ตอนที่ 420 กองกำลัง 2 กลุ่ม
ตอนที่ 420 กองกำลัง 2 กลุ่ม
ฟิ้ว!
ยานรบบินออกไปท่ามกลางอวกาศโดยในครั้งนี้อูดี้ได้ส่งกำลังคนมาให้กับทูดี้น้อยมากอย่างน่าสมเพช เพราะนอกเหนือจากตัวเขาและลารี่ที่แขนขาดแล้ว คนที่พอจะพึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่ยำมี่เท่านั้น ส่วนคนติดตามที่เดินทางมาพร้อมกันก็มีอยู่เพียงแค่ประมาณ 20 คน
สิ่งที่พอจะมีลุ้นบ้างก็คือลูกศิษย์ของนักพรตเลยูตี้ได้เดินทางมาพร้อมกับเขาด้วย อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงมีเผ่าพันธุ์เป็นมนุษย์ แล้วเธอก็ยังเด็กมากจนทำให้ทูดี้ไม่ค่อยจะไว้วางใจเธออย่างที่ควรจะเป็น
อูดี้ต้องการให้ปฎิบัติการครั้งนี้เป็นความลับ เพราะอีกฝ่ายอาจจะสามารถเจาะเข้าไปในเครือข่ายของเซิร์กได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นยิ่งจำนวนสมาชิกภายในทีมของพวกเขามีจำนวนน้อยเท่าไหร่ มันก็ยิ่งป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลออกไปได้มากเท่านั้น
แน่นอนว่าอูดี้มีเหตุผลสนับสนุนให้เขาคิดแบบนี้ โดยเฉพาะข่าวการตายของโคลซี่ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเซี่ยเฟยจะต้องสามารถเจาะเข้าไปในเครือข่ายข้อมูลของเซิร์กได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนักรบมนุษย์คนนี้ก็คงจะไม่มีทางหาฐานทัพของโคลซี่เจอได้ ดังนั้นความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น
ความเป็นไปได้อย่างแรกคือมันจะต้องมีผู้ทรยศแฝงตัวอยู่ในชนเผ่าเซิร์ก และคอยรายงานข้อมูลที่สำคัญให้เซี่ยเฟยทราบ โดยผู้ทรยศคนนี้จะต้องมีอำนาจสูงมากและสามารถเข้าถึงความลับทางการทหาร เขาจึงสามารถรู้ตำแหน่งที่ตั้งฐานทัพของโคลซี่ได้
ส่วนเหตุผลประการที่ 2 คือเซี่ยเฟยสามารถเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลของทหารได้สำเร็จ เขาจึงเดินทางไปตามฐานข้อมูลนั้นก่อนที่จะสังหารโคลซี่ลงในที่สุด
ไม่ว่าความจริงจะออกมาในรูปแบบไหนมันก็เพียงพอที่จะทำให้ทูดี้รู้สึกปวดหัว เพราะศัตรูที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดถือว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด นอกจากนี้เขายังรู้สึกราวกับว่าทุก ๆ การเคลื่อนไหวของเขายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของศัตรู
ขณะเดียวกันยำมี่ก็กำลังยืนอยู่ด้านหลังทุกคนและพิงกำแพงอย่างเกียจคร้าน โดยบนริมฝีปากของเขาได้เผยรอยยิ้มออกมาตลอดเวลา แต่บรรยากาศที่เขาปล่อยออกมากลับให้ความรู้สึกที่น่ากลัว
ในบรรดา 7 สุดยอดนักรบศักดิ์สิทธิ์ยำมี่เป็นนักรบที่ทูดี้ทำความเข้าใจความคิดของนักรบคนนี้ได้อย่างยากลำบากที่สุด ซึ่งถ้าหากว่ามันไม่ใช่เพราะอูดี้มอบหมายภารกิจนี้ด้วยตัวเอง เขาก็คงจะไม่มีทางเดินทางไปทำภารกิจร่วมกันกับยำมี่อย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดนักรบคนนี้ก็ชอบที่จะหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและเฝ้ามองทุกคนรอบ ๆ ตัวด้วยรอยยิ้มราวกับคนโรคจิต แล้วมันก็ไม่มีทางที่ใครจะรู้ว่ายำมี่กำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจกันแน่
ในสายตาของทูดี้ทีมเฉพาะกิจในครั้งนี้ต่างก็เต็มไปด้วยเรื่องที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะยานที่พวกเขาอาศัยเดินทางมาคือยานครุยเซอร์เบาที่แทบจะไม่มีอำนาจในการรบเลย ส่วนกลุ่มนักรบที่เดินทางมาต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่น่าสงสัย
