บทที่ 339 – ความลึกล้ำของพลังศักดิ์สิทธิ์
ผมค่อย ๆ หมุนเวียนพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายอย่างระมัดระวังมากขึ้น และในระหว่างนั้น ก็ค่อย ๆ สังเกตและรับรู้ความสามารถของพลังไปพร้อม ๆ กัน เพื่อหาวิธีใช้ประโยชน์จากพลังศักดิ์สิทธิ์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด หลังจากที่ผมทำสมาธิไปเรื่อย ๆ ความทรงจำที่เล่ยมี่เจียทิ้งเอาไว้ ก็เริ่มซึมซาบเข้ามาในสมองอีกครั้ง ทำให้ผมสามารถทำความเข้าใจกับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น อำนาจของพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นลึกซึ้งกว่าที่ผมเคยรับรู้อยู่มาก ถ้าสามารถผสานมันเข้ากับวิธีการใช้งานที่แยบยล จะทำให้อำนาจของดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นเพิ่มขึ้นได้อีกมหาศาล
ตัวของดาบศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำเอง ก็สมกับที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอด และสมกับที่เป็นอาวุธคู่กายของราชาเทพมาอย่างยาวนาน พลังที่หลับใหลอยู่ภายในตัวของดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นมหาศาล รอให้มีคนสามารถดึงมันออกมาใช้ประโยชน์อยู่ตลอดเวลา เมื่อผมสามารถทำความเข้าใจกับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้มากขึ้น ก็เริ่มที่จะรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมัน และทำให้ร่างกายที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องนั้นลอยขึ้นมาอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายอันทรงพลังเริ่มแผ่ขยายออกมาจากร่างกายอย่างเข้มข้น โชคยังดีอยู่ไม่น้อย ที่ผมยังสามารถควบคุมรัศมีพลังของตัวเองเอาไว้ ให้อยู่ในระยะแค่ 3 เมตรรอบ ๆ ตัวเท่านั้น ห้องทั้งหมดจึงไม่ได้ระเบิดพังทลายลงไป เพราะพลังที่แผ่ออกมาอย่างมหาศาลนี้
หลังจากทำสมาธิอยู่ทั้งวันเต็ม ๆ ในที่สุดผมก็สามารถทำความเข้าใจกับข้อมูลในความทรงจำของเล่ยมี่เจียได้เกือบทั้งหมดแล้ว และสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกาย และควบคุมพลังอำนาจของมันได้ตามใจชอบ และตกอยู่ในภวังค์ของความอิ่มเอม สัมผัสกับพลังอันแข็งแกร่งที่ไหลวนอยู่ในร่างกายอย่างลืมวันเวลา ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามู่จือและไหสุ่ยได้ออกจากห้องไป และย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่สามารถเข้ามาภายในห้องนี้ได้ เนื่องจากม่านพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแผ่ขยายเพื่อป้องกันตัวเองไปจนทั่วห้องหมดแล้ว
“พี่มู่จือ! พวกเราไม่สามารถเข้าไปข้างในได้แน่ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะ?” ไหสุ่ยถามออกมาอย่างวิตกเล็กน้อย
มู่จือเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดลงไปแล้ว “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ออกจากสมาธิง่าย ๆ แน่ พวกเราก็ไม่ควรจะไปรบกวน หรือปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมากลางคันเลยด้วยซ้ำ ไปหาที่พักผ่อนกันในห้องโถงใหญ่ก่อนเถอะ ที่จางกงบอกไว้ก็ถูกต้องแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยดูแลความปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียว พลังของเขานั้นแข็งแกร่งเหลือเฟือ สำหรับการป้องกันตัวเองจากอันตรายต่าง ๆ เป็นพวกเราต่างห่างที่ต้องรีบฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง ไม่งั้นช่องว่างระหว่างพวกเรากับเขา จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ไหสุ่ยหัวเราะออกมาเบา ๆ “พี่มู่จือ ทำไมจะต้องเป็นกังวลไปด้วยล่ะ? พวกเราจะต้องฝึกฝนไปทำไมกัน? ในเมื่อจางกงแข็งแกร่งมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ให้เขาคอยปกป้องดูแลพวกเราด้วยก็พอ”
มู่จือทำหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย “เธอน่าจะยังดีใจที่เห็นเขากลับมา และให้สัญญาว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไปไหนอีก ถึงได้สบายใจมากถึงขนาดนี้ แต่นึกถึงตอนที่พวกเราต้องทนรอในช่วงที่ผ่านมาสิ ฉันยังเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเลยนะ! ได้แต่หวังว่าการต่อสู้กับเผ่ามารมันจะจบลงไปได้ด้วยดี และพวกเราสามารถเป็นฝ่ายเอาชนะได้ โดยมีความสูญเสียน้อยที่สุด จะได้สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้เสียที ในตอนนี้ ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ของเผ่าปีศาจเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อจะต้านทานการโจมตีของพวกเผ่ามารได้ดีแค่ไหน โชคยังดีที่ตอนนี้ไม่มีสัตว์ปีศาจประหลาดโผล่ออกมาจากเหวลึกนั่นแล้ว พวกที่จู่โจมไปก่อนล่วงหน้า น่าจะถูกจัดการได้ไม่ยากเย็นนัก ถ้าไม่มีกำลังของพวกมันเสริมเข้าไปอีก”
ไหสุ่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย “พี่มู่จือ กลายเป็นว่าฉันทำให้พี่ต้องเป็นกังวลแท้ ๆ เลย เผ่าปีศาจน่าจะไม่เป็นอะไรหรอก แล้วพวกเรากังวลไปก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย อากาศเริ่มเย็นแล้ว พวกเราไปหาที่พักสำหรับคืนนี้กันก่อนเถอะ”
.................
