ตอนที่ 94 ขนพองสยองเกล้า
“เมื่อพวกท่านรับภารกิจจากสมาคมคงได้รู้แล้วว่าจะมีการประเมินก่อน มีเพียงผู้ที่ผ่านการประเมินเท่านั้นที่รับภารกิจนี้ได้”
ภายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวของเมืองเซียนเมฆา พ่อบ้านตระกูลจ้าวมองนักหลอมโอสถกว่าสิบคนด้านล่างและพูดด้วยรอยยิ้ม
“เริ่มการประเมินเถอะ หากรับภารกิจนี้ไม่ได้เราจะได้กลับ” นักหลอมโอสถเฒ่าพูดเสียงเบา คนอื่นตอบตามกัน
นักหลอมโอสถส่วนใหญ่เลือกทำภารกิจนี้เพราะงานง่ายรางวัลมากและไม่เป็นปัญหา เป็นเรื่องปกติที่จะตัดสินใจรับภารกิจนี้อย่างรวดเร็ว
“ทุกท่าน เชิญทางนี้”
พ่อบ้านตระกูลจ้าวไม่กล้าละเลยนักหลอมโอสถนี้และเชิญพวกเขาเข้าไปลานบ้าน เตาหลอมมากกว่าสิบถูกวางไว้อย่างเรียบร้อยและยังมีสมุนไพรที่คล้ายคลึงกัน
“การประเมินง่ายมาก เพียงแค่หลอมโอสถเสริมความงาม โอสถของใครมีคุณภาพและฤทธิ์โอสถเสริมความงามดีที่สุดจะได้รับภารกิจนี้” พ่อบ้านพูดเสียงทุ้ม
ไม่มีนักหลอมโอสถคนใดคัดค้าน การหลอมโอสถหนึ่งเตาไม่ใช่เรื่องลำบาก และที่นี่เตรียมทุกอย่างไว้แล้วมันจึงง่ายขึ้น
เฉินเฟยพบสถานที่ท่ามกลางฝูงชน ก่อไฟตั้งเตา ตรวจสอบสมุนไพรด้านข้าง ไม่พบสิ่งผิดปกติจึงใส่สมุนไพรทั้งหมดลงเตา
วิธีหลอมของนักหลอมโอสถในที่นี้ค่อนข้างธรรมดา แม้จะไม่หยาบเท่าเฉินเฟยแต่ตามหลังไม่นัก
ในเวลาไม่นานลานบ้านก็อบอวลด้วยกลิ่นหอมสมุนไพร หนึ่งเค่อต่อมา เฉินเฟยตบเปิดฝาเตาหยิบโอสถเสริมความงามออกมา คนรับใช้ตระกูลจ้าวรีบไปรับโอสถยาอย่างระมัดระวังแล้วส่งไปที่อื่น
นักหลอมโอสถคนอื่นเริ่มหลอมโอสถเสริมความงามเสร็จแล้วเช่นกัน ทั้งหมดนั้นถูกส่งไปยังที่อื่น
ทุกคนรอผลอย่างอดทน ครู่ต่อมา พ่อบ้านปรากฏตัวที่ลานบ้าน
“ขอบคุณทุกท่านสำหรับการทำงานหนัก นักหลอมโอสถเฉินได้รับภารกิจนี้”
พ่อบ้านตระกูลจ้าวแสดงคำขอโทษเล็กน้อยต่อนักหลอมโอสถคนอื่น เขาตบมือจากนั้นก็มีคนรับใช้ตระกูลจ้าวส่งกล่องของขวัญให้นักหลอมโอสถแต่ละคน สิ่งที่อยู่ในกล่องของขวัญนั้นไม่แพงนัก แต่ทำให้ใบหน้านักหลอมโอสถบางคนดูดีขึ้นมาก
ครู่ต่อมา เฉินเฟยตามพ่อบ้านไปที่ลานบ้านอีกแห่ง เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านใน
“ศิษยพี่หญิง ท่านไม่ได้มาที่นี่พักหนึ่งแล้ว หากวันนี้ไม่มีโอสถเสริมความงามท่านจะไม่มาหาข้าเลยหรือ?” จ้าวเพ่ยซิ่วพูดอย่างไม่พอใจ
“ข้ามาที่นี่เพราะต้องการพบเจ้า เกี่ยวอะไรกับโอสถเสริมความงาม? หากเจ้าพูดเช่นนั้นข้าจะกลับไป”
“ได้ได้ ข้าผิดเอง อย่าไปเลยนะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านตั้งมากมาย”
จ้าวเพ่ยซิ่วรีบเกลี้ยกล่อมให้นางอยู่ ในขณะที่กำลังจะพูดต่อนางก็เห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาพร้อมกับคนแปลกหน้า
“คุณหนู นักหลอมโอสถเฉินมาแล้ว” พ่อบ้านเดินไปพูดด้วยรอยยิ้มประจบ
“เริ่มได้เลย ข้าต้องการกินโอสถที่เพิ่งออกจากเตา ได้ยินมาว่ามันจะให้ผลดีที่สุด” จ้าวเพ่ยซิ่วเหลือบมองเฉินเฟยและกระตุ้นพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้าง
เฉินเฟยมองจ้าวเพ่ยซิ่วทั้งสองคน สง่างามและงดงาม แม้พวกนางจะนั่งอยู่แต่เห็นได้ว่าทั้งสองมีรูปร่างที่ยอดเยี่ยม
เฉินเฟยเพียงเหลือบมองแล้วก้มหน้าไม่มองต่อ แต่จมูกของเฉินเฟยได้รับกลิ่นโดยไม่รู้ตัว กลิ่นของยารักษาแผลจางๆลอยเข้ามาในจมูก
หลังเป็นนักหลอมโอสถเฉินเฟยก็ไวต่อกลิ่นต่างๆซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของวิชาชีพ ที่เขาได้กลิ่นในขณะนี้คือยารักษาแผลคุณภาพสูง
เฉินเฟยไม่เก็บเรื่องนี้มากคิดให้มาก การที่มีใครรับบาดเจ็บและใช้ยารักษาบาดแผลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
“นี่เป็นสมุนไพรอายุห้าสิบปีหรือ? ค่อนข้างหายากเลย”
“ใช่ ข้าได้รับมันมาโดยบังเอิญ พ่อข้าต้องการใช้มันหลอมโอสถอื่นเช่นกัน แต่ข้าขอร้องอยู่นานก่อนตกลงได้ว่าให้ใช้มันหลอมโอสถเสริมความงาม” จ้าวเป่ยซิ่วพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าเอาเปรียบเจ้าแล้ว”
“ศิษย์พี่สุภาพนัก เพียงท่านมาหาบ่อยๆข้าก็มีความสุขแล้ว” จ้าวเพ่ยซิ่วยิ้ม
เฉินเฟยฟังการสนทนาของหญิงสาวทั้งสอง หลับตาทำสมาธิ เมื่อสมุนไพรถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าเฉินเฟยจึงลืมตาขึ้นและเริ่มหลอมโอสถเสริมความงาม
จ้าวเพ่ยซิ่วมองเฉินเฟยหลอมโอสถด้วยความอยากรู้ แต่นางเบือนหน้าหนีอย่างน่าเบื่อทันที การหลอมโอสถต่างจากที่นางคิดไว้ มันน่าเบื่อยิ่ง
เฉินเฟยมองเตาหลอมโอสถ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติสมุนไพรในเตาและปรับเปลี่ยนมันเป็นครั้งคราว
เมื่อเทียบกับโอสถเสริมความงามทั่วไป คุณสมบัติสมุนไพรอายุห้าสิบปีเปลี่ยนไปมาก หากไม่ระวังอาจทำให้หลอมล้มเหลว
โชคดีที่เฉินเฟยคุ้นเคยกับโอสถเสริมความงามเป็นอย่างดี แม้ว่าคุณสมบัติสมุนไพรจะเปลี่ยนไปมาก แต่มันยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเฉินเฟย
กลิ่นหอมสมุนไพรเริ่มอบอวลไปทั่วลานบ้าน สองเค่อต่อมา หลังจากเฉินเฟยเปิดฝาเตาออก โอสถเสริมความงามราคาแพงก็ได้รับการหลอมอย่างสมบูรณ์
“เสร็จแล้ว? ศิษย์พี่หญิงมาดูด้วยกันสิ”
จ้าวเพ่ยซิ่วเห็นเฉินเฟยหยิบโอสถออกมา นางจึงแทบรอไม่ไหวที่จะดึงนางคนนั้นไปหาเฉินเฟย
เดิมทีมีกลิ่นโอสถฟุ้งอยู่ในอากาศ แต่ทันใดนั้นมีกลิ่นกายผู้หญิงสองกลิ่นแทรกเข้ามา เฉินเฟยสูดดมโดยไม่ตั้งใจ คิ้วเขาขมวดเล็กน้อย ทำไมกลิ่นนี้ช่างคุ้นเคยนัก?
“คุณหนู โอสถเพิ่งออกจากเตา โปรดรอสักครู่ก่อนทาน”
เมื่อเห็นว่าจ้าวเพ่ยซิ้วต้องการกินทันที พ่อบ้านจึงก้าวออกไปห้ามปราม ไม่อย่างนั้นจ้าวเพ่ยซิ่วอาจถูกแผดเผาจากภายใน ตำแหน่งพ่อบ้านของเขาคงได้สิ้นสุดลงแค่นี้
“เข้าใจแล้ว”
จ้าวเพ่ยซิ่วมองโอสถเสริมความงามสามเม็ดบนจานด้วยรอยยิ้ม ที่เกินมาเม็ดหนึ่งสามารถนำไปให้ท่านแม่ได้
“นักหลอมโอสถเฉินทำงานหนักแล้ว โปรดตามข้ามา”
พ่อบ้านเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวเพ่ยซิ่วจึงรู้ว่านางพอใจมาก เขาโค้งตัวเชิญเฉินเฟยและพาเฉินเฟยออกไปจากลานบ้าน สุดท้ายที่นี่ยังเป็นลานบ้านของคุณหนูจ้าว เป็นการดีกว่าที่จะให้คนนอกอยู่น้อยที่สุด
“ศิษย์พี่ ท่านมองนักหลอมโอสถทำไมหรือ?” จ้าวเพ่ยซิ่วถามอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดว่าระดับการหลอมของเขาสูงมาก หากเจ้าต้องการอะไรในอนาคตก็สามารถไปหาเขาได้”
“ไม่เลว ข้าคิดว่าเตานั้นคงได้ไม่เกินสองเม็ด คิดไม่ถึงว่าจะได้มาอีกเม็ด”
“พ่อบ้านไม่ต้องส่ง” เฉินเฟยถือขวัญขอบคุณของพ่อบ้านและกุมมืออยู่หน้าประตู
“ขอบคุณนักหลอมโอสถเฉินเฟน ข้าจะส่งคนไปสมาคมในภายหลังเพื่อยืนยันว่าภารกิจสำเร็จ” พ่อบ้านยิ้ม
“ขอบคุณ!”
“เป็นข้าที่ควรขอบคุณท่าน”
หลังการแลกเปลี่ยน เฉินเฟยออกจากคฤหาสน์ตระกูลจ้าวและกลับมาที่บ้านเช่า
เฉินเฟยขมวดคิ้วตลอดทางกลับ เขารู้สึกว่าผู้หญิงที่เห็นในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเมื่อครู่ดูคุ้นมาก แต่จำไม่ได้ว่าเคยพบนางที่ไหน
“กลับมาแล้วหรือ ภารกิจสำเร็จด้วยดีหรือไม่?” เมื่อเห็นเฉินเฟยขมวดคิ้วฉือเต๋อเฟิงเลยกังวล
“อืม สำเร็จ” เฉินเฟยพยักหน้า
“แล้วเจ้าขมวดคิ้วทำไม?” ฉือเต๋อเฟิงถามอย่างแปลกใจ ภารกิจก็สำเร็จ แล้วทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนั้น
“ข้ารู้สึกคุ้นเคยคนที่เห็นในตระกูลจ้าว แต่ข้าไม่เคยเห็ยใบหน้านั้นมาก่อน”
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เฉินเฟยสับสนที่สุด หากเจอกันสักครั้งเขาไม่ควรลืมคนอื่นโดยเฉพาะกลิ่นกายที่คุ้นเคยนี้ เฉินเฟยไม่มีอะไรต้องปิดบังจากฉือเต๋อเฟิง เขาจึงแสดงความสงสัยออกมา
“ทำให้เจ้ารู้สึกคุ้นเคยได้ เจ้าคงประทับใจลึกซึ้งมาก” ฉือเต๋อเฟิงยิ้ม
“ใช่ ประทับใจลึกซึ้ง...”
คำพูดเฉินเฟยหยุดลงกะทันหันราวกับมีฟ้าผ่าอยู่ในใจ ในที่สุดเฉินเฟยก็จำได้แล้วว่าเขาเคยได้กลิ่นนั้นจากที่ไหน นั่นมันกลิ่นปีศาจสาวที่เจอบนภูเขาไม่ใช่หรือ
เนื่องจากระยะห่างทั้งสองอยู่ใกล้กันมากและยังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เฉินเฟยจึงประทับใจกลิ่นซือเสวี่ยชินอย่างลึกซึ้ง
เมื่อครู่จำไม่ได้เพราะรูปร่างหน้าตาของซือเสวี่ยชินเปลี่ยนไปซึ่งแตกต่างจากที่เห็นในคืนนั้น
ตอนนี้เฉินเฟยรู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงกังวลหมกมุ่นอยู่กับคนคนนี้มาก ด้วยกลิ่นยารักษาแผล เฉินเฟยจึงเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว เขาหยุดชะงักไม่ตอบสนองไปครึ่งหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้เฉินเฟยสับสนคือตอนที่เห็นซือเสวี่ยชินในคืนนั้น เฉินเฟยมั่นใจมากว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นใบหน้าแท้จริงของซือเสวี่ยชิน
ตราบใดที่ซือเสวี่ยชินเปลี่ยนใบหน้าเฉินเฟยจะเห็นได้ทันที เขายังคงมั่นใจเรื่องนี้อยู่ แต่วันนี้ที่ได้เห็นซือเสวี่ยชิน ไม่เพียงแต่ใบหน้าจะเปลี่ยนไป แต่เฉินเฟยยังไม่เห็นร่องลอยการปลอมตัวด้วย
“นอกจากการปลอมตัวที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?” เฉินเฟยเงยหน้าถามฉือเต๋อเฟิง ในด้านของประสบการณ์ ฉือเต๋อเฟิงเหนือกว่าเฉินเฟยมาก
“แน่นอน มีหลายวิธีด้วย” ฉือเต๋อเฟิงพยักหน้า
“ไม่เห็นร่องลอยการปลอมตัว มันจะเป็นแบบไหน?” เฉินเฟยถาม
“ไม่เห็นร่องรอยการปลอมตัวเลยหรือ?”
ฉือเต๋อเฟิงขมวดคิ้ว เขารู้ว่าการปลอมตัวของเฉินเฟยอยู่ในระดับยอดเยี่ยม หากถึงขั้นทำให้เฉินเฟยมองไม่ออก วิธีปลอมตัวจะน้อยลงเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามีอยู่น้อยนิด
“ใช่ ข้าไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ” เฉินเฟยพยักหน้า
“มีอยู่อันหนึ่งที่น่าจะตรงกับเจ้าบอก”
ฉือเต๋อเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “หน้ากากหนังมนุษย์! ไม่รู้วิธีฝึกฝน วิธีสวมใส่เป็นความลับสุดยอด แต่ตราบใดที่ใช้อย่างถูกต้องก็จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิง”
“หน้ากากหนังมนุษย์?”
เฉินเฟยนึกถึงหน้าตาไร้ที่ติของซือเสวี่ยชิน คงมีแต่เรื่องแบบนี้เท่านั้นถึงจะทำได้ หากไม่ใช่เพราะกลิ่นยารักษาและกลิ่นหอมจางๆของกลิ่นกาย เฉินเฟยคงไม่พบปัญหานี้
ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเพลิงเทพถูกจำกัดจนแต่ไม่อาจกำจัดได้หมดสิ้น ศัตรูตัวนี้ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน แม้แต่ตระกูลเก่าแก่ในเมืองเซียนเมฆายังยากที่จะตามหา
เฉินเฟยนึกถึงสิ่งที่เขาแสดงในตระกูลจ้าวซึ่งไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ การเผชิญกับซือเสวี่ยชินในตอนนั้นเขาใช้ใบหน้าปลอมและรูปร่างที่ต่างกัน ดังนั้นโอกาสที่จะถูกค้นพบจึงต่ำมาก
เป็นการดีที่สุดที่จะแจ้งให้สำนักทราบเรื่องนี้ทันที แต่ตอนนี้เขาเพิ่งกลับมาจากตระกูลจ้าว หากเขากลับไปสำนักทันทีมันจะทำให้ซือเสวี่ยชินสนใจและเกิดอันตราย ต้องรอสักหนึ่งวันแล้วค่อยกลับไปแจ้งสำนัก
คนยังไม่อาจไปได้ แต่ข้อความส่งไปก่อนได้ เฉินเฟยเขียนข้อความและส่งด้วยนกพิราบ
“จริงด้วย ข้าไม่ได้ยินเสียงเด็กข้างบ้านเล่นกันสองวันแล้ว พวกเขาย้ายออกหรือ?” เฉินเฟยถามอย่างผ่อนคลายเพื่อระงับความประหม่าในใจ
“เด็ก? บ้านถัดไปมีเด็กตั้งแต่เมื่อใด?” ฉือเต๋อเฟิงมองเฉินเฟยด้วยใบหน้าสับสน