—
“พวกเรากำลังจะลงจอดแล้ว คุณจำเป็นจะต้องลงไปตรวจสอบบริเวณสถานที่เกิดเหตุด้วยไหม?” ทูดี้กล่าวถามหมิงจี้ด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง หลังจากที่พวกเขาได้เดินทางมาจนถึงฐานทัพลับที่ล่องลอยอยู่กลางอวกาศ
อย่างไรก็ตามหมิงจี้ก็ไม่เลือกที่จะตอบคำถาม แต่หลับตาด้วยร่างกายที่สั่นอยู่เล็กน้อยคล้ายกับว่าเธอกำลังปลดปล่อยพลังอะไรออกไปบางอย่าง
หลังจากนั้นไม่นานหมิงจี้ก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนที่เธอจะเขียนข้อความและส่งไปให้กับทูดี้
“ฉันตรวจสอบพื้นที่แถวนี้หมดแล้ว ภายในค่ายมีครึ่งศพอยู่ทั้งหมด 17 คนและไม่มีศัตรูหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ”
คำอธิบายของเด็กสาวทำให้ทูดี้ชะงักไปเล็กน้อย เพราะการที่เธอสามารถตรวจสอบค่ายทหารได้ตั้งแต่ยานอวกาศยังไม่ลงจอดก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก นอกจากนี้เธอยังสามารถตรวจสอบข้อมูลภายในค่ายได้เร็วกว่าระบบตรวจจับของระบบเรดาร์ แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าเขาคงไม่สามารถดูถูกเด็กสาวคนนี้ได้อีกแล้ว
คำถามก็คือครึ่งศพที่เธอกล่าวถึงมันคืออะไรกันแน่?
ทูดี้โบกมือและสั่งให้ยานรบเข้าเทียบท่าและทำการเชื่อมต่อกับสะพานเชื่อมยาน จากนั้นเขาก็สั่งให้ทุกคนเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้าไปตรวจสอบในสถานที่เกิดเหตุ
เมื่อท่อเชื่อมยานถูกเปิดออกกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งก็ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่วทั้งในอากาศ
บริเวณทางเดินมีคราบเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่งพร้อมกับซากศพที่ร่างกายถูกตัดจนขาดครึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ และเมื่อพิจารณาจากสภาพของซากศพแล้วพวกเขาทั้งหมดก็คงจะถูกจู่โจมโดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมตัว เพราะศพแต่ละศพยังคงใช้มือถืออาหารโดยได้มีร่องรอยว่าพวกเขาเพิ่งกินอาหารชิ้นนั้นไปเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ลารี่เดินนำหน้าทุกคนไปอย่างไม่เกรงกลัว และทุกครั้งที่เขามองเห็นศพเขาก็จะขมวดคิ้วและถอนหายใจราวกับว่าเขากำลังรู้สึกเจ็บปวดกับความตายของคนเหล่านี้
ทางด้านของหมิงจี้ก็เดินผ่านซากศพไปด้วยท่าทางอันสงบเช่นเดียวกัน ในความเป็นจริงเธอไม่ได้เหลือบสายตามองไปยังซากศพเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะพลังพิเศษของเธอเกี่ยวข้องกับพลังจิต มันจึงทำให้เธอสามารถใช้กระแสจิตรับรู้ข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นจะต้องหันไปมอง แต่กลิ่นเลือดในฐานแห่งนี้ก็ค่อนข้างที่จะแรงเกินไป ดังนั้นเธอจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเพื่อปิดปากในระหว่างที่เธอกำลังก้าวเดิน
ส่วนพฤติกรรมของยำมี่ก็ค่อนข้างที่จะน่าสงสัย เพราะเขาจงใจเว้นระยะห่างจากทุกคนที่อยู่ด้านหน้า และเมื่อทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจกับเขา เขาก็จะเริ่มไปสำรวจซากศพและถ้าหากว่ามันมีใครหันหน้ากลับมามองเขาก็จะเผยรอยยิ้มเสแสร้งออกมาจาง ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่น่าสงสัยเลย
ฟืด!