จิตใต้สำนึกของผมนั้นหลอมรวมกับพลังศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาลนั้นแบบที่เรียกว่าน่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเวลานั้นผ่านไปยาวนานแค่ไหน แต่ในที่สุด ผมก็สามารถทำความเข้าใจ และใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเชี่ยวชาญและลึกซึ้งมากขึ้นแล้ว ความปิติยินดีนั้นเอ่อล้น จนต้องส่งเสียงคำรามออกมาดังลั่นไปหมด และจิตใต้สำนึกก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง ค่อย ๆ เก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เอ่อล้นออกมากลับเข้าไปในร่างกาย เปลี่ยนดวงตาสีทองของตัวเองให้กลับเข้าสู่สภาพปกติ ‘หืม?’ เมื่อสังเกตสภาพรอบตัวได้ว่าตอนนี้ฟ้าสว่างไปหมดแล้ว แตกต่างกับตอนที่ยังรู้สึกตัวในครั้งสุดท้าย ว่ายังเป็นตอนกลางคืนอยู่ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังคาห้องพักไม่มีอยู่แล้ว ผมก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รั่วไหลออกมาจากร่างกาย ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นสภาพแบบนี้ไป
“จางกง นายออกจากสมาธิได้เสียที” เสียงของมู่จือดังขึ้นมาให้ได้ยิน ในน้ำเสียงนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความไม่ยินดีเป็นอย่างมาก เมื่อผมเปิดประตูออกไปด้านนอก ก็พบเธอยืนอยู่กับไหสุ่ย
ได้มองเห็นพวกเธออีกครั้ง ผมก็มั่นใจได้แล้วว่าตัวเองนั้นกลับมาแล้วจริง ๆ ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ผมหยอกเย้าพวกเธอไปทันที “ทำไมถึงได้กะเวลาได้แม่นขนาดนี้ รู้ได้อย่างไรว่าฉันออกจากสมาธิแล้ว”
ไหสุ่ยหัวเราะออกมา “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็หลังคาเปิดออกขนาดนั้น! นายรู้มั้ย พวกฉันต้องเสียเวลามากเลยนะกว่าจะทำให้ทุกคนสงบลงได้ ตอนที่หลังคานั่นปลิวหายไป แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ของนายพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้านะ ทุกคนในป้อมปราการแห่งนี้พากันมาที่นี่เพื่อจะของพบกันนายให้ได้เลย แล้วตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์มันหายไปแล้ว พี่มู่จือกับฉันเลยคิดว่านายน่าจะออกจากสมาธิแล้ว แต่นายนี่สุดยอดไปเลยนะ นั่งฝึกฝนอยู่ได้ติดต่อกันตั้ง 5 วันแน่ะ”
ผมสะดุ้ง “อะไรนะ? 5 วันเลยหรือ?”
มู่จือรีบกล่าวออกมา “รู้ตัวก็ดีแล้ว อาการบาดเจ็บของนายเป็นอย่างไรบ้าง?” สีหน้าของเธอนั่นเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ตอนที่ถามออกมา
“ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? เผ่ามารมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”
มู่จือขมวดคิ้ว “นี่มันน่าแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว ตลอดระยะเวลา 5 วันมานี้ พวกมันไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ในเหวลึกนั่นสงบเงียบเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
ผมอึ้งไปเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าพวกมันจะสะสมกำลังรออะไรอยู่บางอย่างเป็นแน่ บางทีอาจจะกำลังรอราชามารอยู่ก็เป็นได้ บางทีศึกคราวหน้าอาจเป็นศึกครั้งสุดท้ายแล้ว พี่ใหญ่จ้านหู่กับคนอื่น ๆ ล่ะ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“อาการบาดเจ็บน่าจะหายดีกันหมดแล้ว แต่พลังยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด”
ผมพยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย ต้องพยายามทำให้พวกเขาผสานเข้ากับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ทันเวลาแล้ว!”
แต่ก่อนที่พวกผมจะได้เดินออกไป พวกเขากลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาแทนแล้ว ดูเหมือนว่าอาการของพวกเขาจะดีว่าที่มู่จือบอกเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว
จ้านหู่หัวเราะมาแต่ไกล “จางกง เจ้านี่ทำตัวแย่จริง ๆ ต่อจะต้องฝึกฝนยังไง ก็ไม่ควรจะปล่อยให้สาว ๆ ออกมานอนตากลมอยู่ข้างนอกนี่เลยนะ”
ผมอึ้งไปอีกครั้ง หันไปมองมู่จือกับไหสุ่ย แต่มู่จือกลอกตาใส่ผม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องออกมา “ไม่ต้องพูดอะไรที่ไม่จำเป็นหรอก นายต้องส่งมอบจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเขาไม่ใช่หรือ?”
ผมได้ยินดังนั้น ก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขา แล้วสอบถามอาการทันที
“ตอนนี้ร่างกายของพวกพี่เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว?”
จ้านหู่แกว่งหมัดของตัวเองไปมา “ไม่เป็นไรกันแล้ว หลังจากได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์มาไว้ในครอบครอง พลังการฟื้นตัวของพวกเรานั่นน่าอัศจรรย์มากอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ”