ตอนที่ 419 ตีน้ำให้ขุ่น
ตอนที่ 419 ตีน้ำให้ขุ่น
“เจ้านายผัดหมี่กับโค้กของคุณได้แล้ว” กระป๋องนำผัดหมี่ถ้วยใหญ่กับโค้ก 1 แก้วมาเสิร์ฟให้เซี่ยเฟยด้วยความเคารพ
“ฝีมือของนายพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะกระป๋อง ฉันว่าอีกไม่นานนายก็คงจะมีฝีมือเทียบชั้นกับเชฟชั้นยอดในภัตตาคารของเมืองปักกิ่งแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับตบหน้าผากกระป๋องเบา ๆ
“เมืองปักกิ่งคือที่ไหน? ที่นั่นสนุกไหม?” กระป๋องถามอย่างไร้เดียงสา
คำถามนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดในปัจจุบันภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่และดาวโลกก็ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเซิร์กแล้ว โดยเซี่ยเฟยได้รู้เรื่องนี้มาในระหว่างที่เขาตรวจสอบรายงานในเครือข่ายภายในของพวกเซิร์ก
เมื่อสงครามลุกลามไปถึงเซี่ยเฟยก็ไม่อยากรู้เลยว่าสิ่งต่าง ๆ ภายในโลกอย่างสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดถูกทำลายไปแล้วหรือไม่ น้องชายขายซาลาเปาหรือพี่ชายช่างตัดผมซึ่งเป็นเพื่อนบ้านตั้งแต่สมัยเขายังเด็กจะเป็นยังไงบ้าง ที่สำคัญคือกลุ่มพวกพ้องที่ร่วมก่อตั้งบริษัทควอนตัมขึ้นมาด้วยกันเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
ย้อนกลับไปสมัยเมื่อเขายังเด็กเขาก็มักจะบ่นไม่ชอบสิ่งต่าง ๆ ในเมืองปักกิ่งอย่างมากมาย แต่ในตอนนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่าเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกทำลายหายไปจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขาเลย
กระป๋องผู้ไร้เดียงสายังคงรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เซี่ยเฟยจึงทำได้เพียงแต่ฝืนยิ้มและกล่าวต่อไปว่า
“มันก็เป็นเมืองที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน”
ทันใดนั้นขนอุยที่นอนหลับอยู่บนโซฟาก็กระโดดขึ้นมาส่งเสียงร้องคำรามราวกับว่ามันกำลังรู้สึกโกรธ แล้วหลังจากที่มันแสดงอาการอารมณ์เสียออกมาครู่หนึ่งมันก็กลับไปหลับบนโซฟาอีกครั้ง คล้ายกับเมื่อสักครู่มันกำลังฝันถึงเหตุการณ์อันเลวร้าย
“ขนอุยมันเป็นอะไรไป?” อันธถาม
“มันคงสัมผัสได้ถึงสภาพอารมณ์ที่แปรปรวนในจิตใจของฉัน แต่เมื่อมันตื่นมาแล้วไม่เห็นศัตรูมันก็เลยกลับไปนอนต่อ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
อันธพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะหลังจากที่ขนอุยได้ทำพันธสัญญากับเซี่ยเฟย เจ้าหนูนี่ก็มักที่จะมีอารมณ์ร่วมกับเซี่ยเฟยทุกช่วงเวลา และเนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้เซี่ยเฟยกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ที่หดหู่มาก มันจึงทำให้ขนอุยกลายเป็นอสูรที่หงุดหงิดง่ายเช่นเดียวกัน
หลังจากกินผัดหมี่ไป 2-3 คำเซี่ยเฟยก็เปิดคอมพิวเตอร์และเจาะระบบเข้าสู่เครือข่ายของเซิร์ก ซึ่งหลังจากที่เขาได้เจาะผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนเขาก็สามารถเรียกดูข้อมูลส่วนใหญ่ได้ตามต้องการแม้กระทั่งข้อมูลของทางทหาร เพียงแต่การพยายามเข้าดูข้อมูลพวกนั้นจำเป็นจะต้องมีการปลอมแปลงตัวตนอยู่เล็กน้อย
กระดานจัดอันดับนักรบศักดิ์สิทธิ์ 100 อันดับแรกได้รับการอัปเดตใหม่แล้ว เซี่ยเฟยจึงมองหาเป้าหมายรายต่อไปในกระดานจัดอันดับนี้ โดยฟูซี่ที่เขาพึ่งสังหารไปเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์อันดับ 300 กว่า ๆ เท่านั้น และถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาออกมาเรียกร้องหาความตายมากเกินไป เซี่ยเฟยก็คงจะไม่สนใจเซิร์กคนนี้ตั้งแต่แรก เพราะท้ายที่สุดเป้าหมายที่เขาให้ความสนใจจริง ๆ คือนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ติดอันดับ 100 คนแรกต่างหาก