ประตูของศูนย์บัญชาการเปิดออกอย่างกะทันหัน พร้อมกับทหารที่รอดชีวิตมากกว่า 10 คนนอนร้องไห้และพยายามเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายที่พวกเขาได้พบเจอ ซึ่งมันก็มีพนักงานบางคนที่ร้องไห้อย่างหนักจนไม่สามารถที่จะอธิบายสถานการณ์ออกมาได้ด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก เพราะท้ายที่สุดการอาศัยอยู่ในจักรวาลอันมืดมิดก็มากพอที่จะสร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กับผู้อยู่อาศัยในจักรวาลเป็นเวลานานอยู่แล้ว และหลังจากที่พวกเขารอดชีวิตมาจากการลงมือของเซี่ยเฟย มันก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้อีกต่อไป
ทหารที่รอดตายอย่างหวุดหวิดนอนอยู่บนพื้นและจ้องมองไปยังเพดานอย่างว่างเปล่า โดยที่บนร่างกายของพวกเขามีรูโบ๋ขนาดใหญ่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้รอดชีวิตพวกนี้น่าจะเป็นครึ่งศพที่หมิงจี้ได้พูดถึง และสาเหตุที่พวกเขายังคงรอดชีวิตมาได้แบบนี้มันก็เป็นเพราะเซี่ยเฟยจงใจละเว้นชีวิตของพวกเขาชัด ๆ
จากประวัติการโจมตีครั้งที่ผ่านมาไม่มีใครสามารถรอดชีวิตไปจากคมมีดของเขาได้ เขาจึงสันนิษฐานว่าเซี่ยเฟยจงใจละเว้นชีวิตของคนพวกนี้เอาไว้ หรือไม่เขาก็คงจะได้รับบาดเจ็บแล้วลงมืออย่างผิดพลาดจนมีผู้รอดชีวิตหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
“มันเกิดอะไรขึ้น?” ทูดี้กล่าวถาม
“จู่ ๆ ศัตรูก็บุกเข้ามาอย่างกะทันหันและลงมืออย่างฉับพลัน ทำให้พวกเราที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกเขาลงมือสังหารจนตายกันเกือบหมด”
ทูดี้ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความหดหู่และมันก็ดูเหมือนกับว่าเซี่ยเฟยยังคงลงมือด้วยความรวดเร็ว และเขาก็น่าจะลงมือจู่โจมเข้าใส่ทุกคนภายใต้การเคลื่อนไหวเพียงแค่ครั้งเดียว
เมื่อทูดี้หันศีรษะกลับมาเขาก็ได้พบว่ายำมี่กับหมิงจี้ได้หายไปแล้ว
“พวกเขาหายไปไหน?”
“หมิงจี้กำลังมองหาเศษเสี้ยววิญญาณของศัตรู ส่วนยำมี่ก็เดินตามเธอไป” ลารี่กล่าวตอบ
“หมิงจี้เป็นลูกศิษย์ของท่านนักพรตเลยูตี้ ถ้าหากว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอพวกเราก็คงจะไม่สามารถทนรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาได้ ฉันว่านายควรจะไปดูแลเธอดีกว่า เดี๋ยวฉันจะจัดการกับเรื่องทางนี้เอง” ทูดี้กล่าว
ลารี่พยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในความเป็นจริงทูดี้ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของหมิงจี้เลย สิ่งที่เขากังวลคือยำมี่ที่เดินทางไปพร้อมกับเธอต่างหาก แล้วด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเขาก็คิดว่านักรบคนนี้คงจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่ในใจแน่ ๆ
หัวของโคลซี่ถูกตัดออกแล้ววางไว้บนเก้าอี้กัปตันอย่างเรียบร้อย ซึ่งมันถือได้ว่าเป็นการจัดการกับศีรษะของศพตามสไตล์ปกติของเซี่ยเฟย ทูดี้จึงสั่งให้คนนำหัวของโคลซี่ออกไปก่อนที่เขาจะเริ่มถามคำถามกับผู้รอดชีวิตทีละคน
—
1 ชั่วโมงต่อมาสมาชิกระดับสูงของทีมพิเศษก็ได้กลับมารวมตัวกันในห้องบัญชาการอีกครั้ง
“การสอบสวนเป็นยังไงบ้าง? มีใครเป็นผู้ทรยศเผ่าพันธุ์ของพวกเราหรือเปล่า?” ลารี่ถาม
คำถามนี้ทำให้เหล่าบรรดาทหารที่หวาดกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตัวสั่นขึ้นมาด้วยความกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะท้ายที่สุดภายในค่ายก็มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 2,000 คนและเหลือรอดพวกเขาเพียงแค่ 10 กว่าคนเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันเซิร์กก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างป่าเถื่อน และตราบใดก็ตามที่ทูดี้มีความสงสัยในจิตใจ นายพลคนนี้ก็จะสามารถสังหารพวกเขาได้ในทันทีโดยไม่จำเป็นจะต้องนำตัวไปไต่สวนในศาลทหารก่อนด้วยซ้ำ
“คนพวกนี้ต่างก็ทำงานอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยมีคนพวกเขาจึงรอดชีวิตกลับมาได้ ซึ่งอีกฝ่ายแอบเข้ามาทางระบบระบายอากาศ ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าตรงไปยังศูนย์บัญชาการเพื่อสังหารโคลซี่โดยตรง”
