ตอนที่ 427 ความไร้เดียงสา
ตอนที่ 427 ความไร้เดียงสา
ณ คฤหาสน์ของบิทินี่ริมทะเลสาบทองคำ
บิทินี่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำงานอย่างสง่างาม โดยในวันนี้เธอสวมชุดราตรีของชนชั้นสูงในพันธมิตรมนุษย์ และถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะปีกเล็ก ๆ คู่หนึ่งบนหลังของเธอ เธอก็คงจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์ผู้หญิงจากพันธมิตรอย่างแน่นอน
“สวัสดีค่ะพ่อ” บิทินี่ทักทายเบา ๆ
“วันนี้ลูกสวยมาก ลูกสวยกว่าพวกผู้หญิงในหนังสือเล่มนี้เสียอีก” ชิววี่กล่าวด้วยรอยยิ้มหลังจากเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ
“พ่อกำลังอ่านนิตยสารของมนุษย์อยู่เหรอคะ? นี่ถ้าหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปหนูคิดว่ามันก็คงจะทำให้พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์พ่ออีกครั้ง” บิทินี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่าลืมนะว่าลูกก็กำลังสวมชุดของพวกมนุษย์อยู่เหมือนกัน” ชิววี่กล่าวอย่างหยอกล้อ
บิทินี่เอามือขึ้นมาปิดปากและหัวเราะออกมาเบา ๆ ซึ่งแม้แต่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เธอก็เลียนแบบมาจากท่าทางของสตรีชนชั้นสูงของมนุษย์
มันเคยมีสุภาษิตกล่าวเอาไว้ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แน่นอนว่าทั้งชิววี่และบิทินี่ต่างก็ชื่นชอบวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยความสง่างามของมนุษย์มากกว่าวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยความดิบเถื่อนของเซิร์ก
เห็นได้ชัดว่าวันนี้ทั้งคู่ต่างก็อารมณ์ดีมาก แล้วพวกเขาก็จัดงานฉลองขึ้นมาอย่างลับ ๆ และอาหารภายในงานก็เป็นอาหารที่ถูกทำขึ้นมาจากพ่อครัวที่เป็นมนุษย์
“พ่อได้ยินมาว่าวันนี้อูดี้ทุบโต๊ะอีกแล้วใช่ไหม?” ชิววี่ถาม
“ตอนนี้มีคนบอกว่ากระดานรายชื่อนักรบศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นกระดานรายชื่อแห่งความตายไปแล้ว และมิสตี้ก็พยายามหาข้ออ้างเพื่อหนีไปหลบซ่อนยังสถานที่อันห่างไกล ทำให้คนทั่วไปคิดว่านักรบศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวตนที่ไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป เพราะถ้าหากว่าพวกเขายังหลบหนีด้วยความกลัวแล้วพวกเขาจะเอาความกล้าที่ไหนมาปกป้องพลเรือนในเผ่าพันธุ์ได้”
“อูดี้โกรธมากและพยายามส่งทหารไปจับตัวมิสตี้กลับมา หนูได้ยินมาว่าเขากำลังถูกลงโทษอย่างหนักที่ทำให้ชื่อเสียงของนักรบศักดิ์สิทธิ์ตกต่ำลงแบบนี้”
“เยี่ยมไปเลย! นักรบศักดิ์สิทธิ์เป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากอูดี้โดยตรง ในเมื่อตอนนี้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวนักรบศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว มันย่อมเป็นการลดทอนอำนาจของอูดี้ลงอย่างไม่ต้องสงสัย” ชิววี่กล่าวพร้อมกับตบต้นขาของตัวเองอย่างแรง
“นักรบมนุษย์คนนั้นแข็งแกร่งจริง ๆ แม้แต่ฮาซี่ก็ยังหยุดเขาเอาไว้ไม่ได้” บิทินี่กล่าวหลังจากยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
“คนคนนั้นแข็งแกร่งอย่างที่ลูกได้พูดเอาไว้จริง ๆ ถึงขนาดที่ว่าเขาสามารถลงมือสังหารในระหว่างที่ถูกไล่ตามโดยพวกทูดี้มาเป็นเวลานานมากกว่า 1 เดือน ดูเหมือนมนุษย์คนนี้จะสร้างความปวดหัวให้กับอูดี้ได้มากเลย” ชิววี่กล่าว
