บทที่ 53: การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
แม้ว่าหลินวู่จี้ จะได้ยินว่าหลินเป้ยสามารถฝึกฝนได้
แต่หลินเป้ยก็เป็นเพียงแค่นักรบฝึกหัดขั้น 4
ด้วยวัยและระดับการบ่มเพาะเช่นนี้ ถือว่าธรรมดามาก
"ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลาไปก่อนท่านหัวหน้าตระกูล" หลินคังพูดจบและกำลังจะจากไป
แม้ว่าหลินวู่จี้จะเป็นบิดาของเขา แต่หลินวู่จี้เป็นหัวหน้าตระกูล และ หลินคังต้องเรียกหลินวู่จี้ว่าเป็นหัวหน้าตระกูล
ส่วนผู้อาวุโสทุกคนต้องเรียกว่าหลินวู่จี้นี่คือกฎของตระกูลหลิน
สำหรับผู้สืบทอดคนต่อไปนั้นยังไม่ได้ถูกเลือก ตอนนี้หลินวู่จี้มีอำนาจมากที่สุดในตระกูล เพราะอีกเพียงก้าวเดียว เขาก็จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตมหาปรมาจารย์นักรบได้
ในอีกสองวันถัดมาโอสถรวบรวมปราณยังคงขายได้ดี แต่ปริมาณรายวันยังคงอยู่ที่ประมาณ 3,000 ตำลึง
ยอดลดลง ยกเว้นยอดขายที่สูงมากในวันแรก
สองวันถัดไปรายได้ประมาณ 3,000 ตำลึงต่อวัน
อย่างไรก็ตาม 40 ตำลึงต่อเม็ด ถือว่าเป็นราคาที่ไม่ถูก สำหรับคนส่วนมาก
และหลินเป่ยยังได้บ่มเพาะในสนามเล็กๆ หลังร้านในช่วงสองวันนี้
ทำความคุ้นเคยกับทักษะ เพิ่มพลังการต่อสู้
ใช้ยาโอสถรวบรวมปราณจำนวนมาก และในที่สุดก็ยกระดับการฝึกฝนเป็น นักรบฝึกหัดขั้น 10
โอสถรวบรวมปราณทำให้หลินเป้ยได้รับค่าประสบการณ์เพียงเล็กน้อย และเมื่อหลินเป้ยกลืนยาเข้าไป เขารู้สึกปวดใจมาก
ค่าประสบการณ์เล็กน้อย มีค่าเท่ากับเงิน 40 ตำลึง
แต่ตอนนี้ ที่นี่ไม่ใช่ภูเขาเทียนหยาง ไม่มีสัตว์อสูรให้ฆ่า และวิธีเดียวที่จะเพิ่มประสบการณ์คือการกลืนโอสถ
หลังจากกินมากกว่า 800 เม็ด ได้รับค่าประสบการณ์มากกว่า 800
ในที่สุดเขาก็ยกระดับ!
ก่อนหน้านี้ หลินเป้ยคัดลอกสำเนาของหมัดพยัคฆ์(เมิ่งหู่ฉวน) จากศาลาหอตำรา
หลินเป้ยต้องการฝึกฝนด้วยตัวเอง และไม่ได้วางแผนที่จะใช้ระบบในการเรียนรู้
ผลก็คือหลินเป้ยพบว่าไ ม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่เชี่ยวชาญในทักษะการต่อสู้นี้ได้เลย
หลินเป้ยยากที่จะเข้าใจทักษะต่อสู้ระดับหนึ่งง่ายๆ
ทำให้หลินเป้ยพบว่า ความเข้าใจของเขาไม่ดี หากเขาไม่ได้ใช้ระบบเป็นตัวช่วย
มันคงเป็นเรื่องยาก ที่หลินเป้ยจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของระบบ
หลินเป้ยพบว่าเมื่อใช้ทักษะต่อสู้ เขาสามารถแสดงได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก!
ดูเหมือนว่าหากไม่มีระบบ หลินเป้ยคงเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ในโลกนี้
มันยากที่จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง และความเข้าใจของเขา ก็ต่ำกว่าระดับเฉลี่ย!
