ตอนที่ 410 สายเลือดสกายวิง
ตอนที่ 410 สายเลือดสกายวิง
เซี่ยเฟยมองว่าขนอุยเป็นสัตว์ที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ เพราะมันชอบแอบขโมยอาหารในระหว่างที่เจ้านายกำลังเผลอ แต่น่าเสียดายที่ขนอุยไม่รู้วิธีกำจัดหลักฐาน มันจึงถูกชายหนุ่มจับได้ในทุก ๆ ครั้งที่มันแอบกินอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมันก็จะใช้ดวงตาคู่เล็กที่น่าสงสารคอยจ้องมาด้วยแววตาที่น่าเห็นใจ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเจ้าตัวน้อยตัวนี้ได้จริง ๆ
แต่ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะยอมปล่อยขนอุยไปแต่มันก็ยังคงแอบขโมยกินอาหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งที่มันถูกจับได้มันก็จะกลับมาใช้แววตาที่น่าสงสารเพื่อเอาตัวรอดอีกครั้งวนซ้ำไปเรื่อย ๆ
เมื่อเทียบกับกระป๋องหุ่นยนต์ตัวน้อยที่ใจดีและไร้เดียงสาแล้ว ขนอุยย่อมเป็นสัตว์อสูรที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ในวันนี้เมื่อเซี่ยเฟยถูกหยูเจียงคุกคามในที่สุดขนอุยก็ได้แสดงท่าทีในด้านที่ดุร้ายของมันออกมา
ขนสีขาวเงินทั่วทั้งร่างของมันตั้งตรงเหมือนเข็มแหลม ซึ่งถ้าหากมองดูจากระยะไกลขนอุยก็จะดูคล้ายกับหอยเม่นตัวสีขาวไปแล้ว
ดวงตาคู่น้อยที่เคยใช้ออดอ้อนเซี่ยเฟยกลายเป็นสีแดงพร้อมกับเปลวไฟแห่งความโกรธที่พร้อมจะปะทุออกมาตลอดเวลา
อิ้วว!!!!
ขนอุยส่งเสียงร้องคำรามคล้ายสัตว์อสูรร่างยักษ์จนทำให้ยานทั้งลำสั่นสะเทือน เนื่องมาจากเสียงคำรามของเจ้าตัวน้อยตัวนี้
ไม่ว่าใครก็คงยากที่จะจินตนาการได้ว่าเสียงร้องคำรามอันน่าเกรงขามนี้ มันจะดังออกมาจากปากของขนอุยจริง ๆ
เหตุการณ์ในปัจจุบันทำให้หยูเจียงขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ต้องการจะเป็นศัตรูกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ และถึงแม้ว่าขนอุยจะยังเด็กแต่มันก็เริ่มมีนิสัยดุร้ายตามเผ่าพันธุ์ของมันแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าเขาเป็นศัตรูกับเจ้าตัวน้อยตัวนี้ขึ้นมา สักวันหนึ่งมันก็คงจะตามล่าเพื่อล้างแค้นเขาในอนาคตอย่างแน่นอน
มารขาวเป็นสัตว์อสูรที่ทั้งดุร้ายและดื้อรั้นที่สุดในจักรวาล ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงทุกคนจะพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเป็นศัตรูกับสัตว์อสูรชนิดนี้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่สงครามได้เริ่มต้นขึ้น สงครามก็จะไม่มีวันหยุดพักจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกลบหายไปจากจักรวาลแห่งนี้
อย่างไรก็ตามขนอุยก็ได้ทำพันธสัญญากับเซี่ยเฟย มันจึงทำให้ทั้งสองสามารถสื่อสารผ่านกระแสจิตซึ่งกันและกันได้ โดยในปัจจุบันเซี่ยเฟยกำลังออกคำสั่งให้ขนอุยเงียบเสียงลง เพราะเขายังไม่อยากจะขัดแย้งกับหยูเจียง เว้นแต่ว่ามันจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่สามารถหาทางออกทางอื่นได้แล้วจริง ๆ
ปกติขนอุยจะเชื่อฟังคำสั่งของเซี่ยเฟยตลอดเวลา แต่ในวันนี้สถานการณ์แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างชัดเจน เพราะเจ้าก้อนพยายามต่อต้านคำสั่งอย่างรุนแรงจนถึงจุดที่ชายหนุ่มแทบที่จะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเจ้าตัวน้อยตัวนี้ได้
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดว่าขนอุยจะแสดงด้านที่ดุร้ายออกมาในระหว่างที่เขากำลังตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ แต่ด้วยพฤติกรรมที่มันแสดงออกมาในวันนี้นี่เอง เซี่ยเฟยจึงแอบคิดภายในใจว่าขนอุยคือสัตว์อสูรที่คู่ควรที่สุดที่จะได้มาเป็นคู่หูที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา
หลังจากพยายามควบคุมความโกรธของขนอุย ชายหนุ่มก็หันศีรษะไปจ้องมองหยูเจียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แม้ว่าชายชราคนนี้จะได้ครอบครองพลังที่น่าหวาดกลัว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มจะต้องเกรงกลัวเขา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความเย่อหยิ่งภายในใจของเซี่ยเฟย แต่มันเป็นภูมิต้านทานโดยกำเนิดที่มีติดตัวชายหนุ่มมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นยิ่งหยูเจียงพยายามกดดันเซี่ยเฟยมากเท่าไหร่ชายหนุ่มก็จะยิ่งต่อต้านแรงกดดันกลับไปมากเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้หยูเจียงรู้สึกสนใจมากแล้วเขาก็อยากรู้ว่าเซี่ยเฟยสามารถทนต่อแรงกดดันของตัวเขาได้จริง ๆ เหรอ แต่ในทันใดนั้นแววตาแห่งความเจ้าเล่ห์ก็ปรากฎขึ้นในดวงตาอันขุ่นมัวของเขาราวกับว่าจู่ ๆ เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างอย่างกะทันหัน
