ตอนที่ 418 เสร็จสิ้นการฝึกฝนกับลูกแก้วดาวตก
ตอนที่ 418 เสร็จสิ้นการฝึกฝนกับลูกแก้วดาวตก
ในห้องฝึก
ปัจจุบันเซี่ยเฟยกำลังวิ่งไล่จับลูกแก้วดาวตก 1,286 ลูก โดยลูกแก้วพวกนี้มีหลากหลายสีและมีขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ลูกแก้วบางลูกเปล่งแสงออกมาอย่างสว่างไสว แต่ลูกแก้วบางลูกก็ดำมืดจนแทบจะมองไม่เห็น
บางครั้งพวกมันจะเคลื่อนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มเพื่อยั่วยุให้เซี่ยเฟยคว้ามือจับพวกมันเอาไว้ แต่เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มยื่นมือออกไปพวกมันก็จะหลบหนีด้วยความว่องไวดุจสายลม
หลังจากที่ระดับพลังความเร็วเพิ่มขึ้นมาจนถึงระดับลีเจนด์ ความเร็วของเซี่ยเฟยก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า มันจึงทำให้ระดับการฝึกฝนกับลูกแก้วดาวตกเพิ่มความยากลำบากขึ้นจากเดิมในทันที ซึ่งในช่วงเวลา 20 วันที่ผ่านมาชายหนุ่มได้เลื่อนระดับการฝึกจากระดับที่ 2 ไปจนถึงระดับที่ 5 มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงมีลูกแก้วจำนวนนับพันวิ่งว่อนอยู่ทั่วทั้งห้องฝึก
การพยายามจับลูกแก้วที่เจ้าเล่ห์พวกนี้ไม่สามารถจะใช้เพียงความเร็วได้เท่านั้น แต่มันจำเป็นจะต้องใช้อัตราการตอบสนองที่ว่องไวผิดมนุษย์มนาอีกด้วย ท้ายที่สุดพวกมันก็เคลื่อนไหวโดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน และการคิดวิเคราะห์ของพวกมันก็จัดอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา
มันอาจจะสามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการฝึกฝนกับลูกแก้วดาวตกช่วยพัฒนาทั้งศักยภาพทางด้านร่างกาย และช่วยพัฒนาความคิดไปในเวลาเดียวกัน เพราะหลังจากฝึกฝนกับลูกแก้วพวกนี้มาเป็นเวลานาน วิชาเล่ห์กายาของเซี่ยเฟยก็พัฒนาขึ้นมาจากเดิมอย่างไม่สามารถที่จะนำไปเปรียบเทียบกันได้
เล่ห์กายาของเซี่ยเฟยในปัจจุบันไม่เพียงแต่จะทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเท่านั้น แต่ในบางครั้งเขายังบิดร่างกายอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าแม้แต่อันธผู้สอนวิชานี้ให้กับเขาก็ยังรู้สึกอึ้งว่าเขาสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง
เล่ห์กายาที่เซี่ยเฟยได้พัฒนาขึ้นมาดีกว่าวิชาต้นฉบับไปไกลแล้ว และมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงหากจะบอกว่าเซี่ยเฟยคือผู้คิดค้นวิชาเล่ห์กายาฉบับใหม่
หากเปรียบเทียบวิชาเล่ห์กายาฉบับดั้งเดิมเป็นต้นหญ้าบนพื้นดิน วิชาเล่ห์กายาฉบับใหม่ที่เซี่ยเฟยได้ปรับปรุงขึ้นมาก็เหมือนกับต้นไม้สูงตระหง่านที่ยืนหยัดกลางท้องฟ้าเป็นเวลานานกว่า 100 ปี ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบแบบนี้ทุกคนก็คงจะสามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่า ชายหนุ่มได้พัฒนาวิชาเล่ห์กายาขึ้นมามากขนาดไหน
น่าเสียดายที่ถึงแม้วิชาเล่ห์กายาฉบับใหม่จะได้กลายเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็คงจะไม่มีใครสามารถสืบทอดวิชานี้ต่อจากเซี่ยเฟยได้ เพราะท้ายที่สุดข้อกำหนดในการใช้เล่ห์กายาฉบับใหม่ก็ยุ่งยากมาก ซึ่งในช่วงชีวิตของชายหนุ่มก็อาจจะไม่มีใครสามารถสืบทอดวิชานี้จากเขาเลยก็ได้
ขวับ!
ในที่สุดลูกแก้วทั้ง 1,286 ลูกก็ถูกเซี่ยเฟยจับเอาไว้ในมือ ซึ่งมันก็หมายความว่าการฝึกฝนขั้นสูงระดับที่ 5 ผ่านพ้นไปอย่างเสร็จสมบูรณ์
เซี่ยเฟยใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าและรอการฝึกฝนในระดับถัดไป
“เซี่ยเฟยฉันว่านายตั้งชื่อวิชาการเคลื่อนไหวของนายใหม่ได้แล้ว หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของนายมันก็ไม่ใช่วิชาเล่ห์กายาอีกต่อไป แล้วมันก็จะได้เป็นการประกาศให้ทุกคนรู้ว่านี่คือวิชาที่นายเป็นผู้คิดค้น” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างมีความสุข
“ไม่จำเป็นหรอก ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดที่จะสืบทอดวิชานี้ให้กับคนอื่นอยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“นายจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ปกติคนที่สามารถคิดค้นวิชาระดับสูงแบบนี้ขึ้นมาได้ก็สมควรจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ที่สามารถก่อตั้งสำนักของตัวเองได้เลย อย่างน้อยนายก็ควรจะตั้งชื่อให้กับมันเพื่อเป็นเกียรติให้กับตัวเองบ้าง” อันธกล่าว
“เป็นปรมาจารย์แล้วยังไง? ท้ายที่สุดตำแหน่งมันก็ไม่ได้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการต่อสู้ให้กับฉันอยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
เหตุการณ์นี้ทำให้อันธรู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่าความเย็นชาและความกระหายเลือดบนร่างของชายหนุ่มกำลังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้นจากเมื่อก่อนเช่นเดียวกัน
หลังจากรอไปสักพักการฝึกฝนในขั้นที่ 6 ก็ยังไม่มาสักที เซี่ยเฟยจึงสงสัยว่าลูกแก้วดาวตกคงจะหมดพลังงานแล้ว และมันก็อาจจะต้องใช้หัวใจจักรวาลสีม่วงเพื่อเติมพลังงานให้มันกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
แต่เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้กล่องลูกแก้วดาวตก เขาก็ได้พบกับข้อความสั้น ๆ เขียนอยู่บนตัวกล้อง โดยมันเป็นข้อความที่ระบุว่าการฝึกฝนทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งหลังจากนี้เขาก็สามารถเลือกระดับการฝึกฝนในระดับก่อนหน้าได้เท่านั้น โดยไม่มีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่านี้ให้เขาทำการฝึกฝนแล้ว
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแค่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วถึงแม้ว่ามันจะมีข้อความว่าเขาฝึกฝนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขามันยังคงมีช่องว่างให้ปรับปรุงเพิ่มขึ้นอีกอยู่ดี
“ตอนนี้การเคลื่อนไหวของนายถึงระดับปรมาจารย์แล้ว และการฝึกของลูกแก้วดาวตกก็มาถึงขีดจำกัดแล้วด้วยเหมือนกัน บางทีเทคโนโลยีของอารยธรรมโบราณคงจะพัฒนามาได้ไกลเพียงเท่านี้” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
“บางที่ตอนนี้วิชาเล่ห์กายาสำหรับนายอาจจะมาถึงจุดที่ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้แล้วหรือเปล่า?” อันธกล่าว
“ตอนแรกฉันก็เคยมีความคิดประมาณนั้นเหมือนกัน ว่าฉันคงจะสามารถพัฒนาวิชาเล่ห์กายาได้อย่างมากที่สุดก็แค่เทียบเท่ากับเจ้าสำนักคนอื่น ๆ ของสำนักเงาสังหาร แต่หลังจากที่ฉันได้รับลูกแก้วดาวตกมันก็ทำให้ความคิดของฉันเปลี่ยนไป” เซี่ยเฟยกล่าว
“หลังจากที่นายได้รับลูกแก้วดาวตกนายได้ยกระดับวิชาเล่ห์กายาให้สูงกว่าเจ้าสำนักคนอื่น ๆ จริง ๆ และฉันก็เชื่อว่าแม้แต่ผู้ที่ใช้วิชาเล่ห์กายาได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักก็คงจะไม่มีทางใช้วิชานี้ได้อย่างคล่องแคล่วเท่ากับนาย” อันธกล่าว
“ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าฉันได้ลูกแก้วดาวตกที่เป็นอุปกรณ์ฝึกฝนที่ผลิตขึ้นจากอารยธรรมโบราณใช่ไหมล่ะ? ท้ายที่สุดระดับของเทคโนโลยีและศิลปะการต่อสู้ของอารยธรรมโบราณก็สูงกว่าพันธมิตรมนุษย์ในปัจจุบันมาก มันจึงทำให้ฉันสามารถพัฒนาระดับวิชานี้ให้สูงเหนือกว่าระดับวิชาของพันธมิตรในปัจจุบันได้”
“ก่อนหน้านี้นายก็เคยบอกฉันเหมือนกันว่าพลังความเร็วเป็นหนึ่งในพลังที่ฝึกฝนได้อย่างยากลำบากมากที่สุด และถ้าหากว่าฉันสามารถพัฒนาพลังความเร็วได้จนถึงระดับลีเจนด์ ฉันก็คงจะได้ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดของพีระมิด”
“อย่างไรก็ตามแม้ว่าในตอนนี้พลังความเร็วของฉันจะได้มาถึงระดับลีเจนด์แล้วจริง ๆ แต่ฉันก็ยังแทบที่จะไม่สามารถช่วยเหลือพันธมิตรในช่วงวิกฤติได้เลย ซึ่งถ้าหากเทียบกับนักสู้จากอารยธรรมโบราณแล้วพลังเพียงแค่นี้ก็คงจะทำให้ฉันยืนอยู่ได้แค่กลาง ๆ ของพีระมิดเท่านั้น และถ้าหากว่าฉันได้ไปยืนอยู่ในดินแดนของผู้ใช้กฎเผลอ ๆ ฉันก็อาจจะต้องไปยืนอยู่บนฐานล่างของพีระมิดเลยด้วยซ้ำ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่
“การฝึกฝนพลังการต่อสู้ก็เป็นเหมือนกับการปีนขึ้นไปบนภูเขานั่นแหละ เมื่อนายปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขานายจึงจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตามภูเขาที่นายกำลังปีนอยู่ก็อาจจะไม่ใช่ภูเขาที่มียอดสูงที่สุด และถ้าหากว่านายยังไม่ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุด มันก็จะมีภูเขาลูกอื่น ๆ ค่อยบังวิวทิวทัศน์ของนายอยู่เสมอ”
“ไม่ว่าจะพูดยังไงตอนนี้ทั้งพลังความเร็วของนาย, วิชาเล่ห์กายาและวิชามนตราอสูรต่างก็ล้วนแล้วแต่ทำให้นายขึ้นมายืนอยู่บนยอดพีระมิดของพันธมิตรโดยสมบูรณ์ แม้แต่วิชาพรางจิตของนายก็อยู่ในระดับที่ไม่เลว ฉันเชื่อว่าแม้แต่คนที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิดของพันธมิตรจริง ๆ ก็คงจะต้องใช้เวลานานมากเพื่อที่จะหาตัวตนของนายให้เจอ ดังนั้นอย่าดูถูกตัวเองมากจนเกินไป อย่างน้อยระดับพลังของนายในปัจจุบันก็จัดอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ” อันธกล่าว
“ฉันไม่ได้ดูถูกตัวเอง ฉันแค่กำลังบอกว่ามันยังพอมีความหวังที่ฉันจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ความหวัง?”
“อย่าลืมสิว่าผู้อาวุโสหยูเจียงกำลังชวนให้ฉันไปฝึกฝนพลังของกฎแห่งจักรวาล”
“แล้วทำไมนายถึงยังปฏิเสธคำเชิญของเขาล่ะ?”
“นายก็รู้ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่อีกมาก และถ้าหากว่าฉันต้องการจะฝึกฝนวิชาใด ๆ ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากจริง ๆ อย่างน้อยฉันก็ควรจะต้องขจัดสิ่งที่ค้างคาใจทั้งหมดออกไปจากจิตใจของฉันก่อน”
“ถ้าตอนนั้นฉันตกลงตามพวกเขาไปฉันก็ไม่มีทางฝึกพลังของกฎแห่งจักรวาลได้อย่างสงบสุขแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทควอนตัม, คุณตาฉินหมางหรือดาวโลกที่เป็นบ้านเกิดของฉันต่างก็กำลังฉุดรั้งความกังวลในใจของฉันเอาไว้ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันได้ฝึกฝนกฎแห่งจักรวาลทั้ง ๆ ที่ยังมีเรื่องค้างคาใจ เรื่องพวกนี้ก็คงจะฉุดรั้งฉันไว้ไม่ให้ฉันพัฒนาขึ้นไปอย่างราบรื่นได้แน่ ๆ”
“นายพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้รอบคอบมากกว่าฉันจริง ๆ การฝึกฝนแบบไร้สติย่อมสามารถชักนำนายไปยังเส้นทางที่ผิดได้อย่างง่ายดาย และถึงแม้ว่าในครั้งนี้มันจะดูเหมือนว่านายปฏิเสธโอกาสที่ดีไป แต่มันกลับกลายเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับนายแทน” อันธกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“เอาล่ะจากนี้ฉันขอสนับสนุนการตัดสินใจของนายอย่างเต็มที่ เรามาใช้เวลา 3 ปีหลังจากนี้ในการสะสางเรื่องที่ค้างคาในจิตใจของนายกันเถอะ!”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันมันก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของแอวริลขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเซี่ยเฟยกำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการใช้ชีวิตต่อไปโดยเก็บเธอคนนั้นไว้ในส่วนลึกของจิตใจ อันธจึงไม่คิดที่จะขุดเรื่องของหญิงสาวขึ้นมาให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดเป็นครั้งที่ 2
ทุกคนย่อมมีบาดแผลที่ไม่อาจลบเลือนได้และการก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับรอยแผลเป็นนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไปบาดแผลในอดีตก็จะค่อย ๆ สมานตัวขึ้นมาเอง ซึ่งเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นวิถีของจักรวาลที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็จะต้องพบเจอในช่วงชีวิตของพวกเขาบ้างไม่ช้าก็เร็ว
—
ห้องบัญชาการของแวมไพร์มีขนาดเล็กกว่าห้องบัญชาการของเบโอเนทมาก เพราะถึงยังไงเบโอเนทก็เป็นยานครุยเซอร์ ขณะที่แวมไพร์เป็นเพียงแค่ยานฟริเกตเท่านั้น มันจึงทำให้พื้นที่ใช้สอยภายในยานแตกต่างกันหลายเท่า
นับตั้งแต่ที่เขาถูกพวกทูดี้ไล่ล่าในครั้งก่อน เขาก็พยายามมองหาจุดที่น่าสงสัยว่าเขาถูกศัตรูพบเจอได้ยังไง ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่นานเขาก็ได้พบกับข้อบกพร่องที่เล็กที่สุด
ยานรบจำเป็นจะต้องปล่อยพลังงานในระหว่างการวาร์ป และยิ่งยานรบมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่พลังงานที่ต้องใช้ในระหว่างการเปิดรูหนอนก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปเท่านั้น
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าอุปกรณ์ล่องหนของเอสทาเมลจะช่วยให้ยานรบล่องหนในระหว่างกระบวนการวาร์ปได้ แต่ขนาดอันใหญ่โตของเบโอเนทก็ยังก่อให้เกิดความผันผวนทางพลังงานในระหว่างกระบวนการวาร์ปอยู่ดี ซึ่งความผันผวนทางพลังงานที่เกิดขึ้นมานี้ก็คงจะกลายเป็นร่องรอยให้เขาถูกอีกฝ่ายติดตามมาจนเจอ
ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะค้นพบข้อบกพร่องนี้แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขข้อบกพร่องได้ เนื่องมาจากว่าสถานการณ์ในปัจจุบันทำให้เขาขาดแคลนเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็น ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่จะจอดเบโอเนทเอาไว้ในทะเลดวงดาวและขับแวมไพร์ออกไปเพื่อจัดการกับพวกเซิร์กอีกครั้ง
โดยในระหว่างนี้เขาก็ได้ถอดระบบเรดาร์แบล็คแบทที่ได้รับความเสียหายออกมาติดตั้งให้กับแวมไพร์ด้วย เพราะบางครั้งเขาก็ต้องการจะรายงานสถานการณ์กลับไปยังพันธมิตร แต่อย่างไรก็ตามระบบเรดาร์แบล็คแบทก็ได้รับความเสียหายมากเกินไป การพยายามถอดมันออกมาติดตั้งบนยานลำใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้กระทั่งสำหรับตัวเขาเอง
โชคดีที่ระบบเรดาร์แบล็คแบทถูกออกแบบขึ้นมาโดยใช้ระบบประมวลผลแบบแยกย่อย และเครื่องประมวลผลสำหรับส่งสัญญาณก็มีขนาดเท่ากล่องไพ่เท่านั้น แล้วมันก็สามารถนำไปเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบเรดาร์ธรรมดาได้
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมถอดอุปกรณ์ล่องหนของเอสทาเมลไปติดตั้งบนแวมไพร์ด้วย เพราะระบบนี้คือระบบหลักที่ทำให้เขาสามารถรอดชีวิตได้ท่ามกลางดินแดนของศัตรู
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากกระป๋องและหุ่นยนต์กึ่งอัจฉริยะ มันก็ทำให้การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เสร็จสิ้นในเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง แล้วเขาก็ต้องยอมรับว่าพวกหุ่นยนต์ที่เขาได้รับมาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากจริง ๆ
เมื่อยานลำเล็กแบบแวมไพร์ได้ติดตั้งระบบล่องหนของเอสทาเมล มันก็ทำให้เขาสามารถวาร์ปภายใต้ระบบล่องหนได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ
ในระหว่างที่พวกเซิร์กกำลังคาดเดาว่าเซี่ยเฟยจะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อจัดการกับฟูซี่หรือไม่ แวมไพร์ก็ร่อนลงจอดบนดาวดวงนั้นอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะสังหารฟูซี่อย่างเลือดเย็นและจากไปอย่างไร้ร่องรอย
อูดี้คงจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเซี่ยเฟยไม่ได้นำยานรบมายังดินแดนเซิร์กเพียงแค่ลำเดียว เพราะเขาได้นำแวมไพร์มาจอดไว้ภายในเบโอเนทด้วย
***************