ในที่สุด วันนัดมาตามกำหนด
ณ ตระกูลโจว
“นายน้อยโจว ข้าหวังว่าท่านจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้และได้สังหารหลินเป่ย!” หวังเสวี่ยพูดกับโจวหยวนต่อหน้าเขา
เมื่อเห็นหวังเสวี่ยพูดคุยกับเขา โจวหยวนรู้สึกมีความสุขมากในใจ
เพื่อช่วยให้ โจวหยวนสามารถสังหารหลินเป้ยได้
หวังเสวี่ยยังได้ให้ยืมอาวุธวิญญาณแก่โจวหยวน
คือดาบวิญญาณระดับ 3 ขั้นกลาง
ดาบเหลียนจือ(ดาบรายริ้ว) มีรูปร่างค่อนข้างเล็กและเหมาะสำหรับผู้หญิงมากกว่า
มันเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่บิดาของหวังเสวี่ยมอบให้นาง และนางมักจะหวงแหนมันมาก
แต่เมื่อคิดว่าหลินเป้ยทำให้นางขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ นางจึงอยากจะสังหารหลินเป้ย
หวังเสวี่ยจึงใช้โอกาสนี้ เพื่อให้โจวหยวนสังหารหลินเป้ยเพื่อนาง
โจวหยวนยิ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจเมื่อเขาได้รับดาบเหลียนจือ(ดาบรายริ้ว) โดยบอกว่า เขาจะสังหารหลินเป่ย และไม่ให้โอกาสหลินเป่ยร้องขอความเมตตา
“ข้าจะทำตามความคาดหวังของท่าน แม่นางหวังเสวี่ย!” โจวหยวนกล่าวอย่างมั่นใจ
ตระกูลโจวทุกคนเชียร์โจวหยวน
ตระกูลโจวให้ความสำคัญกับการต่อสู้ครั้งนี้มาก
ท้ายที่สุด การเดิมพันคือ 100,000 ตำลึง มันป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับตระกูลโจว
นอกจากนี้ มันยังเกี่ยวข้องกับหน้าตาของตระกูลโจวด้วย
สำหรับโจวหยวน ต้องชนะเท่านั้นและห้ามพ่ายแพ้เด็ดขาด
ในช่วงสิบวันนี้ ด้วยการสนับสนุนจากทรัพยากรของตระกูลจำนวนมาก
โจวหยวนได้เลื่อนระดับจากนักรบฝึกหัดขั้น 9เป็นนักรบฝึกหัดขั้น 10
จริงๆถ้าเขาได้รับเวลาอีกสองวัน
เขาจะมีความมั่นใจที่จะก้าวเข้าสู่นักรบแท้จริงแน่นอน และโอกาสในการชนะก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม โจวหยวนเชื่อว่านักรบฝึกหัดขั้น 10 ก็เพียงพอแล้วสำหรับขยะเช่นหลินเป้ย
ยังไงซะ หลินเป้ยก็แค่นักรบฝึกหัดขั้น 4 และเขาสามารถบดขยี้ขยะคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งตอนนี้ เขามีดาบวิญญาณระดับ 3 ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะได้ เขาคงต้องเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย!
เพื่อให้มีโอกาสชนะมากขึ้น ตระกูลโจว ยังให้โจวหยวนยืมชุดเกราะวิญญาณระดับ 2 ขั้นสูงสุด
เกราะวิญญาณ สามารถปกป้องร่างกายของโจวหยวนได้ ทำให้การป้องกันของเขาดีขึ้นมาก
สำหรับทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลโจวนั้น หลินเป้ยไม่รู้อะไรเลย
เมื่อตระกูลโจวมาถึงสถานที่ที่ตกลงไว้ พวกเขาพบว่ามีคนจำนวนมากรออยู่ที่นั่น ทุกคนดูตื่นเต้น
การประลองระหว่างหลินเป้ยและโจวหยวน เป็นที่รู้จักของคนจำนวนมาก
ภายใต้การเผยแพร่โดยตั้งใจของตระกูลโจว และวันนี้ มีผู้คนมากมายมาชมการแสดงในวันนี้
ตระกูลโจวต้องการใช้โอกาสนี้ เพื่อทำให้ตระกูลหลินอับอาย
ตระกูลหลินมีความขัดแย้งอย่างมากกับตระกูลโจว ในแง่ของธุรกิจ และมีความคับข้องใจระหว่างทั้งสองฝ่าย
“คนจากตระกูลหลินอยู่ที่ไหน ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วขยะหลินเป้ยอยู่ที่ไหน” โจวหยวนมาที่เวทีและตะโกนเสียงดัง
ไม่มีใครตอบ เพราะไม่มีสมาชิกในตระกูลหลินมา แม้แต่คนเดียว!
"ฮ่าฮ่า ตระกูลหลินต้องรู้สึกอับอายที่ปรากฏตัว ขยะตระกูลหลินจะชนะอัจฉริยะของตระกูลโจว โจวหยวนได้อย่างไร?" บางคนหัวเราะเสียงดัง
หลินเป้ยสังหารสมาชิกของสมาคมเงามืดเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เรื่องนี้ถูกสมาคมระงับการแพร่งพรายไว้
แม้ว่าหลินเป้ยจะเคยเปิดเผยตัวตน แต่หลายๆคนยังไม่รู้จัก
ดังนั้นในที่สาธารณะ หลายคนเลยไม่รู้จักหลินเป้ย!
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลหลินด้วย
เนื่องจากสมาคมเงามืด มีความกลัวเล็กน้อยที่จะกะทบกับตระกูลหลิน
พวกเขากลัวว่า จะทำให้ตระกูลหลินขุ่นเคือง!
ตอนนี้ มีหลายคนคุยกันว่า หลินเป่ยหวาดกลัวหรือไม่ ทำไมเขาจึงยังไม่ปรากฏตัว?
“ดูนั้นสิ นั่นใช่หลินเป้ยหรือเปล่า?” คนที่มีสายตาเฉียบคมเห็นกลุ่มคนกำลังมาไม่ไกล นั้นคือหลินเป้ย, หลินคัง,หลินเทียน และหลินหลิงเอ๋อ
พวกเขาทั้งสี่มาด้วยกัน
ในช่วงสามวันนี้ หลินคังมีรายได้หลายพันตำลึงต่อวัน และความสัมพันธ์ของเขากับหลินเป้ยก็ดีขึ้นมาก
ต่อให้หลินเป้ยไล่เขาไป หลินคังก็ไม่เต็มใจที่ออกจากหลินเป้ย
หลินคังได้รับเงินใน 3 วัน เทียบเท่าเขาหาทั้งปี
มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่จะล้มเลิกงานนี้
“โอ้ หลินเป้ยกล้าที่จะมา?” มีคนแสดงความคิดเห็น
"เงียบ เขาคือหลินเป้ย แน่ใจนะ?"
…
“โอ้ โจวหยวน เจ้ามาเร็วจัง” หลินเป่ยมาที่เวที มองโจวหยวนที่อยู่ตรงหน้า แล้วเย้ยหยัน
ด้านหลังโจวหยวน มีสมาชิกของตระกูลโจว มากกว่า 40 คน รวมถึงผู้อาวุโสของตระกูลโจว และอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลโจว
ในหมู่พวกเขา โจวเหม่ยและหวังเสวี่ยก็อยู่ด้วย
วันนี้ หญิงสาวทั้งสองต้องการเห็นว่า หลินเป้ยจะถูกโจวหยวนสังหารอย่างไร?
“เฮ้ หลินเป่ย ข้าคิดว่าเจ้าไม่กล้ามา เจ้าได้หา 100,000 ตำลึงมาหรือยัง ถ้าเจ้ามีแล้ว เจ้าก็พร้อมตายได้เลย!” โจวหยวนเย้ยหยัน
“ตระกูลหลิวอยู่ที่นี่แล้ว!” ทันใดนั้น มีคนตะโกน
ทุกคนมองไปทางนั้นทีละคน และเห็นผู้คนมากกว่าหนึ่งโหลมาที่นี่
ผู้นำคือชายวัยกลางคนที่สง่างาม ตามด้วยหญิงสาว และข้างหลังเขาคือองครักษ์ของตระกูลหลิว
ชายวัยกลางคนนี้ เป็นน้องชายของผู้นำตระกูลหลิว ชื่อ หลิวซ่ง และเขาเป็นปรมาจารย์นักรบขั้น 8
สำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลัง ยังมีหลายคนเป็นปรมาจารย์นักรบอีกด้วย
คนเหล่านี้ล้วนเป็นสมาชิกของตระกูลหลิว
แม้ว่าจำนวนสมาชิกของตระกูลหลิวจะมีจำนวนน้อย แต่พวกเขาก็จ้างผู้ที่แข็งแกร่ง มาทำงานให้กับพวกเขา
นอกจากนี้ ตระกูลหลิวยังมีผู้ที่แข็งแกร่งมหาปรมาจารย์นักรบนั่งอยู่สูงสุดในเมือง มันป็นการดี ที่จะได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
ผู้ฝึกตนจำนวนมากจึงมารับจ้างภายใต้ตระกูลหลิว และกลายเป็นกงเฟิ่ง(กงเฟิ่ง แปลประมาณว่าผู้ที่นับถือหรือแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมในตระกูล)
สำหรับหญิงสาวคนนี้คือ หลิวเหยียน หญิงสาวที่หลินเป้ยเคยช่วยชีวิตเมื่อตอนนั้น