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะเป็นตารางการจัดอันดับของนักรบศักดิ์สิทธิ์ แต่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งอันดับ 1 ในกระดานจัดอันดับกลับเป็นนักพรตที่มีชื่อว่าเลยูตี้ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะพยายามหาข้อมูลนักพรตคนนี้อย่างมากมาย แต่ข้อมูลโดยส่วนใหญ่ก็กล่าวบอกแต่เพียงว่าตัวตนของเขาเป็นตัวตนที่คล้ายกับเทพเจ้า
แต่ไหนแต่ไรเซี่ยเฟยก็ไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเจ้ามาก่อนอยู่แล้ว เพราะเขาเชื่อมาโดยตลอดว่าเทพเจ้าคือตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการโดยทั่วไป จนทำให้ผู้คนให้ความเคารพยกย่องตัวตนของพวกเขาประดุจเทพเจ้า
ด้วยการที่ประชาชนชาวเซิร์กเป็นจำนวนมากยกย่องให้นักพรตเลยูตี้เป็นดั่งเทพเจ้านี่เอง มันจึงทำให้ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่านักรบเซิร์กอันดับ 1 จะต้องเป็นตัวตนที่มีความแข็งแกร่งในระดับที่สูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย และมันยังเป็นการเตือนไม่ให้เขาเข้าไปพัวพันกับนักรบหมายเลข 1 คนนี้
อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่เขาเลือกก็ต้องอยู่ไม่ห่างจากเขามากเกินไป เพราะเป้าหมายสุดท้ายคือการทำลายเมืองหลวงของดินแดนเซิร์ก และสังหารอูดี้ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเต็นท์ทองคำคนปัจจุบันลง แล้วนั่นก็เป็นเพียงแค่โอกาสเดียวที่เขาจะช่วยไม่ให้มนุษยชาติสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
การจู่โจมนักรบศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ระหว่างทางเป็นเพียงแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพราะเป้าหมายสำคัญคือการใช้ดาวพิฆาตระเบิดทำลายเมืองหลวงของเซิร์กโดยตรง และถึงแม้ว่ากองกำลังเฉพาะกิจที่เดินทางมาพร้อมกับเขาจะถูกทำลายลงไปจนหมดแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ให้กับภารกิจดั้งเดิมที่เขาได้รับมอบหมายมา
“เป้าหมายต่อไปคือใคร?” อันธถาม
เซี่ยเฟยใช้นิ้วจิ้มหน้าจอเบา ๆ เพื่อเรียกข้อมูลนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเลือกเป็นเป้าหมาย และตำแหน่งในปัจจุบันที่ถูกบันทึกเอาไว้ในแผนที่ดวงดาว
“แบบนี้มันจะไม่แสดงเจตนาของนายชัดเจนเกินไปหน่อยเหรอ? ฉันเกรงว่ากว่าที่นายจะเดินทางไปจนถึงเมืองหลวง เต็นท์ทองคำก็คงจะถูกคุ้มกันอย่างหนาแน่นมากแล้ว” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“บางครั้งมันก็จำเป็นจะต้องใช้กลยุทธ์ตีหญ้าให้งูตื่น ถ้าทุกคนกำลังคิดว่าเรากำลังจะบุกไปเมืองหลวง แต่จู่ ๆ เราหายไปมันจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างนั้นล่ะ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างมีเลศนัย
“เออ…” อันธคิดตามอย่างตกตะลึง เพราะท้ายที่สุดกลยุทธ์ของเซี่ยเฟยก็มักจะเป็นกลยุทธ์ที่เจ้าเล่ห์และยืดหยุ่นอยู่เสมอ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะอยู่กับชายหนุ่มคนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเซี่ยเฟยได้
“ถ้าหากว่าเราเปรียบดินแดนของเซิร์กเป็นแอ่งน้ำ พวกเราก็จำเป็นจะต้องตีแอ่งน้ำพวกนั้นให้กลายเป็นบ่อน้ำโคลน ในเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กหรือปลาใหญ่ในแอ่งน้ำก็จะรู้สึกแตกตื่น แล้วพวกเราค่อยอาศัยช่วงจังหวะที่ชุลมุนนั้นในการฉกฉวยหาโอกาส” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยแววตาที่เย็นชา
“นายกำลังหมายความว่าพวกเราไม่ได้จะมุ่งตรงไปที่เมืองหลวงโดยตรง แต่จะค่อย ๆ สังหารนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของพวกเขาไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างความหวาดกลัวใช่ไหม? ในเวลานั้นพวกเขาก็คงจะต้องไปรวมตัวกันอยู่ที่เต็นท์ทองคำเพื่อปกป้องราชาและปกป้องความปลอดภัยของตัวเอง” อันธกล่าว
