ตอนที่แล้วตอนที่ 1234 ยังอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1236 ที่กล่าวมานี่คือ ..ภาระบุตรเขย ไม่ใช่หรือ?

ตอนที่ 1235 ในความเป็นจริงตอนนี้ ..ก็อยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขา


หมู่บ้านที่เหมือนสวรรค์แห่งหนึ่งปรากฏต่อหน้า หลินฟาน เมื่อมองลงไป ..มันราวกับว่ามีความรู้สึกที่ไม่จริง หมู่บ้านนี้ไม่พบในแผนที่ และไม่ว่าจะดูอยู่บนแผนที่ใดก็ไม่มีทางพบการมีอยู่ของหมู่บ้านแห่งนี้

“นี่คือ หยุนเหมิน หรือ?” หลินฟาน ถาม หยุน ชิงเย้า ที่อยู่บนหลังของเขา

“อืม” หยุน ชิงเย้า พยักหน้า เธอมองไปที่หมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าเธอ และแสดงความสุข ความดีใจออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะดูเหมือนว่าหมู่บ้านจะไม่มีปัญหาใดๆ จริงๆ และหมู่บ้านก็กําลังอาบน้ำค้างอย่างเงียบๆ ในยามเช้า ซึ่งภาพที่เห็นนี้มันทําให้เธอรู้สึกโล่งใจ…

ดังนั้น ในเวลาต่อมา หลินฟาน จึงแบกพา หยุน ชิงเย้า เดินลงจากภูเขา และเดินไปที่หมู่บ้าน

หยุนเหมิน เป็นสำนักนิกายซ่อนเร้น หากมองผิวเผิน ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ ทั้งมันยังดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านธรรมดาๆ แต่รูปแบบสถาปัตยกรรมของที่นี่กลับค่อนข้างเก่าแก่ และค่อนข้างมีสไตล์ไปในทางโบราณ อีกอย่างมันยังดูสื่อถึงการสืบทอดอารยธรรมของจีนมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้รูปแบบสไตล์โบราณแบบนี้ยังไม่หายไปไหน ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในหลากหลายแห่ง ดังนั้นจึงยังไม่นับว่าพิเศษ

หมู่บ้านบนภูเขาที่เงียบสงบ ชาวบ้านทํางานตอนพระอาทิตย์ขึ้น และเริ่มพักผ่อนยามพระอาทิตย์ตก ตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่ต้องต่อสู้กับโลกภายนอก ทั้งสภาพแวดล้อมที่นี่ก็เป็นธรรมชาติ และนี่มันก็ทำให้ดูเหมือนอยู่ในร่มไม้ ในดินแดนสวรรค์ ปล่อยทุกอย่างให้มันผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับ วันเวลา…

แต่ในความเป็นจริง ..กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะภายใต้พื้นผิวที่เงียบสงบเช่นนี้ หมู่บ้านแห่งนี้กลับไม่ธรรมดา เพราะพวกเขาไม่ใช่ชาวบ้านชาวเขาธรรมดาๆ แต่กลับเป็น ‘ผู้ฝึกยุทธ์’

หยุน ชิงเย้า เคยพูดกับ หลินฟาน ไว้ว่า จริงๆ แล้ว หยุนเหมิน เป็นตระกูล หรือที่เรียกกันว่า เผ่าหยุน, คนเผ่าหยุนตั้งแต่เกิด ก็ถูกลิขิตให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ปฏิบัติตามคำสอนโบราณ ทุกคนต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เรียกได้ว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้เป็นกิจวัตรประจำวันของคนเผ่าหยุน

ภายในตระกูลหยุน ยังมีการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ที่จะถูกจัดขึ้นภายในประจำทุกปี ผู้ชนะจะได้รับรางวัลมากมายเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนในตระกูลฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างหนัก

ในฐานะที่เป็นสำนักนิกายซ่อนเร้น การสืบทอดศิลปะการต่อสู้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่มาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ สำหรับกองกําลังศิลปะการต่อสู้ที่รอดพ้นจากคลื่นแห่งกาลเวลา ศิลปะการต่อสู้ก็คือ ..รากฐาน และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสูญเสียไปได้ เพราะแม้ว่า สำนักนิกายซ่อนเร้น เหล่านี้จะดูเหมือนแยกออกจากกัน และไม่มีการติดต่อกันแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว.. พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์ในการแข่งขัน แม้ต่างฝ่ายจะอยู่อย่างสงบ และไม่คิดเป็นอันตรายต่อกัน แต่ในมุมมองของ สำนักนิกายซ่อนเร้น ศิลปะการต่อสู้ก็ยังคงถือว่าเป็นรากฐานของการอยู่รอดของพวกเขา

และเนื่องจากคนเผ่าหยุนทั้งหมดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หยุน ชิงเย้า จึงมีความมั่นใจ เธอเลยไม่กลัว หลินฟาน ที่พาเธอกลับมาถึง หยุนเหมิน และเธอเชื่อเสมอว่า หลินฟาน มาที่นี่ก็เพื่อมาหาเรื่องใส่ตัว

อย่างไรก็ตาม หลังจากการอยู่ร่วมกันมาตลอดเส้นทาง หยุน ชิงเย้า ก็มีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับ หลินฟาน หลินฟาน ไม่ใช่คนที่บุ่มบ่าม.. เขากล้าที่จะบุกฝ่ามาถึง หยุนเหมิน เพียงลำพัง และมันยากที่จะบ่งบอกว่าเขายังมีแผนสำรองอยู่ในมือข้างหลังหรือไม่ แต่นี่มันก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การระวังตัว ..ของเธอ

ทางเดียวที่จะเข้าสู่ หยุนเหมิน คือต้องผ่านประตูทางเข้าของหมู่บ้าน

ในเวลานี้ยังไม่รุ่งสางดี ทั้งยังเพิ่งมีเพียงแสงสว่างไสวเล็กน้อยตรงปลายขอบฟ้า แต่เหล่าผู้ผึกยุทธ์ที่ขยันขันแข็งต่างก็ได้ลุกขึ้นมาฝึกซ้อมในช่วงยามเช้าตรู่แล้ว ในความเห็นของผู้ฝึกยุทธ์ ตอนเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุดจะซึมซับแก่นแท้ของสวรรค์ และโลก แน่นอนว่า ..ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดอยากพลาดช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมในยามเช้าเช่นนี้

ประตูของหมู่บ้านถูกปิดอย่างแน่นหนา, มีศิษย์สาวก หยุนเหมิน สี่คนเฝ้าอยู่ที่ด้านบนของประตู ซึ่งทุกคนก็ต่างล้วนเป็นมือฉมัง.. ในหยุนเหมิน หน้าที่การเฝ้าประตูหมู่บ้านจะถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

สาวกสี่คนที่เฝ้าประตูในขณะนี้ ทั้งหมดต่างก็เป็นคนหนุ่ม พวกเขาสวมชุดโบราณ มองแวบแรกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคสมัยของราชวงศ์หมิง

มีสิ่งเดียวที่ก้าวหน้าไปตามกาลเวลานั่นก็คือทรงผมของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ไว้ผมยาวเหมือนกับคนโบราณ แต่กับไว้ผมสั้นกันทุกคน อย่างไรก็ตามบางครั้งพวกเขาก็จำเป็นต้องออกไปหาประสบการณ์จากข้างนอกภูเขา ทรงผมนี้ทําให้พวกเขาสามารถเข้ากับสังคมในยุคสมัยใหม่ได้ดีขึ้น

แน่นอนว่าไม่มีอะไรคงเดิมได้ และไม่มีใครที่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของกาลเวลา และยุคสมัยได้ ในความเป็นจริงเหตุผลที่ หยุนเหมิน สามารถสืบทอดต่อมาได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาเองก็แค่ก้าวไปพร้อมกับกาลเวลานั้นๆ

หยุนเหมิน ทําธุรกิจในโลกภายนอกมานานแล้ว และหลังจากการพัฒนามาหลายร้อยปี หยุนเหมิน ก็ได้สะสมเงินทุนมาได้อย่างลึกซึ้ง

หากมอง หยุนเหมิน เป็นบริษัท งั้นแสดงว่าบริษัทนี้ดําเนินกิจการมาหลายร้อยปีแล้ว และจะเห็นได้ว่าการสั่งสมนี้ ..ลึกซึ้งแค่ไหน

ทันทีที่ หลินฟาน และหยุน ชิงเย้า เข้าใกล้ประตู หยุนเหมิน พวกเขาก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้เฝ้าประตูในทันที

ชายหนุ่มสองคนได้กระโดดลงมาจากประตูหมู่บ้าน และเดินเข้ามาหยุดขวางทาง หลินฟาน

“หยุดแค่นี้, ท่านคิดจะทำอะไร!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งได้จ้องมอง หลินฟาน อย่างระมัดระวัง

ก่อนที่ หลินฟาน จะพูด หยุน ชิงเย้า ที่อยู่บนหลังเขาก็ได้ชะโงกหน้าออกมา

เมื่อชายหนุ่มทั้งสองเห็น หยุน ชิงเย้า พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา ต่างตะโกนออกมากันทันทีว่า : “ชิงเย้า กลับมาแล้ว!”

“ศิษย์พี่ชิงเย้า กลับมาแล้ว!”

นอกจากทั้งสองจะดีใจ แต่ก็เริ่มพากันสงสัยว่า หยุน ชิงเย้า ถูกชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้แบกกลับมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น?

ต้องรู้ว่า ผู้ชาย และผู้หญิง มีความแตกต่างกัน ในหยุนเหมิน แนวคิดความแตกต่างระหว่าง ชาย และหญิง ยังคงเป็นไปในแบบอนุรักษ์นิยมมาก หยุน ชิงเย้า ที่ถูก หลินฟาน แบกอุ้มเอาไว้ข้างหลัง ฉากนี้มันดูใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไปจริงๆ ในหยุนเหมิน ถ้าพวกเขาเป็นเช่นนี้ และถ้าไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่าง สามีภรรยา นี่ถือเป็นพฤติกรรมที่ผิด

งั้น หยุน ชิงเย้า กับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?