“ประเด็นสำคัญคือทันทีที่เขาเข้ามาภายในค่าย เขาก็สามารถมุ่งหน้าตรงไปยังศูนย์บัญชาการได้ในทันที ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขารู้จักฐานทัพแห่งนี้เป็นอย่างดี และหลังจากที่เขาจัดการกับโคลซี่เขาก็จัดการกับทุกคนในเวลาเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น”
“คำถามก็คือถ้าเขาเลือกลงมือต่ออีกสักนาที ทหารพวกนี้ก็คงจะไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมตอนนั้นเขาถึงต้องหยุดจู่โจมอย่างกะทันหันด้วย?” ทูดี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ในเวลาเดียวกันทูดี้ก็เผยภาพขึ้นมาบนหน้าจอแสดงให้เห็นร่าง ๆ หนึ่งที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว แต่จู่ ๆ เขาก็หยุดอย่างกะทันหันราวกับว่าเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จากนั้นเซี่ยเฟยก็รีบวิ่งกลับไปแล้วปล่อยให้คนพวกนี้รอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน
ภาพเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซี่ยเฟยถึงหยุดจู่โจมในนาทีสุดท้าย หรือว่ามันจะมีคนแอบแจ้งอะไรบางอย่างให้กับเขา ทำให้เขาตัดสินใจถอนตัวกลับไปในที่สุด
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด ทูดี้จึงถอนหายใจออกมาอย่างหนักและหันไปกล่าวถามหมิงจี้ว่า
“คุณพบเศษวิญญาณที่ศัตรูได้ทิ้งไว้หรือเปล่า?”
หมิงจี้พยักหน้าก่อนที่เธอจะเขียนข้อความส่งให้ทูดี้ดู
“ฉันเจอเศษวิญญาณบ้างแต่มันอ่อนแอมาก แสดงว่าเขาไม่ได้ใช้พลังจิตในระหว่างโจมตีมากนัก แต่เศษวิญญาณเท่านี้มันยังไม่พอฉันจำเป็นจะต้องรวบรวมเศษวิญญาณให้ได้มากกว่านี้ ฉันถึงจะสามารถระบุตำแหน่งปัจจุบันของเขาได้”
ทูดี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่เขาก็รู้สึกโชคดีด้วยเช่นกัน เพราะในความคิดของเขาเซี่ยเฟยคือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจนทำให้เขาไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรู เว้นแต่ว่าเขาจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ
ทันใดนั้นเครื่องสื่อสารบนข้อมือของทูดี้, ลารี่และยำมี่ก็ส่งเสียงเตือนขึ้นมาพร้อมกัน
“เขาลงมืออีกแล้ว”
“ผู้อาวุโสฮามี่ตายแล้ว!”
เสียงของลารี่และทูดี้ดังขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน มีเพียงแค่ยำมี่เท่านั้นที่ยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้
“ไปบ้านผู้อาวุโสฮามี่กันเถอะ เผื่อเราจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม” ทูดี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
ในระหว่างที่ทูดี้กำลังเดินออกจากห้องบัญชาการ ยำมี่ก็ยังคงรั้งท้ายอยู่เช่นเดิม ทูดี้จึงหันศีรษะกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจและได้เห็นว่ายำมี่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมีดที่ถูกย้อมชโลมไปด้วยเลือด
“นี่นายฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?” ทูดี้อุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ยำมี่ยักไหล่อย่างเฉยเมยพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันเสแสร้งออกมา
—
ในเวลาเดียวกันกับที่ทูดี้ได้รับข้อมูลว่าฮามี่ถูกสังหาร บริเวณที่ห่างออกไปจากค่ายไม่มากนักบนยานฟริเกตสีทองลำหนึ่งก็กำลังมีเสียงสัญญาณดังแจ้งเตือนขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เมื่อภาพบนหน้าจอได้ถูกเปิดออก ผู้ที่ทำการติดต่อมายังยานลำนี้ก็คือชิววี่พ่อของบิทินี่นั่นเอง
“ผู้อาวุโสฮามี่เสียชีวิตแล้ว ฉันจะรีบส่งตำแหน่งของผู้อาวุโสให้ แต่จำเอาไว้ว่าพวกนายจะต้องหาเซี่ยเฟยให้พบก่อนพวกทูดี้”
หลังจากม่านแสงปิดลงยานฟริเกตลำนี้ก็แล่นตามยานครุยเซอร์ของทูดี้ไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งในตอนนี้มันกลับมีกองกำลัง 2 กลุ่มที่กำลังพุ่งเป้าไปที่เซี่ยเฟยเหมือน ๆ กัน
***************