“หนูอยากรู้จริง ๆ ว่าคนที่ทำให้ประชาชนทั่วทั้งดินแดนตื่นตระหนก และทำให้อูดี้รู้สึกโกรธถึง 3 ครั้งแบบนี้จะเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่?” บิทินี่กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสายตาของเธอก็จับจ้องมองไปยังระยะไกลโดยในแววตาของเธอได้สื่อความหมายถึงอะไรบางอย่างออกมา
“เท่าที่พ่อรู้มาระดับพลังของมนุษย์คนนี้น่าจะเทียบเท่ากับนักรบศักดิ์สิทธิ์ 10 อันดับแรกได้อย่างง่ายดาย แต่หลังจากที่ลูกศิษย์ของเลยูตี้ที่เชี่ยวชาญการติดตามได้ออกไปลงมือด้วยตัวเองแบบนี้ พ่อก็คิดว่าเขาคงจะแอบลงมือต่อไปได้อีกเพียงแค่ไม่นาน” ชิววี่กล่าว
“พ่อคิดว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตรายงั้นเหรอคะ?” บิทินี่กล่าวขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย
“ลูกศิษย์ของเลยูตี้ไม่ต่างไปจากสัตว์ประหลาด และถ้าหากว่าทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากันจริง ๆ มันย่อมจะต้องเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นมาอย่างแน่นอน” ชิววี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“คนของเราจะเข้าถึงตัวเขาก่อนทูดี้ได้ไหมคะ? มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายถ้าหากว่าคนคนนั้นรีบตายไปแบบนี้”
“นี่ลูกกำลังเป็นห่วงมนุษย์คนนั้นงั้นเหรอ?” ชิววี่กล่าวถามพร้อมกับมองไปยังลูกสาวด้วยแววตาแปลก ๆ
“มันเป็นความผิดของพ่อนั่นแหละ พ่อให้หนูอ่านหนังสือของมนุษย์ตั้งแต่ยังเด็ก จนบางครั้งหนูก็ยังไม่รู้ว่าหนูคือมนุษย์หรือเซิร์กกันแน่ นิยายของพวกมนุษย์จะให้ความเคารพกับวีรบุรุษมาก แล้วมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากว่าหนูจะรู้สึกเหมือนตัวละครในนิยายพวกนั้น” บิทินี่กล่าวพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ไม่ต้องมาโทษพ่อเลย” ชิววี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ แต่ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดมนก่อนที่เขาจะพูดออกมาเบา ๆ ว่า
“พ่อขอโทษที่ในช่วงหลายปีมานี้พ่อต้องให้ลูกไปอยู่กับไอ้เจ้าสารเลวอูดี้นั่น”
ทันใดนั้นพ่อลูกก็เงียบเสียงลงไปอย่างกะทันหัน ซึ่งหลังจากที่ชิววี่พยายามสงบสติอารมณ์แล้วเขาก็พูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาว่า
“ตอนนี้แขนซ้ายของอูดี้อย่างทาดินี่กำลังยุ่งอยู่กับการบัญชาการกองทัพเพื่อจัดการพันธมิตรมนุษย์ และแขนขวาอย่างสมาพันธ์นักรบศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างหนัก พ่อคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เรารอคอยกันมานานแล้ว”
“หลังจากนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าชานี่จะสามารถโน้มน้าวมนุษย์คนนั้นให้เข้าร่วมแผนการของเราได้หรือไม่ และตราบใดก็ตามที่เราได้นักฆ่าที่มีฝีมือ มันก็ถึงเวลาที่เราจะต้องกำจัดอูดี้ลงไปสักที”
“ครั้งนี้พ่อให้อาชานี่ออกไปลงมือด้วยตัวเองเลยงั้นเหรอคะ?” บิทินี่อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กน้อย
“พ่อไม่สามารถไว้วางใจคนอื่นให้ทำงานสำคัญแบบนี้ได้จริง ๆ” ชิววี่กล่าว
“แม้ว่าอาชานี่จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับที่ 3 ของนักรบศักดิ์สิทธิ์ แต่มนุษย์คนนั้นก็เจ้าเล่ห์มาก หนูคิดว่าอาชานี่อาจจะสู้มนุษย์คนนั้นในแง่ของเล่ห์กลไม่ได้” บิทินี่กล่าว
“ถึงยังไงเป้าหมายของพวกเราก็คือเป้าหมายเดียวกัน พ่อเชื่อว่านักรบมนุษย์คนนั้นย่อมฉลาดพอที่จะยืนเคียงข้างทางฝั่งเรา ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดการกับอูดี้ด้วยตัวเอง ลูกไม่จำเป็นจะต้องกังวลมากนัก เพราะถึงแม้ว่าคนคนนี้จะใช้การไม่ได้แต่พ่อก็ยังพอจะมีทางเลือกอื่น” ชิววี่กล่าว
“แล้วถ้าเลยูตี้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ล่ะคะ?” บิทินี่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เลยูตี้เป็นนักพรตที่แยกตัวออกไปจากสังคมของเซิร์กนานแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในเผ่าเว้นแต่ว่ามันจะมีความจำเป็นจริง ๆ และถึงแม้ว่าอูดี้จะตายแต่เขาก็คงจะไม่รู้สึกอะไรเหมือนกับที่เซิร์กคนอื่น ๆ ถูกฆ่าตายในช่วงเวลานี้ สิ่งเดียวที่พ่อรู้สึกกังวลคือลูกศิษย์ที่เป็นมนุษย์ของเขาว่ากันว่าผู้หญิงคนนั้นมีระดับพลังที่สูงมาก และพ่อคงจะต้องเอาเธอเข้ามาร่วมคำนวณในแผนการในครั้งนี้ด้วย” ชิววี่กล่าว
“อูดี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยไว้วางใจลูกศิษย์ของเลยูตี้นัก เขาเลยส่งยำมี่ให้ออกเดินทางไปพร้อมกับทีมของทูดี้ด้วย ถ้าหากว่าหนูเดาไม่ผิดอูดี้จะต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ และยำมี่ก็คงจะเริ่มลงมือถ้าหากว่าสถานการณ์อยู่เหนือเกินกว่าการควบคุมของพวกเขาแล้ว” บิทินี่กล่าว
“มันมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? แต่ช่างมันเถอะสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำมีเพียงแค่การเชื่อใจชานี่เท่านั้น พ่อเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ที่เขามีเขาย่อมปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้” ชิววี่กล่าว
—
ในระหว่างที่พวกบิทินี่กำลังคิดหาแผนการดึงอูดี้ลงจากบัลลังก์ กระป๋องก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง
กระป๋องไม่เชื่อว่าแอวริลเสียชีวิตแล้ว เขาจึงส่งวิดีโอการใช้ชีวิตประจำวันของเซี่ยเฟยกลับไปยังพันธมิตรทุก ๆ 2-3 วันเพื่อให้แอวริลและมนุษย์ได้รู้ว่าเซี่ยเฟยกำลังทำอะไรอยู่ในดินแดนของศัตรู
สำหรับมนุษยชาติที่กำลังพยายามดิ้นรนต่อสู้กับความสิ้นหวัง การเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟยได้สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขามีความกระตือรือร้นในการทำสงครามกับเซิร์กมากขึ้นกว่าเดิม และในตอนนี้พวกเขาก็มักที่จะรับชมวิดีโอการใช้ชีวิตของเซี่ยเฟยจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งพวกเขาก็คาดหวังว่าเซี่ยเฟยจะสังหารเซิร์กมากขึ้นกว่านี้และชายหนุ่มก็ไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง
ทันทีที่วิดีโอการสังหารฮาซี่ถูกเผยแพร่ออกไป มันก็ทำให้มนุษย์ทั่วทั้งพันธมิตรตกอยู่ในความโกลาหล
แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายว่าฮาซี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถจัดการได้ง่าย ๆ แต่เซี่ยเฟยก็ยังสามารถตัดศีรษะของเซิร์กผู้นี้ได้สำเร็จ และฉากการต่อสู้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากกว่าการรับชมภาพยนตร์ที่มีเอฟเฟคอลังการงานสร้าง
วิดีโอนี้ทำให้ชื่อเสียงของเซี่ยเฟยในพันธมิตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการ และในปัจจุบันชื่อเสียงของเขาก็เทียบเท่ากับจอมพลไทสันซึ่งเป็นผู้นำของพันธมิตรในตอนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
—
ณ ยานบัญชาการมรกต
จักจั่นขาวยังคงนั่งขดตัวอยู่บนโซฟาและคิดเกี่ยวกับเรื่องของเซี่ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องที่เซี่ยเฟยสังหารใครลงไปบ้าง แต่มันเป็นภาพในขณะที่เซี่ยเฟยกำลังประกาศเรียกหาแอวริลมากกว่า
จักจั่นขาวคิดไม่ออกว่าความรักคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมความรักถึงทำให้คนคนหนึ่งเศร้าสร้อยได้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดที่ทำให้คนคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตไปแก้แค้นเนื่องมาจากว่าเขายึดมั่นในความรัก
เซียวรั่วหยูเปิดประตูเข้ามาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะเดินมาอยู่เคียงข้างจักจั่นขาว
“นั่งลงสิ” จักจั่นขาวกล่าว
“ไม่ทราบว่านายหญิงมีอะไรให้ฉันรับใช้คะ?” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับนั่งลงบริเวณมุมโซฟา
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเพื่อนร่วมดาวบ้านเกิดของเธอถึงออกล่าสังหารอย่างบ้าคลั่งเพื่อปลอบโยนคนรักของเขา? คนตายก็คือคนตายไม่ใช่เหรอ? ทำไมเซี่ยเฟยถึงต้องทำอะไรมากมายเพื่อคนตายคนหนึ่งด้วย?” จักจั่นขาวกล่าวถามขึ้นมาอย่างไร้เดียงสา
เมื่อฟังคำถามเซียวรั่วหยูก็ขมวดคิ้วอย่างสับสนเช่นเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ถูกนำตัวมายังสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เธอมีอายุเพียงแค่ประมาณ 12 ปี และเธอก็ยังไม่เคยเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความรักเลยแม้แต่นิดเดียว
ขณะเดียวกันจักจั่นขาวก็อยู่บนยานลำนี้มาตั้งแต่เกิด ซึ่งถ้าหากว่าเซียวรั่วหยูเปรียบเสมือนกับกระดาษขาวที่บริสุทธิ์ จักจั่นขาวก็คงจะเป็นอากาศที่มีความบริสุทธิ์มากยิ่งกว่า
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ พี่ชายเซี่ยเฟยอาจจะคิดว่าแอวริลกำลังเฝ้าดูการกระทำของเขาอยู่บนสวรรค์ แล้วมันก็เป็นแรงผลักดันให้เขาเริ่มทำการเคลื่อนไหวแบบนี้” เซียวรั่วหยูกล่าว
“สวรรค์? สวรรค์คือที่ไหน?”
“บนดาวของฉันมีตำนานเล่าว่าวิญญาณของคนดีที่เสียชีวิตจะล่องลอยไปอาศัยอยู่บนสวรรค์”
“มันมีสถานที่แบบนั้นด้วยเหรอ?”
“อาจจะมีก็ได้มั้งคะ” เซียวรั่วหยูกล่าวตอบพร้อมกับเอียงศีรษะ
“แล้วถ้าฉันตาย ฉันจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ไหม?” จักจั่นขาวกล่าวถาม
ความไร้เดียงสาของเด็กสาวทั้งสองคนนี้อาจจะทำให้ผู้คนหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าทั้งคู่จะพูดคุยกันเป็นเวลานาน แต่พวกเธอก็ไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปทั้งในเรื่องของสวรรค์และความรักได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกอิจฉาผู้หญิงที่ชื่อว่าแอวริล เธอคิดว่าถ้าฉันตายเซี่ยเฟยจะรู้สึกเสียใจหรือเปล่า?” จักจั่นกล่าวถามด้วยแววตาที่สดใส
“คงจะไม่ค่ะ เพราะพี่ชายไม่รู้จักกับนายหญิง” เซียวรั่วหยูกล่าวตอบ
“อ่า นั่นสินะ” จักจั่นขาวพึมพำกับตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้แม้แต่เซียวรั่วหยูก็อดที่จะส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เพราะจักจั่นขาวเป็นหญิงสาวที่ไร้เดียงสาและน่ารักมาก
แต่ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างสีม่วงสว่างขึ้นมาภายในห้อง
“แม่มีภารกิจงั้นเหรอ? พวกเรารีบไปกันเถอะ” จักจั่นขาวกล่าว
***************