเธอก็รีบก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่าย
ยำมี่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าตามปกติ ก่อนที่เขาจะหยุดอยู่ห่างจากเซี่ยเฟยประมาณ 300 เมตร ในขณะที่คนอื่น ๆ ได้เคลื่อนที่เข้าไปใกล้หยุดอยู่ห่างจากเซี่ยเฟยเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น
เซี่ยเฟยยังคงเฝ้าสังเกตการณ์โซ่วิญญาณที่พันธนาการอวัยวะภายในของเขาอย่างระมัดระวัง ซึ่งอย่างน้อยก่อนที่ศัตรูจะเริ่มลงมือ เขาก็ยังคงพยายามทำลายพันธนาการด้วยทุกวิถีทางที่เขาพอจะนึกออก
“ท่านผู้นำดูเหมือนว่าตอนนี้แม้แต่เราก็กำลังตกเป็นเป้าหมาย” ลารี่หันไปพูดกับทูดี้เบา ๆ หลังจากที่เขาสังเกตเครื่องสื่อสารที่อยู่บนแขน
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมได้ยินบทสนทนาของลารี่เช่นเดียวกัน และมันก็ทำให้เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตลกมาก เพราะนักล่าที่พยายามออกมาล่าเขากลับได้กลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่าเสียเอง
“อะไรนะ?!” ทูดี้อุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจู่ ๆ พวกเขาจะได้กลายเป็นเหยื่อแบบนี้
“เครื่องสื่อสารถูกตัดสัญญาณออกไปจนหมดแล้ว” ลารี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ยักไหล่ให้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเขายังคงมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยบนยอดเขานั้นมีร่างของชายร่างผอมกำลังเดินเข้ามาอย่างโดดเดี่ยว และที่สำคัญคือชายคนนี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
***************