“ศิษย์พี่หญิงชิงเย้า เกิดอะไรขึ้นกับท่าน แล้วบุคคลนี้?” ชายหนุ่มคนหนึ่ง ได้ถามออกไปด้วยความสงสัย

หยุน ชิงเย้า ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรออกไปในชั่วขณะหนึ่ง เพราะเรื่องนี้ไม่สามารถพูดอธิบายเพียงสามคําให้ชัดเจนได้จริงๆ ..เธอ กลับอยากที่จะเห็นว่า หลินฟาน จะพูดอย่างไรออกไป

ในความคิดของเธอ หลินฟาน มาที่นี่ก็เพื่อมาสร้างปัญหา หากพูดตามตรง ตอนนี้เธอเป็นเชลยของ หลินฟาน หลินฟาน ต้องเสนอขอพบกับผู้นำ หยุนเหมิน ต่อไป ..อย่างแน่นอน

หากเรื่องนี้ถูกจัดการโดย หยุน ชิงเย้า และหากเธอจับ หลินฟาน ได้ และพา หลินฟาน กลับมาที่ หยุนเหมิน เธอก็จะเสนอขอพบกับผู้นำ เพื่อเจรจากับผู้นำโดยตรง ถ้าคุยกันได้.. เธอก็จะปล่อยเขาไป แต่หากถ้าคุยกันไม่ได้ ก็ต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในความเป็นจริงตอนนี้ ..ก็อยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขา (ความเคลื่อนไหวของเขา)

ท้ายที่สุดแล้ว ..ในเจียงหู มักจะดูที่ว่ากำปั้นใครใหญ่กว่าก็จะเชื่อฟังคนนั้น ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้จากการต่อสู้แค่ครั้งเดียว หากการต่อสู้ครั้งเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ งั้นก็ต้องมีการต่อสู้ครั้งที่สอง หรือสาม ..ตามมา

นี่คือที่มาของข้อพิพาท และการต่อสู้ในยุทธภพ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสมควรมีชีวิตอยู่จนถึงที่สุด

เหตุผลที่ หยุนเหมิน สามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะผ่านคลื่นลมพายุมานับครั้งไม่ถ้วน มีการแข่งขัน การต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน แต่การได้รับชัยชนะจึงมีชีวิตรอดมาได้ ดังนั้น เหล่าสำนักนิกายซ่อนเร้น ซึ่งยังคงมีอยู่ในโลกปัจจุบันจึงล้วนแล้วแต่เป็น ผู้ชนะ…

แต่.. อย่างไรก็ตาม ข้อพิพาทในยุทธภพก็ยังไม่เคยมีวันยุติลง คงเว้นเสียแต่โลกจะถูกทําลาย มิฉะนั้นความขัดแย้งก็ย่อมมีอยู่เสมอ เหล่าสำนักนิกายซ่อนเร้น ที่สามารถอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้ จากความคิดของ ผู้ชนะ ..แน่นอนว่า พวกเขาจะไม่วันก้มหัวให้ผู้อื่นโดยง่าย

อาจกล่าวได้ว่าในมุมมองของ หยุน ชิงเย้า การต่อสู้กับ หลินฟาน มันคงจะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ อารมณ์ของ หยุน ชิงเย้า ก็ดูซับซ้อนขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ เธอเองก็ไม่รู้ว่าทําไมเหมือนกัน เมื่อวันก่อน.. เธอยังคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อกําจัด หลินฟาน เพื่อแก้แค้น ..หลินฟาน แต่มาในตอนนี้ความคิดของเธอดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้

“เธอได้รับบาดเจ็บ ผมจึงพาเธอกลับมาให้พวกคุณ” หลินฟาน กล่าวด้วยรอยยิ้มในเวลานี้

พูดพลาง หลินฟาน ก็ได้วาง หยุน ชิงเย้า ลง

หยุน ชิงเย้า ตกตะลึง หลินฟาน เขาคิดจะทําอะไร? ดูเหมือนว่ามัน ..จะไม่เป็นไปตามที่เธอคาดเอาไว้

หลินฟาน มองไปที่เธอ แล้วพูดว่า : “คุณไปกับพวกเขาเถอะ เพียงแค่จัดสถานที่ให้ผม และให้ผมกินอะไรหน่อยก็พอแล้ว”

หยุน ชิงเย้า มองไปที่ หลินฟาน : “นี่.. คุณต้องการทําอะไร?”

หลินฟาน กล่าวว่า : “ผมอยากให้คุณไปคุยกับอาจารย์ของคุณด้วยตัวเอง หากทางพวกคุณได้ผลยังไงก็กลับมาหาผมอีกครั้ง ผมจะรอเสมอ โดยมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว ผมหิวมากจริงๆ และต้องการอยากกินอะไรสักหน่อย..”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด