ตอนที่ 1 ผู้อำนวยการสวนสัตว์
ทะลุมิติมาสร้างสวนสัตว์ในฝัน ตอนที่ 1 ผู้อำนวยการสวนสัตว์
“ผู้อำนวยการ!! เกิดอะไรขึ้นคะผู้อํานวยการ!!!”
เมื่อเห็นว่าผู้อํานวยการสวนสัตว์ที่ตนทํางานอยู่ล้มลง และเมื่อมองไปที่กองเลือดบนพื้นทําให้ “หลานลี่” ตก ใจราวกับกวางน้อยที่ตกใจกลัว เธอรีบก้มตัวลงดูว่าเขาเป็นอะไรรึไม่
“ฮือ ฮือ ผู้อํานวยการไม่หายใจแล้ว! ควรทำยังไงดี? ฉันต้องรีบโทรเรียกรถฉุกเฉิน!”
“อ๊า! เจ็บชิบหาย!” ฟางเย่รู้สึกเหมือนกับหัวเจ็บราวกับกำลังระเบิด แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความช่วยเหลือของหลานลี่
เขาขมวดคิ้ว นวดหัวที่ปูดโนขึ้นมาเบาๆ
อ๊า~ เจ็บจัง!!
นวดอีก!!
อ๊าา~ ก็ยังเจ็บจริง!
หลานลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เก็บโทรศัพท์ที่กําลังกดโทรไปตามรถฉุกเฉิน
ดูเหมือนไม่ได้เจ็บอะไรมาก! เธอคิดแล้วพูดกับฟางเย่เบาๆ
“ผู้อํานวยการ เอาผ้าไปซับเลือดนะคะ เลือดกําเดาคุณยังไหลอยู่เลย”
“ขอบคุณครับ!”
ฟางเย่รับผ้าไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วพูดขอบคุณกลับไป
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนได้สติ มองไปที่ผู้หญิงแปลกหน้าตรงหน้าและกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆ
ที่นี่สวนสัตว์งั้นเหรอ?
ไม่ใช่ว่าเขากําลังเล่นเกม “Planet Zoo” อยู่งั้นเหรอ?
หลังจากที่เล่นเสร็จ เขาก็งีบไปด้วยความง่วง แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์แปลกประหลาด มันทําเอาสมองของฟางเย่เริ่มรวน
“เธอเป็นใคร? แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน?”
ดวงตาของหลานลี่เบิกโพลง สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
จบเห่แล้ว! ผู้อํานวยการหัวกระแทกพื้น ความจําเสื่อม!!!
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล พร้อมกับกดเบอร์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ ตอนนี้ที่สวนสัตว์หลินไห่...”
ฟางเย่รีบจับมือของเธอก่อนจะรีบกดดับสายไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว! ขอผมคิดก่อน!”
เขาหลับตาลง ค้นเข้าไปในความทรงจํา แล้วพยายามเชื่อมต่อกับความทรงจําของร่างนี้
หลังจากนั้นซักพัก ฟางเย่ก็เบิกตาขึ้นพร้อมกับทําสีหน้าแปลกๆ
คือ....ทะลุมิติ!
ดาวดวงนี้ที่เขาอยู่ มีชื่อเรียกว่า “ดาวเคราะห์สีฟ้า”
ดาวดวงนี้แต่ละด้านไม่ได้มีความแตกต่างกับดาวโลกในชีวิตก่อนของเขามากนัก เว้นแต่เรื่องเกี่ยวกับสวนสัตว์ เพราะตอนนี้มันยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ความเข้าใจด้านสวนสัตว์ของทุกคนยังมีจํากัด
สวนสัตว์ต่างจากสถานที่ให้ความบันเทิงต่างๆ เพราะมันไม่ได้มอบเพียงความเพลิดเพลินให้แก่นักท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงการให้ความรู้แก่สาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการป้องกันและดูแลรักษาสัตว์ป่า การให้ความรู้เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ ให้เกียรติธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต และช่วยกันปกป้องธรรมชาติ
มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับการไม่ให้เกียรติและปกป้องธรรมชาติ ซึ่งสุดท้ายมันก็จะกลับมาทําร้ายมนุษย์เสียเอง
ในโลกก่อนของเขา สวนสัตว์นั้นผ่านการพัฒนาหลายขั้นแล้ว
ในตอนแรกสวนสัตว์เป็นเหมือนการนําสัตว์ป่านอกถิ่นอาศัยมาขังกรง และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ไม่ว่าจะเป็นการขุดหลุมลึกให้หมีหรือเสือเข้าไปอยู่เพื่อให้นักท่องเที่ยวมายืนชมจากด้านบน มองพวกมันราวกับเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า หัวเราะเยาะ ให้อาหาร และแม้แต่ขว้างหินใส่ด้วยความสนุกสนาน นั่นทําให้สร้างความเครียดแก่สัตว์ป่าเหล่านี้เป็นอย่างมาก
การแสดงโชว์แบบนี้เป็นเพียงการทําให้นักท่องเที่ยวสัมผัสความรู้สึกของการเป็นมนุษย์ผู้อยู่เหนือกว่าทุกสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ซึ่งขัดกับสิ่งที่สวนสัตว์ควรพึ่งกระทํา
ขั้นต่อมาคือการวาดภูมิหลังให้แก่สัตว์ป่า ทําให้พวกมันดูยิ่งใหญ่มากขึ้น จากนั้นนักท่องเที่ยวก็จะมาเที่ยวชมมากขึ้น แต่กลับไม่ได้เป็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่สัตว์ป่าแม้แต่น้อย อีกทั้งด้วยความไม่รู้ของนักออกแบบสวนสัตว์ ทําให้มีบางครั้ง นกเพนกวินเขตร้อนกลับมีภูมิหลังทางด้านน้ำแข็งและหิมะ ซึ่งต่างจากธรรมชาติที่แท้จริงของมัน
สุดท้ายแล้ว การสร้างสภาพแวดล้อมของสัตว์ป่าคือการทําให้สัตว์ป่าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่มันควรจะเป็น นั่นต่างหากถึงจะเป็นการทําให้นักท่องเที่ยวได้ “เดินทางเที่ยวชมบ้านของสัตว์ป่า” กลับเป็นการเดินเที่ยวชมสัตว์ปกติแทน
ถ้านักท่องเที่ยวได้เห็นสัตว์ป่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับที่พวกมันควรอยู่ตามธรรมชาติ จะเป็นการทําให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความงดงามของสัตว์ป่าและธรรมชาติ รวมถึงสร้างความรู้สึกรักและเคารพสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้
ลองคิดภาพที่นักท่องเที่ยวต้องไปเจอกับกรงเหล็กที่สกปรก ที่สัตว์ป่านอนอย่างเฉื่อยชา ต่อให้คุณนําป้าย “ปกป้องและดูแลสัตว์ป่าและธรรมชาติ” แปะไว้ข้างหน้า มันก็ไม่ได้ทําให้คนพวกนั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมาจริงๆ
สวนสัตว์บนดาวสีฟ้าใบนี้อยู่ในขั้นของการขังสัตว์ไว้ในกรงหรือการสร้างภูมิหลังขึ้นมา แม้จะมีบางส่วนที่ทําการสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อให้สัตว์ป่าได้ใช้ชีวิตอย่างที่มันควรเป็นอยู่บ้าง แต่ก็มีน้อยนิด
ชื่อของเจ้าของร่างก็มีชื่อฟางเย่ เช่นเดียวกันกับเขา
ทว่าฟางเย่ที่ทะลุมิติมา กลับเป็นเพียงเด็กติดเกมที่ชอบเล่นเกม ต่างจากเจ้าของร่างเดิมที่เป็นทายาทของตระกูลร่ำรวย
เจ้าของร่างเดิมชอบสวนสัตว์ตั้งแต่เด็ก ชอบไปดูเสือและช้างเป็นประจํา
แต่ยิ่งเขาไปดูสวนสัตว์ต่างๆ มากเท่าไหร่ เขาก็พบว่าสัตว์ในสวนสัตว์ล้วนแต่ไร้ความมีชีวิตชีวา ไม่สามารถเทียบได้กับที่เขาเคยเห็นในทีวีเลยแม้แต่น้อย
นักท่องเที่ยวไม่เคาะราวกั้นก็ขว้างหิน ตะคอกใส่สัตว์ป่า เพื่อให้พวกมันสนใจ ซึ่งการกระทําเหล่านี้ทําให้เขารู้สึกรังเกียจมาก
นั่นทําให้เขาตั้งความฝันไว้ว่าอยากจะสร้างสวนสัตว์ที่สัตว์ป่าได้ใช้ชีวิตราวกับอยู่ในธรรมชาติ และทําให้ผู้มาเที่ยวชมรู้สึกรักและเคารพในสิ่งมีชีวิต
หลังจากที่เจ้าของร่างเดิมเรียนจบ เขาก็ซื้อสวนสัตว์แห่งนี้ด้วยเงินเก็บจากอั่งเปาที่เก็บสะสมมาตั้งแต่ยังเด็ก
ฟางเย่ที่ทบทวนความทรงจําอยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความอิจฉา การมีเงินนี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ พอเรียนจบก็ไม่มีใครบังคับให้ไปทํางาน แถมได้มาใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากทํา
เด็กผู้ชายคนไหนไม่อยากมีสวนสัตว์เป็นของตัวเองละจริงไหม?
ก่อนที่จะมาซื้อสวนสัตว์แห่งนี้ เจ้าของร่างเดิมเต็มไปด้วยความฮึกเหิม เตรียมคิดจะสร้างอะไรต่างๆ มากมาย แต่สุดท้าย เขาก็พบกับอุปสรรคเยอะมาก รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ยกตัวอย่าง การปักป้ายว่าห้ามโยนอาหารและเคาะราวกั้นเพื่อรบกวนสัตว์ แถมตัวเขากับคนงานก็เดินตรวจตราและอธิบายอย่างใจเย็น
แต่น่าประหลาดใจ
นักท่องเที่ยวก็ยังไม่ฟัง!!
พวกเขาพูดอย่างรําคาญว่า “สวนสัตว์บ้าอะไรเนี้ย! นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้! ครั้งหน้าไม่มาแล้วโว้ย!!”
นักท่องเที่ยวหลายคนคิดว่า ทําไมถึงไม่ยอมให้พวกเขาให้อาหารสัตว์ในสวนสัตว์ ทั้งที่จ่ายเงินไปแล้ว
การให้อาหารไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ยกตัวอย่าง เนื้อที่ควรจะให้เสือกิน ต้องเป็นเนื้อสัตว์ที่สดใหม่ และต้องมีปริมาณพอเหมาะด้วย
ทว่าเสือในสวนสัตว์ตอนนี้ ต่อให้เขาให้อาหารมันไม่น้อยแล้ว แต่มันกลับไม่ได้สดใสขึ้นเลย ทําให้เจ้าของร่างเดิมเต็มไปด้วยความรู้สึกประหม่า
ยิ่งตอนที่ลิงในสวนสัตว์ล้มป่วย สัตวแพทย์กลับไม่สามารถหาสาเหตุได้ เพราะความสามารถมีจํากัด
สุดท้ายก็แก้ไขได้ด้วยช่วยเหลือของสัตวแพทย์จากสวนสัตว์อื่น
เขาต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเล็กทั้งใหญ่นานาประการ
ปัญหาที่เขาต้องเร่งแก้มีนับไม่ถ้วน นี่เองที่ทําให้เจ้าของร่างเดิมต้องทํางานห่ามรุ่งห่ามค่ำ ต้องตื่นขึ้นมาตอนตี 4 ตี 5 ทุกวันเพื่อมาดูแลสัตว์
สุดท้ายเขาก็หมดสติล้มลงหัวกระแทกพื้นเพราะความเหนื่อยล้า
เห้อ... บางครั้งมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางจริงๆ