ตอนที่ 13 : ช่วยเหลือ ‘องค์รัชทายาท’ (อ่านฟรี)
ฮูหยินใหญ่กล่าวว่า “ข้าเองก็ต้องการจะลงโทษภรรยาของเฉียนกุ้ย เจ้ามีปัญหาอะไรไหม”
“หากข้าไม่ลงโทษบ่าวที่ยโสโอหังผู้นี้ นางกล้าดูถูกจินเหนียงที่เป็นเจ้านายของจวน ถ้าข้าปล่อยนางไป ข้านึกไม่ออกเลยว่าลูกสาวของข้าจะถูกหยามเกียรติอีกถึงเพียงไหน!”
“พวกเจ้า จงโบยบ่าวเหล่านี้คนละสิบครั้งแล้วขายพวกมันทิ้งเสีย ส่วนพวกที่ดูถูกจินเหนียงโบยพวกมันคนละสามสิบครั้งแล้วขายพวกมันออกไปซะ”
คนรับใช้ส่วนใหญ่ในจวน ครอบครัวของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นทาสในจวนหวัง หากถูกโบยและขายออกไป ชีวิตในอนาคตของพวกเขาคงต้องอยู่อย่างน่าสังเวชเป็นแน่
แม่นมเฉียนมองไปที่เฉียวหรูฉีอย่างใจจดใจจ่อ “คุณหนูสี่เจ้าคะ…”
เฉียวหรูฉีรีบพูด “ท่านแม่ ภรรยาของเฉียนกุ้ยเป็นลูกสะใภ้ของแม่นมของลูก ถ้าท่านแม่ลงโทษนาง ผู้อื่นจะดูถูกข้าได้ ที่ข้าไม่แม้แต่จะสามารถปกป้องครอบครัวแม่นมของตัวเองได้!”
“เฉียวจินเหนียงเป็นลูกสาวของท่าน แล้วข้าไม่ใช่หรอกหรือ!”
ฮูยินใหญ่พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่มีใครในจวนแห่งนี้ที่สามารถทำร้ายจินเหนียงของข้าได้ นางเป็นพี่สาวของเจ้า นางถูกคนใช้ทำให้อับอาย แต่เจ้ากลับปกป้องคนพวกนั้น! หรูฉี เจ้าต่างหากที่กำลังทำให้ตัวเองต้องอับอาย!”
ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่จึงพูดกับจินเหนียงว่า “ตอนนี้ก็สายมากแล้ว การล่าในวันพรุ่งนี้คงจะครึกครื้นยิ่งนักเวลาเจ้ายังป่วยอยู่ ดังนั้นรีบกลับไปพักผ่อนซะเถอะนะ”
เฉียวจินเหนียงคารวะ “เจ้าค่ะท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
…
การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ
มีโต๊ะเล็ก ๆ จำนวนมากวางไว้นอกลานสำหรับขุนนางเพื่อพักผ่อนและดูความกล้าหาญของผู้คนที่ล่าสัตว์ในลานจากระยะไกล
ผู้หญิงหลายคนก็เข้าร่วมในการล่าครั้งนี้ด้วย
องค์หญิงฟู่ลู่และฉินเมี่ยวเหมี่ยวมักจะชอบแข่งขันกันเสมอ ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางที่จะปล่อยสนามรบที่ดีเช่นนี้ไปอย่างแน่นอน
เฉียวหรูฉีและหญิงสาวคนอื่นๆในตระกูล ก็ออกไปล่าสัตว์เช่นกัน
เฉียวจินเหนียงนั่งที่โต๊ะที่จัดไว้สำหรับสมาชิกในจวนหวังอันหยวนและชิมขนมอบเป็นครั้งคราว แต่ขนมอบนี่ไม่อร่อยนัก เธอจึงหยุดหลังจากกินไปได้เพียงสองชิ้น
“ฮองเฮาเสด็จ!” ขันทีประกาศ
ทุกคนที่พักผ่อนอยู่ ลุกขึ้นทำความเคารพฮองเฮา
เฉียวจินเหนียงได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีวังในช่วงสองสามวันมานี้ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา เมื่อเธอกำลังจะนั่งลงหลังจากที่ทำความเคารพเสร็จแล้ว เธอก็ได้ยินฮองเฮาตรัสถามว่า
“ฮูหยินอันหยวน นี่คือลูกสาวที่ถูกเปลี่ยนตัวไปเมื่อตอนยังเด็กของเจ้าใช่หรือไม่? นางช่างคล้ายกับเจ้ามากจริงๆ ถ้าดูจากรูปลักษณ์ของนางแล้ว ไม่ยากเลยที่จะบอกว่านางเป็นบุตรสาวของจวนหวัง”
แม้ว่าเฉียวจินเหนียงจะทำธุรกิจมาสองสามปีแล้ว ทำให้เธอดูเป็นธรรมชาติและสง่างามยามที่ต้องติดต่อกับผู้อื่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับบุคคลที่มีสถานะสูงส่งเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอะไรดีอยู่พักหนึ่ง
ฮูหยินอันทำความเคารพและตอบว่า “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสได้ถูกต้องแล้วเพคะ ผู้นี้คือบุตรสาวของหม่อมฉัน จินเหนียงเพคะ”
เฉียวจินเหนียงถวายพระพรแด่ฮองเฮาด้วยความเคารพ “เป็นโชคของหม่อมฉันที่ได้พบพระองค์เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเฉียวจินเหนียงเพคะ”
“เฉียวจินเหนียง?” ฮองเฮาเกือบทำถ้วยชาในมือหล่น
นี่เป็นครั้งแรกที่สตรีผู้สูงศักดิ์และคุณหนูทั้งหลายได้เห็นฮองเฮาหลุดกิริยาเช่นนี้
ฮองเฮาถามต่อไปว่า “อืม ข้าเคยอ่านเรื่องทารกถูกสลับตัวแต่นั่นก็มีแต่ในนิยาย ข้าเดาว่าคุณหนูเฉียวต้องทนทุกข์ทรมานมากที่ถูกแยกจากพ่อแม่ จากสำเนียงของเจ้า เจ้าไม่ได้เติบโตที่เมืองฉางอันใช่ไหม”
เฉียวจินเหนียงตอบว่า “เพคะ หม่อมฉันโตที่เมืองหลินอันดังนั้นหม่อมฉันจึงมีสำเนียงใต้ โปรดอย่าทรงถือสาเลยนะเพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่สวยงามของพระนางก็แสดงอาการตกตะลึง “ไหนเจ้าลองเงยหน้าขึ้นสิ”
เฉียวจินเหนียงเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาของฮองเฮาคล้ายกับของต้วนเอ๋อร์มากราวกับว่าถูกแกะสลักออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นั่วหมี่เคยบอกแล้วว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่ไอ้สารเลวนั่น...
เธอคงคิดมากไปเองกระมัง
ฮองเฮาแย้มสรวล “จินเหนียง ข้าพอใจในตัวเจ้าจริงๆ แม่นม นำปิ่นปักผมหงส์ทองที่ข้าใส่บ่อยๆ ไปมอบให้จินเหนียงที”
เฉียวจินเหนียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
แม้ว่าฮองเฮาจะประทานเครื่องประดับศีรษะแก่เฉียวหรูฉีรวมถึงปิ่นปักผมหงส์เมื่อวานนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ฮองเฮาเคยใช้ แต่ตอนนี้ฮองเฮากำลังมอบเครื่องประดับที่พระองค์ใช้ให้แก่เธอ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเกียรติอย่างสูง
แม้ว่าเฉียวจินเหนียงจะมาจากทางใต้ แต่เธอก็รู้คุณค่าของปิ่นนี่ดี
แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะไม่รู้ว่าเหตุใดฮองเฮาจึงมอบของล้ำค่าให้จินเหนียง แต่เมื่อเห็นจินเหนียงตกตะลึง เธอจึงคุกเข่าและขอบคุณแทนจินเหนียง “ขอบพระทัยสำหรับของพระราชทานอันทรงเกียรติเพคะ ฝ่าบาท”
แม้แต่แม่นมที่อยู่ข้างฮองเฮาก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดฮองเฮาจึงมอบของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ให้เฉียวจินเหนียงเช่นกัน
ฮูหยินอันรักจินเหนียง แต่ต้นไม้ที่สูงเด่นกว่าต้นไม้ต้นอื่นๆอาจถูกลมพัดโค่นได้ง่ายกว่าต้นอื่นๆเช่นกันเฉียวจินเหนียงแตกต่างจากเฉียวหรูฉี เธอเพิ่งมาถึงฉางอันได้ไม่นานแต่กลับได้รับพระราชทานรางวัลอันล้ำค่าจากฮองเฮาเช่นนี้
เกรงว่าเมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นกลับมาจากการล่า พวกนางคงจะจับเฉียวจินเหนียงฉีกเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน และนางอาจจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย
ฮูหยินใหญ่จึงขอให้เฉียวจินเหนียงกลับไปก่อน
เธอรู้ว่าฮูหยินใหญ่เป็นห่วงเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ปฏิเสธความหวังดีนั้น
มีถนนบนภูเขาระหว่างลานล่าไปยังจวน ในขณะนี้มีเพียงนั่วหมี่และหยูหยานเท่านั้นที่มากับเธอ
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศดีเหมือนกับตอนที่พวกเขายังอยู่ทางใต้ นั่วหมี่จึงขอร้องให้จินเหนียงทำผักป่าให้พวกเธอทาน
หยูหยานอายุน้อยที่สุดในบรรดาสาวใช้ทั้งหมด ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดเหมือนหงหลิงและลู่เหอ เมื่อได้ยินนั่วหมี่บรรยายว่าผักป่านั้นอร่อยเพียงใด สาวใช้ตัวน้อยผู้ไม่เคยลิ้มลองก็ถูกล่อลวง
เฉียวจินเหนียงจึงพาสาวใช้ทั้งสองปีนขึ้นเขาไปหาผักป่า
อย่างไรก็ตาม อากาศที่นี่แตกต่างออกไป ฉางอันไม่ชื้นเหมือนหลินอัน ดังนั้นผักป่าที่นี่จึงมีน้อยกว่าที่หลินอันมาก
เฉียวจินเหนียงเห็นต้นตั๊กแตนบานจากระยะไกลและพูดว่า "มาเก็บดอกตั๊กแตนไปทำเค้กน้ำผึ้งดอกตั๊กแตนและดอกตั๊กแตนทองคำกันเถอะ"
นั่วหมี่พยักหน้าอย่างมีความสุข
เฉียวจินเหนียงจับชายกระโปรงของเธอ เสื้อผ้าสำหรับสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์นั้นสวยงาม แต่การสวมใส่มันทำให้เธอเคลื่อนไหวได้ลำบาก
เมื่อพวกเขาเข้าไปใต้ต้นไม้ ลมก็พัดมา และฝนดอกตั๊กแตนก็ร่วงหล่นลงมา
มีคนไม่กี่คนที่ขึ้นมาที่นี่ ดังนั้นดอกตั๊กแตนที่อยู่บนพื้นจึงยังสะอาดหมดจด เฉียวจินเหนียงถอดเสื้อคลุมผ้าไหมออกและใช้มันเพื่อใส่ดอกตั๊กแตน
"ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!"
ทันใดนั้นเฉียวจินเหนียงก็ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ นางเห็นชายแต่งตัวดีคนนึงร้องขอความช่วยเหลืออยู่ไม่ไกลจากต้นตั๊กแตน
เขาสะพายดาบไว้บนหลัง
นั่วหมี่มองดูแล้วพูดว่า “คุณหนู ท่านผู้นั้นคือองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ”
เฉียวจินเหนียงมองไปที่ชายคนนั้นจากระยะไกล องค์รัชทายาทไม่ได้รูปงามอย่างที่คิด บางทีสิ่งที่น่าดึงดูดกว่าหน้าตาคือสถานะที่สูงส่งของพระองค์กระมัง
“คุณหนู เราควรจะช่วยพระองค์ไหมเจ้าคะ”
"ไม่!" เฉียวจินเหนียงกล่าวอย่างเย็นชา ครั้งล่าสุดที่เธอช่วยหมอนั่นไว้ ก็จบลงด้วยการหย่าร้าง และแม้แต่ลูกชายของเธอก็ถูกเขาพรากไป
เพราะองค์รัชทายาท สตรีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก่อให้เกิดปัญหามากมาย ทำไมเธอต้องช่วยเขาให้ตัวเองเดือดร้อนด้วย?
นอกจากนี้ พระองค์ทรงเป็นถึงองค์รัชทายาท อีกไม่นานองครักษ์ของพระองค์ก็คงจะมาช่วยเขาเอง
“คุณหนูท่านนั้นน่ะ เจ้า! เจ้าน่ะช่วยข้าด้วย!”
เมื่อมองเห็นเฉียวจินเหนียง อ๋องหรงน้องก็รีบโบกมือและตะโกน
เฉียวจินเหนียงไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาได้อีกต่อไป ถ้าเธอไม่ช่วยเขา คนทั้งจวนหวังอาจถูกคาดโทษ
เฉียวจินเหนียงเดินไปก็เห็นงูตัวหนาเท่าแขนเด็กเลื้อยอยู่ด้านหน้า "องค์รัชทายาท"
นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวสินะ
หยูหยานกรีดร้องเสียงดังหลังจากที่เห็นงู เฉียวจินเหนียงเดินไปกดงูลงบนพื้นทันทีและคำนับ “ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลไปเพคะ งูนี่ไม่มีพิษ ซ้ำเมื่อนำมันไปนึ่งด้วยใบบัวก็เลิศรสด้วยเช่นกัน”
อ๋องหรงน้อยเบิกตากว้าง “นี่ นี่ นี่…”
ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในฉางอัน ไม่ได้ขาดหญิงสาวที่เก่งกาจด้านการต่อสู้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้หญิงที่กล้าจับงูด้วยมือเปล่า!
สารจากผู้แปล ต้นฉบับใช้คำศัพท์คำเดียวกัน(王) แต่ผู้แปลจะขอแปลบรรดาศักดิ์แยกออกเป็น หวัง และอ๋อง นะคะซึ่ง โดยบรรดาศักดิ์นี้แยกออกเป็นบรรดาศักดิ์ที่อาจจะได้รับตอนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์และอวยยศให้บรรดาพระญาติหรือมาจากการแต่งตั้งผู้ที่ทำความดีความชอบ โดยหากเป็นขุนนางหวังถือเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุดในราชสำนัก แต่หากเป็นพระญาติ อ๋องจะมีหลายลำดับขั้นแยกออกไปค่ะเช่น ชินอ๋อง จวิ้นอ๋อง ผู้แปลจึงขอแยกใช้เพื่อให้ไม่สับนระหว่างขุนนางที่ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์กับพระญาตินะคะ