ตอนที่ 99 คำอธิบายอาวุธวิญญาณ
“ท่านอาจารย์ ลูกปัดเก็บปราณหยวนอันนี้ทำอะไรได้?” เฉินเฟยเงยหน้ามองเฟิงซิวผู่แล้วถาม
“ช่วยดูดซับปราณหยวนจากฟ้าดิน”
เฟิงซิวผู่วางถ้วยชาในมือลง มองเฉินเฟยและพูดด้วยรอยยิ้ม “โดยปกตินักยุทธ์ระดับปรับแต่งร่างกายจะได้รับพลังภายในจากอาหารและโอสถ แต่แท้จริงแล้วในโลกนี้มีปราณหยวนอยู่ด้วย นักยุทธ์ขัดเกลาทวารสามารถใช้จุดทวารของตนเองดูดซับปราณหยวนเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย”
“ปราณหยวน จุดทวาร?”
เฉินเฟยมองดูลูกปัดในมือและถามอย่างประหลาดใจ “ลูกปัดนี้เทียบได้กับจุดทวารบนร่างกายมนุษย์?”
“รูปแบบคล้ายกัน แต่ผลที่ได้มีไม่ถึงหนึ่งส่วนหรืออาจน้อยกว่านั้น”
เฟิงซิวผู่ส่ายหน้า “แต่ถึงอย่างนั้นลูกปัดเก็บปราณหยวนยังดีมาก อย่างน้อยสามารถทำให้นักยุทธ์ปรับแต่งร่างกายรู้สึกถึงปราณหยวนของฟ้าดินได้ล่วงหน้า มันมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะ”
“ถูกต้อง ศิษย์น้องเล็ก ในสำนักเรามีแต่ศิษย์แท้จริงที่มีมัน และยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” กัวหลินซานด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ แล้วท่าน?” หากไม่ใช่เพราะกัวหลินซาน ครั้งนี้ซือเสวี่ยชิยต้องหนีไปได้แน่นอน ดังนั้นกัวหลินซานจึงมีส่วนแบ่งในความชอบนี้ด้วย
“ข้ามีเช่นกัน อาจารย์เป็นคนให้มา” กัวหลินชานยิ้มและหยิบลูกปัดเก็บปราณหยวนออกมาจากอก
ลูกปัดเก็บปราณหยวนสามารถช่วยดูดซับปราณหยวน สำหรับนักยุทธ์ปรับแต่งร่างกายมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่เร่งความเร็วในการบ่มเพาะ เฟิงซิวผู่อยู่ในระดับขัดเกลาทวาร แต่ในเวลานั้นได้รับบาดเจ็บทำให้ระดับลดลง
ดังนั้นลูกปัดเก็บปราณหยวนจึงไม่มีผลต่อเฟิงซิวผู่
“หลังผู้ดูแลของสำนักกระบี่เซียนเมฆาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นลูกปัดเก็บปราณหยวน” เฟิงซิวผู่อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวหน้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองสามวันก่อน
เมื่อเผชิญหน้ามหาอำนาจอย่างสำนักกระบี่เซียนเมฆา สำนักกระบี่เริ่มดวงดางด้อยกว่าหลายระดับ
“สิ่งนี้สร้างยากหรือ?” เฉินเฟยถามอย่างสงสัย
ภายในสำนักมีเพียงไม่กี่คน เฟิงซิวผู่ต้องใช้เวลาสองสามวันในการแลกเปลี่ยนกับระดับขัดเกลาอวัยวะภายในของสำนักเพลิงเทพกับสำนักกระบี่เซียนเมฆาได้
“ถือว่าหายากทั้งในและนอกสำนักเรา แต่ในสำนักกระบี่เซียนเมฆา ลูกปัดเก็บปราณหยวนนี้เป็นของพื้นฐานสำหรับศิษย์โดดเด่นในสำนักพวกเขา” เฟิงซิวผู่พูดเสียงเบา
“ของพื้นฐาน?”
ดวงตาเฉินเฟยเบิกกว้างโดยไม่รู้ตัว “ลูกปัดเก็บปราณหยวนนี้ถือว่าเป็นอาวุธวิญญาณหรือไม่?”
ในความคิดเฉินเฟย สิ่งที่ช่วยดูดซับปราณหยวนจากฟ้าดินได้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดา มีเพียงอาวุธวิญญาณร่ำลือเท่านั้นที่ทำได้
แต่ตอนนี้เฟิงซิวผู่พูดว่าศิษย์หลายคนของสำนักกระบี่เซียนเมฆาได้รับมันเป็นของพื้นฐาน? ไม่ว่าสำนักกระบี่เซียนเมฆาจะกล้าหาญเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถมีอาวุธวิญญาณได้ทุกคน
หากเป็นเช่นนั้น ช่องว่างระหว่างสำนักจะไม่ใหญ่เกินไปหรือ?
“มันไม่ใช่อาวุธวิญญาณ แต่มีความสามารถส่วนหนึ่งของอาวุธวิญญาณ”
เฟิงซิวผู่ยิ้ม “ลูกปัดเก็บปราณหยวนเป็นเมล็ดผลไม้ของต้นไม้วิญญาณในสำนักกระบี่เซียนเมฆาซึ่งเหลืออยู่หลังจากถูกกิน ดังนั้นสำหรับสำนักกระบี่เซียนเมฆาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสร้างได้ทุกปี”
“เมล็ดผลไม้?”
เฉินเฟยรู้สึกว่าวันนี้เขาได้รับความรู้มากมายนัก ของแบบนี้กลับเป็นเมล็ดผลไม้ เมล็ดผลไม้ยังมีผลขนาดนี้ แล้วเนื้อผลไม้เมื่อกินไปแล้วควรเป็นเช่นไร?
“อย่าไปคิดเลย แม้ลูกปัดเก็บปราณหยวนจะไม่ใช่ของแปลกในบรรดาศิษย์สำนักกระบี่เซียนเมฆา แต่เนื้อของมันไม่ใช่ทุกคนที่กินได้”
กัวหลินซานรู้ทันทีว่าเฉินเฟยคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นท่าทางของเขา ดังนั้นเขาจึงยิ้มและตบไหล่เฉินเฟย
“ในเมื่อมันเป็นเมล็ดผลไม้ เช่นนี้เราใช้มันปลูกต้นไม้ได้หรือไม่?” เฉินเฟยเงยหน้าขึ้นถาม
“หลายคนเลยคิดแบบนี้เช่นกัน แต่ลองแล้วไม่ได้ผล”
เฟิงซิวผู่ส่ายหัว พูดด้วยเสียงต่ำ “หลายคนอิจฉาต้นไม้วิญญาณนั้น ความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งของสำนักกระบี่กระบี่เซียนเมฆาคือต้นไม้วิญญาณ แต่ต้นไม้วิญญาณมีความต้องการด้านสภาพแวดล้อมสูงมากซึ่งพวกเราไม่สามารถจัดหาสถานที่ได้ นอกจากนี้เมล็ดผลไม้นี้ผ่านการหลอมมาแล้ว ดังนั้นพลังชีวิตของมันจึงถูกตัดขาด”
เฉินเฟยพยักหน้า ลูบลูกปัดเก็บปราณหยวนสัมผัสพื้นผิวบางอย่างของลูกปัดเก็บปราณหยวน มันเป็นสัมผัสของไม้จริงๆ
“ลูกปัดเก็บปราณหยวนจะมีผลเมื่อเก็บไว้กับตัว แต่หากต้องการใช้ความสามารถของมันจนถึงขีดสุด ดีที่สุดคือการเรียนรู้เรื่องทั่วไปของอาวุธวิญญาณ”
เฟิงซิวผู่หยิบตำราจากแขนเสื้อแล้วส่งให้เฉินเฟย เฉินเฟยรับมาอย่างสงสัย พบว่าชื่อตำรานี้คือคำอธิบายอาวุธวิญญาณ
“จริงด้วยอาจารย์ ข้าได้รับจี้หยกมาจากปีศาจสาวผู้นั้น จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษในการปัดเป่าหรือไม่?”
ทันใดนั้นเฉินเฟยจำจี้หยกของซือเวี่ยชิน หลายวันนี้เขากับกัวหลินซานลองศึกษามันด้วยตัวเองแต่ก็ไม่พบอะไร
ไม่ว่าเป็นเพราะพลังภายในหรือสิ่งอื่น มีเพียงคืนนั้นที่จี้หยกส่องแสง จากนั้นแสงได้ดับลงราวกับเป็นหยกธรรมดา
เฉินเฟยอยากมอบจี้หยกนี้ให้กัวหลินซาน แต่กัวหลินซานปฏิเสธดังนั้นมันจึงยังคงอยู่ในมือของเฉินเฟย
“นี่เป็นอาวุธกึ่งวิญญาณ มันควรเหลือจากความล้มเหลวในการหลอมอาวุธวิญญาณ อาวุธวิญญาณแท้จริงจะใช้ได้อย่างสมบูรณ์ในระดับขัดเกลาทวารเท่านั้น หากเจ้าใช้มันจำเป็นจะต้องจ่ายด้วยอายุขัย”
เฟิงซิวผู่ชำเลืองมองจี้หยกแล้วพูดด้วยความเสียใจ
“อาจารย์ แล้วไผ่พันหิมะนี้ล่ะ?”
นี่เป็นโอกาหาได้ยาก เฉินเฟยหยิบกล่องอีกใบซึ่งเป็นของขวัญจากซือหยวนไห่
“มันมีผลเล็กน้อยในการต้านทานการโจมตีจิตใจ เจ้าพกติดตัวไว้ได้”
เฟิงซิวผู่ชำเลืองมองและพยักหน้าพูด “หากเจ้าต้องการหลอมอาวุธวิญญาณในอนาคต เจ้าสามารถใช้มันเป็นวัสดุเสริมได้ มันเป็นวัตถุวิญญาณที่ดี”
เฉินเฟยพยักหน้า เมื่อเทียบจี้หยกกับไผ่พันหิมะ แม้ความสามารถไผ่พันหิมะนี้จะมีจำกัดแต่มันยังเก็บไว้ใช้ในอนาคตได้
“ศิษย์น้องเล็ก ด้วยความมั่งคั่งของเจ้าในเวลานี้ หากระดับขัดเกลาอวัยวะภายในคนอื่นเห็นเข้าคงได้คิดร้ายต่อเจ้าแน่” กัวหลินชานขยิบตาให้เฉินเฟย
“อืม สิ่งที่หลินซานพูดมีเหตุผล จงอย่าเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าคนนอก จะได้ไม่เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น” เฟิงซิวผู่พยักหน้าและให้คำแนะนำ
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
เฉินเฟยยิ้ม เขาไม่ได้โง่ เห็นได้ชัดว่าของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรอยู่กับระดับปรับแต่งร่างกายทั่วไป โดยปกติแล้วจำเป็นต้องเก็บซ่อนไว้ให้มิด หากนำออกมาอวดไม่กลัวว่าชีวิตจะสั้นหรือ!
“ช่วงนี้เวลาออกไปด้านนอกก็ระวังด้วย”
เฟิงซิวผู่พยักหน้า หันไปมองกัวหลินชาน “เจ้าอยู่ขอบเขจขัดเกลาอวัยวะภายในแล้ว หลังปรับตัวอีกหลายเดือนค่อยไปท้าทายสืบทอดมรดกแท้จริง”
“ขอรับ!” กัวหลินซานพูดด้วยเสียงทุ้ม การได้รับสือทอดมรดกแท้จริงหรือไม่นั้นเกี่ยวข้องกับขีดจำกัดเส้นทางยุทธ์ในวันข้างหน้า นั่นจึงจำเป็นต้องระวังอย่างถึงที่สุด
“การฝึกฝนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หย่อนยานบางหรือไม่?” เฟิงซิวผู่มองเฉินเฟย
“เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บจึงล่าช้าเล็กน้อย แต่พรุ่งนี้สมควรสำเร็จพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสามได้” เฉินเฟยประเมินความคืบหน้าและพูดด้วยเสียงต่ำ
มือเฟิงซิวผู่ที่ถือถ้วนชาอยู่ถึงกับหยุดชะงัก เขาวางถ้วยชาลงอย่างสงบด้วยสีหน้าพึงพอใจ “อืม เจ้าฝึกฝนได้ดี เมื่อสำเร็จแล้วให้มาหาข้าใรวันพรุ่งนี้”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” เฉินเฟยกุมมือด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกัวหลินซานที่กำลังยิ้มอยู่ด้านข้างได้ยินความคืบหน้าในการฝึกฝนของเฉินเฟย กัวหลินซานก็แทบสำลักน้ำลายตัวเอง
กัวหลินซานเกิดสับสน เขาจำได้ชัดเจนว่าครั้งล่าสุดที่เฟิงซิวผู่สอนพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสามให้เฉินเฟยคือสิบวันก่อน
พูดคือเฉินเฟยใช้เวลาประมาณสิบวันในการสำเร็จพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสาม ซึ่งเกือบจะเป็นเวลาเดียวกับพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสอง
นี่เป็นความเร็วของตัวประหลาดแบบใด กัวหลินซานจำได้ว่าเขาใช้เวลานานมากในการสำเร็จพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสาม
หรือแท้จริงแล้วสำนักเปลี่ยนพลังเข้าใจต้นกำเนิดเป็นรูปแบบอื่น? ความเร็วในการฝึกฝนถึงได้ต่างกันมากเช่นนี้?
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินเฟยทั้งสองออกจากลานบ้านเฟิงซิวผู่
เฟิงซิ่วผูมองดูเฉินเฟยทั้งสองจากไป ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ตึงเครียดตลอดเวลาของเขา ในเวลาเขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ความเข้าใจที่เฉินเฟยแสดงให้เห็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าศิษย์แท้จริงทั่วไปเสียอีก
การฝึกวิชายุทธ์ของศิษย์แท้จริงจะรวดเร็วมาก แต่สิ่งที่แยกศิษย์แท้จริงจากศิษย์ทั่วไปคือความเร็วในการฝึกวิชายุทธ์ระดับสูง
ยิ่งเป็นวิชาระดับสูงจะยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต่างระหว่างคน วิชาระดับต่ำไม่อาจแสดงให้เห็นได้ชัดเจน
หากเฉินเฟยยังรักษาความเข้าใจดังกล่าวไว้ในวิชายุทธ์ระดับสูงได้ ความสำเร็จในอนาคตของเฉินเฟยย่อมคุ้มค่ากับการรอคอย ส่วนฐานกระดูกที่ย่ำแย่นั้น หากมีโอกาสในอนาคตก็สามารถชดเชยบางส่วนได้
แต่ตอนนี้ฐานฝึกฝนเฉินเฟยต่ำเกินไป ทั้งหมดนี้ต้องเก็บเป็นความลับก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอัจฉริยะที่เติบโตขึ้น จะมีเพียงดวงดาวที่ล่วงหล่น
เฉินเฟยอำลากัวหลินซานและเดินไปหอตำราซึ่งอยู่ในสำนัก
การกลับมาสำนักครั้งนอกจากการเรียนรู้พลังเข้าใจต้นกำเนิด สิ่งสำคัญที่สุดคือการไปยังหอตำรา ไม่ใช่เพราะสูตรโอสะทะยานเนินเขาเท่านั้น แต่เฉินเฟยยังต้องการหาวิธีเสริมการป้องกันจิตใจด้วย
เคล็ดชำระใจนั้นดีมาก มันได้ช่วยเฉินเฟยผ่านวิกฤตมากมาย แต่การป้องกันของเคล็ดชำระในตอนนี้ไม่สามารถต้านทานพลังโจมตีของศัตรูได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะภาพลวงตาของซืออี้หนาน สิ่งนี้ทำให้เฉินเฟยหวาดกลัวยิ่ง
นั่นเพียงเด็กอายุประมาณสิบขวบที่ร่างกายเทียบกับคนทั่วไปไม่ได้ ยังดีที่ในเวลานี้ทั้งสองเป็นมิตรมากกว่าศัตรู
แต่เฉินเฟยจำเป็นต้องเตรียมตัวไว้เสมอ เขาอาจเผชิญกับการโจมตีจิตใจที่รุนแรงกว่านี้ในอนาคต ดังนั้นการเสริมความแข็งแกร่งด้านนี้จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย
สิ่งเดียวคือเขาไม่รู้ว่าจะมีวิชาประเภทนี้อยู่ในหอตำราสำนักหรือไม่ หากมีวิชาประเภทนี้อยู่ในนั้นเฉินเฟยจะเรียนรู้มัน
เดินผ่านเส้นทางบนภูเขาหลายสายและได้พบศิษย์ร่วมสำนักบางคน ทั้งสองฝ่ายต่างโค้งคำนับให้กัน เฉินเฟยขอคำแนะนำระหว่างทาง หนึ่งเค่อต่อมาในที่สุดเขาก็เห็นหอบนเนินเขา
ด้านหน้าหอค่อนข้างเงียบ แต่สถานที่ที่ห่างออกมาจากหอกว่าร้อยหมี่ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน
“ซื้อไม่ได้จะขาดทุน หากไม่ซื้อก็โดนหลอก มือพันหยวน เข้ามารับไปได้เลย!”
“พูดเป็นพันเส้นทางเป็นหมื่น สู้ไม่ได้ก็ต้องวิ่งให้เร็ว ไล่ล่าวิญญาณพันลี้ ปล่อยให้ศัตรูเจ้าไล่ตามหลังอยู่เสมอ!”
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เสียงร้องขายของต่างๆก็ดังมาถึงหูเฉินเฟย เฉินเฟยสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้