ตอนที่ 417 โฉมหน้าที่แท้จริงของยอดนักพรต
ตอนที่ 417 โฉมหน้าที่แท้จริงของยอดนักพรต
เลยูตี้ไม่ใช่คนที่จะยอมรับคำร้องขอของใครง่าย ๆ แม้ว่าคนที่มาร้องขอความช่วยเหลือจากเขาในตอนนี้จะเป็นเจ้าของเต้นท์ทองคำคนปัจจุบันก็ตาม เพราะในมุมมองของเขาเซิร์กทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเขาทั้งหมด และเหตุผลเดียวที่เขายังคงอยู่ในดินแดนเซิร์กนั่นก็เพราะเขาเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์นี้
ขณะเดียวกันการที่เขาติดอยู่ในคอขวดของระดับครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ทำให้จิตใจของเขาอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง พฤติกรรมของเขาจึงแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการที่เขาดูถูกชาวเซิร์กมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน
อูดี้กัดริมฝีปากพยายามระงับความโกรธภายในใจของเขาไว้ เพราะคำพูดของเลยูตี้ในก่อนหน้านี้เป็นการพูดจาดูถูกเขาซึ่ง ๆ หน้า
เลยูตี้มองหน้าของราชาแห่งเต็นท์ทองคำด้วยความพึงพอใจ และใบหน้าของเขาก็สื่อความหมายออกมาประมาณว่า
“ดูสิแม้แต่ราชาแห่งเต็นท์ทองคำก็ยังต้องมาร้องขอให้ฉันช่วย แต่เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะใครใช้ให้ฉันเป็นเซิร์กที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์กันล่ะ”
“ท่านนักพรตการที่ยานรบของพวกทูดี้ถูกส่งออกไปไกลนับล้านปีแสงอย่างฉับพลันก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกสงสัยมากเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน หากพวกคุณไม่ใช่ผู้ที่ทำการลงมือ ผมก็เกรงว่าพวกเราคงจะไม่มีใครสามารถจัดการกับเขาได้” อูดี้กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ
“อะไรนะ?! ยานถูกส่งออกไปยังที่อื่นที่ห่างออกไปนับล้านปีแสงในคราวเดียวงั้นเหรอ? ลูกน้องของนายพลาดถูกดูดเข้าไปในรูหนอนหรือเปล่า? ใครมันจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้แม้แต่ฉันก็ยังทำเรื่องอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย” เลยูตี้อุทานขึ้นมาด้วยความสงสัย
อูดี้พยักหน้ารับเพราะในตอนแรกเขาก็คิดว่าพวกทูดี้ถูกพลาดดูดเข้าไปในรูหนอนชั่วคราวด้วยเหมือนกัน แต่การเคลื่อนที่ผ่านรูหนอนจะเป็นการเคลื่อนผ่านทะเลดวงดาวอันสดใส แต่พวกทูดี้กลับบอกว่าพวกเขาถูกครอบงำด้วยความมืดมิดปราศจากแสงใด ๆ ซึ่งการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้ไม่ใช่การเคลื่อนที่ผ่านรูหนอนอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันอูดี้ก็เชื่อว่าทูดี้ไม่มีทางรายงานเรื่องโกหกให้เขาฟัง และถึงแม้ว่าทูดี้จะรายงานเรื่องโกหกออกมาจริง ๆ แต่ลารี่ก็คงจะไม่รายงานเรื่องโกหกออกมาได้ราวกับว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันแบบนี้
เมื่ออูดี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ชายชราก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไปสักพัก
“หมิงจี้เธอเดินทางไปพร้อมกับราชาซะ ระหว่างนี้ขอให้ปกป้องเขาให้ดีอย่าให้เสียชื่อของอาจารย์ได้” เลยูตี้หันไปกล่าวกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างมีความสุข ก่อนที่เธอจะมายืนข้าง ๆ อูดี้ด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า
ยิ่งอูดี้มองเด็กสาวคนนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะสวยงามมาก แต่เธอไม่ใช่ชนเผ่าเซิร์กเพราะว่าเธอเป็นเด็กสาวจากเผ่าพันธุ์มนุษย์
เลยูตี้ไม่ต้องการออกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลยส่งมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ไปพร้อมกับเขาเนี่ยนะ?!
ปกติสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์มักจะไม่ค่อยผูกมิตรกัน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงได้ไปเป็นศิษย์ของยอดนักพรตแห่งเผ่าพันธุ์เซิร์กได้
“ท่านนักพรตผมเกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมมากเท่าไหร่นัก” อูดี้กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“อะไรกัน ถึงแม้ว่าหมิงจี้จะไม่ใช่เซิร์กแต่เธอก็ภักดีกับฉันมาก และพลังการต่อสู้ของเธอก็ดีกว่าพวกลูกน้องไร้ประโยชน์ของคุณ หรือคุณกำลังจะบอกว่าคุณไม่ไว้ใจฉันงั้นเหรอ?” เลยูตี้กล่าวถามพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ในเมื่อท่านนักบวชแนะนำแบบนี้ผมก็พร้อมจะเดินทางกลับไปพร้อมกับเธอ” อูดี้กล่าวพร้อมกับรีบแสดงความเคารพ
“เอาล่ะถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว หลังจากนี้ฉันจะเริ่มปลีกตัวออกไปจากสังคมอีกครั้ง” เลยูตี้กล่าว
เมื่อถูกไล่ทางอ้อมอูดี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องโค้งคำนับพร้อมกับเดินทางกลับไป แต่หมิงจี้เป็นมนุษย์ที่น่าเบื่อมากเพราะเธอติดตามเขามาด้วยใบหน้าอันไร้อารมณ์ ราวกับว่าเธอเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต
หลังจากเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างมากมาย ท้ายที่สุดเขากลับได้มนุษย์ผู้หญิงกลับมาด้วยคนหนึ่งเนี่ยนะ!
นี่น่ะเหรอวิธีการแก้ปัญหาของนักรบอันดับ 1!!
อย่างไรก็ตามมันก็ดูเหมือนกับว่าเลยูตี้น่าจะยังไม่ออกไปจากเมืองหลวงอีกสักพัก ซึ่งอย่างน้อยเรื่องนี้ก็พอจะทำให้อูดี้รู้สึกอุ่นใจ เพราะในช่วงวิกฤติชายชราคนนี้ย่อมจะต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามการได้มนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งกลับมาก็ทำให้อูดี้รู้สึกอับอายมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เซิร์กกำลังทำสงครามกับมนุษย์ แล้วเขาจะไว้ใจให้เธอคนนี้คอยปกป้องเขาได้ยังไง
‘เดี๋ยวก่อนนะ! ถ้าเธอตายเลยูตี้ก็ต้องออกหน้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองใช่ไหม?’ อูดี้คิดกับตัวเองภายในใจ ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายและเหลือบสายตามองไปยังหมิงจี้ผ่านทางหางตา
—
“ท่านอาจารย์สิ่งที่อูดี้เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการลงมือของผู้เชี่ยวชาญที่ใช้กฎแห่งมิติ แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ตอบเขาไปตรง ๆ ล่ะครับ?” เด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถามเลยูตี้ขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหลังจากที่อูดี้เดินทางออกจากสถานที่แห่งนี้ไป
เมื่อเทียบกับหมิงจี้ที่อ่อนแอแล้วเด็กชายคนนี้ดูแข็งแกร่งกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นเปลือกแข็งบนแขนและใบหน้า ซึ่งนอกเหนือจากดวงตาที่อ่อนเยาว์แล้วสิ่งอื่น ๆ บนร่างกายของเขาต่างก็ล้วนแล้วดูเหมือนเซิร์กโตเต็มวัย
“หมิงจู้ยิ่งคนรู้เรื่องกฎแห่งมิติน้อยเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเท่านั้น อย่าลืมว่าเมื่อมีใครรู้ถึงความลับของจักรวาลในเรื่องนี้ พวกเขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเรียนรู้กฎแห่งจักรวาล และนายก็คงจะไม่อยากมีคู่แข่งที่จะมาแย่งนายเรียนรู้กฎแห่งจักรวาลใช่ไหม?”
“ตอนนี้พวกเราเป็นเหมือนกับเทพเจ้าภายในเผ่า และไม่ว่าเราจะต้องการอะไรพวกงี่เง่านั่นก็จะรีบเอาทุกอย่างมาสนองให้กับเราในทันที แล้วแบบนี้ทำไมเราจะต้องแบ่งปันความรุ่งโรจน์ให้กับพวกมันด้วย”
“เมื่อดินแดนแห่งนี้ไม่มีเทพเจ้าเราก็จะเป็นเทพเจ้าให้กับพวกมันเอง และถ้าหากว่าไม่มีใครได้รู้ถึงพลังของกฎแห่งจักรวาล มันก็จะไม่มีใครสามารถขึ้นมาเทียบชั้นกับพวกเราได้”
หมิงจู้พยักหน้ารับคล้ายกับเขาจะเข้าใจอยู่เล็กน้อย ท้ายที่สุดสิ่งมีชีวิตย่อมเห็นแก่ตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะผู้ที่ยึดติดกับอำนาจที่พยายามจะตัดหนทางไม่ให้ใครขึ้นมายืนเทียบชั้นกับตนเอง
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงพวกเขาจะไม่เลือกเส้นทางการใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะพวกเขาจะใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีคนมาเริ่มต้นในจุดเริ่มต้นเดียวกัน แต่พวกเขาก็มีความมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถนำหน้าทุกคนได้
หากอูดี้อยู่ที่นี่ในเวลานี้เขาก็คงจะถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง ท้ายที่สุดความเข้าใจของเขาก็ไม่ผิดพลาดจริง ๆ เพราะเลยูตี้เป็นคนใจแคบที่กลัวว่าคนอื่นจะได้รู้ถึงการมีอยู่ของกฎแห่งมิติ และเขาก็กลัวว่าสักวันหนึ่งมันจะมีคนขึ้นมามีอำนาจเทียบเคียงกับเขา
“ถ้ามนุษย์คนนั้นคือผู้ใช้กฎแห่งมิติ แล้วทำไมอาจารย์ถึงส่งศิษย์น้องหมิงจี้ไปเผชิญหน้ากับเขาล่ะ? การทำแบบนั้นมันไม่ต่างไปจากการพยายามเอาไข่ไปกระทบกับหินเลยนะครับ” หมิงจู้กล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
โป๊ก!
หมิงจู้รีบเอามือขึ้นมากุมหัวด้วยความเจ็บปวด และมองไปทางอาจารย์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสยดสยอง
“เจ้าโง่! ถ้าฉันไม่ส่งหมิงจี้ไปแล้วฉันจะต้องไปเผชิญหน้ากับมนุษย์คนนั้นด้วยตัวเองงั้นเหรอ? ถ้ามนุษย์คนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้กฎแห่งมิติจริง ๆ แล้วทำไมฉันถึงต้องไปเป็นศัตรูกับเขาด้วย”
“ถ้าหากผู้ใช้กฎแห่งมิติ 2 คนมาเผชิญหน้ากัน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแต่มันคงจะสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ฉันเฝ้ารอโอกาสที่จะเข้าสู่ดินแดนกฎมาเป็นเวลามากกว่า 730 ปีแล้ว แล้วทำไมฉันจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับผู้ใช้กฎคนอื่นในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองด้วย”
“ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้กฎมิติจริง ๆ มันก็หมายความว่าเขามีความสามารถจะเอาชนะฉันได้ และถึงแม้ว่ามันจะมีโอกาสที่เขาจะชนะฉันน้อยกว่า 1% แต่มันก็ไม่มีทางที่ฉันจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงด้วยเรื่องของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”
มันคงจะไม่มีใครคาดคิดว่ายอดนักรบอันดับ 1 ของเผ่าพันธุ์ไม่เพียงแต่จะเป็นคนใจแคบเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่หวาดกลัวความตายเป็นอย่างมากอีกด้วย
หลังจากพูดมาจนถึงตรงนี้เลยูตี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนที่เขาจะพยายามระงับสติอารมณ์และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสร้งคล้ายกับว่าเขาเป็นคนใจดี
“จริง ๆ แล้วถ้าหากนักรบมนุษย์คนนั้นเชี่ยวชาญกฎแห่งมิติจริง ๆ การทำลายดินแดนเซิร์กก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากสำหรับเขาเลย เพราะเขาสามารถใช้การบิดเบือนมิติเพื่อทำลายดาวดวงหนึ่งได้โดยตรง และเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขับยานไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อออกล่านักรบศักดิ์สิทธิ์เลยด้วยซ้ำ”
“อย่างไรก็ตามมันก็เสี่ยงเกินไปที่ฉันจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับเขาเอง ฉันจึงคิดที่จะให้หมิงจี้ไปลองจัดการกับศัตรูดูก่อน เพราะถ้าหากว่าเธอสามารถจัดการกับศัตรูได้ มันก็จะยิ่งช่วยให้ชื่อเสียงของฉันโด่งดังมากยิ่งขึ้น”
“แล้วถ้าหมิงจี้เป็นฝ่ายที่ถูกจัดการเองล่ะครับ?” หมิงจู้ถามขึ้นมาด้วยความไม่รู้
“ฉันทิ้งตราประทับเอาไว้บนร่างกายของเธอแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเธอจะออกไปเสียชีวิตไกลแค่ไหนแต่ฉันก็จะรับรู้ถึงความตายของเธอได้ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ใช้พลังกฎฉันย่อมออกไปจัดการเขาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายคือผู้ใช้พลังกฎจริง ๆ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปเป็นศัตรูกับเขาเลย”
“ถึงยังไงอาจารย์ก็ใกล้ที่จะได้เดินทางไปยังอาณาจักรกฎอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงเพียงแค่เล็กน้อยแต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่ฉันไม่มีวันยอมรับได้”
“แต่เดิมฉันตั้งใจรับเลี้ยงหมิงจี้เอาไว้เพราะคิดจะใช้เธอบรรเทาความเบื่อหน่าย ไม่ว่ายังไงมนุษย์ผู้หญิงก็ให้บริการดีกว่าเซิร์กผู้หญิงอยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าในตอนที่เธอยังเติบโตไม่เต็มที่ ฉันต้องเอาเธอไปใช้งานก่อนแบบนี้ แต่อย่างน้อยการที่เธอออกไปเสียสละชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าที่ฉันได้เลี้ยงดูเธอขึ้นมาแล้ว”
คำอธิบายนี้ทำให้หมิงจู้รู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะถ้าหากวันนี้เลยูตี้กล้าส่งหมิงจี้ออกไปรับเคราะห์แทนตัวเอง วันหน้ามันก็อาจจะเป็นเขาที่ต้องถูกส่งไปรับเคราะห์แทนอาจารย์ก็ได้
—
เซี่ยเฟยไม่รู้เลยว่าในเผ่าพันธุ์เซิร์กจะมีผู้ใช้พลังของกฎมิติหลบซ่อนตัวอยู่ด้วย และผู้ใช้กฎคนนั้นก็กำลังแอบจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาอยู่
ท้ายที่สุดไม่ว่าเลยูตี้จะมีนิสัยที่น่ารังเกียจแค่ไหน มันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านักพรตคนนี้มีพลังที่สูงกว่าเซี่ยเฟยมากจริง ๆ
หลังจากเหตุการณ์ที่หยูเจียงได้แสดงพลังของกฎแห่งมิติออกมา มันก็ได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นมาภายในใจของเซี่ยเฟย โดยในตอนนี้ชายหนุ่มกำลังคิดว่าผู้ใช้พลังกฎสามารถที่จะทำอะไรบนจักรวาลแห่งนี้ก็ได้ และการพยายามรับมือกับผู้ใช้พลังกฎด้วยกำลังในปัจจุบันมันก็ไม่ต่างไปจากการพยายามเอาไข่เข้าไปทุบกับหิน
***************