อูดี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเซิร์กที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นการต่อสู้กับคนฉลาดจึงไม่ใช่เพียงแค่การใช้กำลังเพื่อเอาชนะเพียงอย่างเดียว แต่ยังจำเป็นจะต้องคาดเดานิสัยและการตัดสินใจของพวกเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการพยายามจัดการกับคนพวกนี้ก็จำเป็นจะต้องลงมือเพียงครั้งเดียวเพื่อไม่ให้พวกเขามีโอกาสตั้งตัวกลับมาได้เป็นครั้งที่ 2
“ถึงแม้ว่าดาวพิฆาตจะทรงพลังแต่เราก็เคยใช้ดาวพิฆาตมาครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นการจะใช้มันอีกครั้งหนึ่งจึงไม่มีทางที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเหมือนเดิม ตอนนี้สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำคือการสร้างภาพลวงตาว่าเรากำลังมุ่งหน้าตรงเข้าสู่เมืองหลวงของพวกมัน แต่เมื่อพวกมันได้ย้ายการป้องกันไปยังเมืองหลวง พวกเราก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปจู่โจมยังสถานที่ต่าง ๆ รอบเมืองหลวงของพวกมันแทน” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
“แล้วยังไงต่อ?” อันธถามขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“เอาน่า ฉันมีแผนการภายในใจแล้ว แต่โดยสรุปก็คือเมื่อเราต้องต่อกรกับคนฉลาดพวกเราย่อมไม่สามารถให้พวกเขาอ่านการกระทำของพวกเราได้ ดังนั้นยิ่งอูดี้รู้สึกสับสนมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น และในระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจผิดพลาดตอนนั้นนั่นแหละที่จะเป็นโอกาสลงมือของเรา”
“อย่าลืมสิว่าตอนนี้เราหลบซ่อนอยู่ในความมืด และเรายังสามารถเข้าถึงเครือข่ายทางทหารของพวกเซิร์กได้อีกด้วย”
แม้ว่าคำอธิบายของเซี่ยเฟยจะยังไม่สามารถตอบข้อสงสัยของอันธได้มากนัก แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าเซี่ยเฟยจะต้องใช้วิธีการที่พิเศษมากแน่ ๆ
อูดี้ไม่ใช่คนธรรมดาไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถครอบครองเต็นท์ทองคำมาจนถึงปัจจุบันได้ เพราะท้ายที่สุดเผ่าพันธุ์ไรฝุ่นก็มีจำนวนประชากรน้อยมากจนแทบที่จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีอำนาจใด ๆ ในดินแดนเซิร์กเลย ดังนั้นการที่จู่ ๆ ไรฝุ่นได้ขึ้นมานั่งอยู่บนบัลลังก์จึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง เพราะถ้าหากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ มันก็ไม่มีไรฝุ่นตัวไหนเคยขึ้นมาเป็นนายพลได้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อมีเป้าหมายต้องจัดการกับคนที่พิเศษแบบนี้ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องเตรียมแผนการที่มีความพิเศษมากด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้กินอาหารจนหมดเขาก็ได้กลับเข้าไปภายในห้องเพื่อเริ่มทำการฝึกฝนอีกครั้ง
ทันใดนั้นอันธก็ได้เห็นว่ากระป๋องได้ส่งวิดีโอที่เซี่ยเฟยทำการสังหารฟูซี่ และชีวิตประจำวันของเขาเล็กน้อยกลับไปยังพันธมิตรผ่านทางระบบเรดาร์แบล็คแบท
เหตุการณ์นี้ทำให้อันธรู้สึกสงสัยมาก เพราะเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มออกคำสั่งลักษณะนี้มาก่อนเลย แล้วทำไมกระป๋องถึงส่งวิดีโอการใช้ชีวิตประจำวันและบันทึกการต่อสู้ของชายหนุ่มกลับไปยังพันธมิตรโดยไม่ได้รับอนุญาต
“เจ้านายชอบคุณแอวริลมาก คนดี ๆ อย่างคุณแอวริลจะต้องไม่ตายอย่างแน่นอน กระป๋องจะต้องบอกคุณแอวริลให้รู้ว่าเจ้านายยังมีชีวิตอยู่” กระป๋องพูดกับตัวเองขณะที่มันส่งวิดีโอกลับไปยังพันธมิตร
เสียงพึมพำของหุ่นยนต์ตัวน้อยถึงกับทำให้อันธพูดไม่ออก เพราะท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่ากระป๋องยังไม่เชื่อว่าแอวริลตายแล้ว เขาจึงส่งบันทึกประจำวันของเซี่ยเฟยกลับไปยังพันธมิตรโดยหวังว่าแอวริลจะได้เห็นการใช้ชีวิตประจำวันของชายหนุ่ม
อันธทำได้เพียงแต่ถอนหายใจก่อนที่จะจากไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในระหว่างนั้นกระป๋องก็ยังคงบ่นพึมพำกับตัวเอง
“คุณแอวริลจะต้องไม่ตาย เจ้านายก็จะต้องไม่ตายด้วยเหมือนกัน เจ้านายเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าคุณแอวริลได้เห็นเจ้านายออกล่าคุณแอวริลจะต้องมีความสุข”
—
ทูดี้ไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่าอูดี้จะมอบภารกิจใหม่ให้กับเขาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ โดยเขาจะต้องทำการติดตามมนุษย์ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ออกไปค้นหาผู้บุกรุก โดยคนที่จะต้องเดินทางไปร่วมภารกิจกับเขาก็มีทั้งลารี่ผู้รอดชีวิตมาพร้อมกับเขา และนักรบศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ที่ถูกจัดสรรเข้ามาอีก 7 คน
ครั้งสุดท้ายที่เขาถูกวาร์ปไปยังฝูงสัตว์อสูร มันก็ทำให้ทูดี้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปแล้ว เขาจึงตั้งใจที่จะวางมือจากทุกอย่างและมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านเกิดเพื่อพักผ่อน
อย่างไรก็ตามเมื่อมันมีคำสั่งออกมาเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะต้องกัดฟันยอมรับภารกิจและเดินทางกลับไปยังเต็นท์ทองคำอีกครั้ง
แต่ในคราวนี้เขาไม่ได้เลือกเดินทางโดยยานประจัญบานขนาดใหญ่ แต่เลือกใช้ยานครุยเซอร์ที่มีขนาดเล็กลงมาจากเดิมแทน เหตุผลก็เพราะเรื่องความคล่องตัวและจำนวนของผู้ทำภารกิจในครั้งนี้น้อยกว่าจำนวนของผู้ทำภารกิจในครั้งที่แล้วมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ยานรบที่คล่องแคล่วและว่องไวเพื่อที่จะได้ติดตามเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านนายพลตอนนี้โคลซี่นักรบศักดิ์สิทธิ์อันดับที่ 61 ถูกศัตรูสังหารไปแล้วครับ” พลทหารสื่อสารรายงานข้อความด่วนพร้อมกับขมวดคิ้ว
“อะไรนะ?! โคลซี่เป็นผู้บัญชาการฐานป้องกันในห้วงอวกาศไม่ใช่เหรอ? ฐานทัพที่เขาอยู่เป็นฐานทัพที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางจักรวาลอย่างลับ ๆ แล้วเขาจะถูกศัตรูแอบลอบฆ่าได้ยังไง?” ทูดี้อุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“มีข่าวลือบอกมาว่ามีคนแอบเข้าไปในฐานและฆ่าลูกเรือทั้งหมดในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีครับ”
หน่วยงานของโคลซี่เปรียบเสมือนกับหน่วยงานสืบสวนลับที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางจักรวาลตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นเซี่ยเฟยก็ยังสามารถค้นหาฐานทัพอันลึกลับแห่งนี้ได้ และเขายังสามารถลอบสังหารทุกคนในฐานทัพได้สำเร็จโดยไม่มีใครล่วงรู้ถึงการปรากฏตัวของเขามาก่อนเลย
หรือว่ามันจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในเผ่าพันธุ์เซิร์ก?
ทูดี้ขมวดคิ้วก่อนที่จะหันไปสบสายตากับหมิงจี้โดยหวังที่จะได้รับคำแนะนำจากเธอ เพราะท้ายที่สุดถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ชาวเซิร์กแต่เธอก็เป็นถึงลูกศิษย์ของนักพรตเลยูตี้ ดังนั้นตัวตนของเธอจึงถือว่ามีสถานะที่สูงมาก
อย่างไรก็ตามหมิงจี้เป็นใบ้และพูดไม่ได้ เธอจึงหยิบกระดานอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาและเขียนข้อความหนึ่งย่อหน้าให้ทูดี้ได้อ่าน
‘พาฉันไปที่เกิดเหตุ พลังพิเศษของฉันคือการติดตามวิญญาณ ตราบใดก็ตามที่ฉันสามารถหาเศษเสี้ยววิญญาณที่ศัตรูทิ้งไว้ได้ ฉันก็จะรู้ว่าศัตรูซ่อนตัวอยู่ที่ไหน’
***************
ตกหลุมรักกระป๋องอีกแล้ววว อยากมีแบบนี้สักตัว!!