ต่อมาชายชราก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนที่วิวทิวทัศน์จะเปลี่ยนจากหลุมดำกลับมาเป็นห้องในเบโอเนทอีกครั้งหนึ่ง
กระป๋องและขนอุยที่อยู่ใกล้ ๆ รีบกระโดดเข้าไปหาเซี่ยเฟยทันทีที่ร่างกายของพวกมันเป็นอิสระ ซึ่งชายหนุ่มก็ได้พบว่ากระป๋องกำลังรู้สึกโกรธมากเช่นเดียวกัน และมันก็กำลังเอาร่างของมันมาขวางเขาเอาไว้ ราวกับว่ามันพร้อมจะสละชีวิตเพื่อเขาได้ทุกเมื่อ
ในเวลาเดียวกันหยูฮัวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เนื่องมาจากว่าความโกรธของขนอุยส่งผลกระทบต่อเขาอย่างรุนแรง และเพียงแค่เสียงร้องคำรามที่มันได้เปล่งออกมา มันก็มากพอที่จะทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เสียงหัวเราะของหยูเจียงทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เซี่ยเฟยกับขนอุยก็ยังไม่ผ่อนคลายความระมัดระวังของพวกเขาลง
“ฉันจะให้เวลานาย 3 ปีในการจัดการเรื่องของตัวเอง แล้วหลังจากนั้นนายจะต้องเดินทางไปที่ตระกูลพร้อมกับฉัน แบบนี้โอเคไหม?” หยูเจียงถามด้วยรอยยิ้ม
ข้อเสนอนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึง เพราะท้ายที่สุดเขาย่อมต้องการฝึกฝนกฎแห่งจักรวาลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้เห็นชายชราได้แสดงพลังของกฎแห่งมิติออกมาในก่อนหน้านี้ มันจึงทำให้เขายิ่งอยากจะศึกษาพลังของกฎแห่งจักรวาลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เมื่อกี้นี้ฉันลองทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองต่อแรงกดดันของนายดู แล้วฉันก็คิดว่านายสามารถผ่านบททดสอบไปได้เป็นอย่างดี เอาล่ะตอนนี้ฉันขอเชิญนายเข้าร่วมกับตระกูลหยูอย่างจริงใจ” หยูเจียงกล่าวอย่างจริงจัง
มันคงจะมีเพียงแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธโอกาสที่ดีแบบนี้ แม้ว่าเขาจะยังคงรู้สึกสงสัยในเจตนาของชายชราอยู่ก็ตาม
“ได้ครับ ผมตกลง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับผงกศีรษะ
“แล้วไม่ถามเหรอว่าฉันจะพานายไปไหน?”
“ไม่จำเป็นครับ ตราบใดก็ตามที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้กฎแห่งจักรวาล ไม่ว่ามันจะเป็นที่ไหนมันก็จะต้องเป็นสถานที่ที่ดีอย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ
ชายชราสะบัดนิ้วเบา ๆ จนก่อให้เกิดลูกบอลโปร่งแสงในอากาศ ซึ่งลูกบอลนี้มีขนาดเท่าลูกปิงปอง และถ้าหากมองจากภายนอกพวกเขาก็สามารถมองเห็นเส้นพลังงานที่กำลังไหลเวียนช้า ๆ อยู่ด้านใน
“อีก 3 ปีหลังจากนี้ฉันจะส่งคนไปรับนาย ส่วนนี่ถือว่าเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นายจะสามารถอ่านมันได้หลังจากที่ฉันกลับไปแล้ว” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
หยูเจียงกับหยูฮัวเปิดประตูวาร์ปกลับมายังท่าน้ำแห่งเดิม ซึ่งในตอนนี้หยูฮัวกำลังรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อย เพราะเขาเป็นคนแนะนำเซี่ยเฟยด้วยตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับตอบปฏิเสธคำเชิญของชายชราอย่างหนักแน่นจนทำให้เขาไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับหยูเจียงอย่างไรดี
อย่างไรก็ตามหลังจากกลับมาชายชรากลับไม่แสดงความไม่พอใจออกมาเลยแม้แต่น้อย และเขายังส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขอีกด้วย
“ท่านผู้นำผมขอโทษสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย ผมไม่คิดจริง ๆ ว่าเซี่ยเฟยจะกล้าปฏิเสธคำเชิญอย่างดื้อรั้นมากขนาดนี้” หยูฮัวกล่าวด้วยความเคารพ
หยูเจียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่เขาจะหยิบคันเบ็ดโยนเบ็ดลงไปในแม่น้ำ
“ฉันไม่โทษนายหรอก ใครจะไปคิดว่าเขาคนนั้นจะมีสายเลือดสกายวิงอยู่ในร่าง ในระหว่างที่ฉันกำลังจะใช้กำลังบังคับเขา ในระหว่างนั้นแรงกดดันของฉันกลับถูกเขาผลักดันกลับออกมา”
“อะไรนะ?! เซี่ยเฟยคือลูกหลานของตระกูลสกายวิงงั้นเหรอ!? เป็นไปไม่ได้! มันไม่มีทางที่ลูกหลานของตระกูลสกายวิงจะไปอยู่ในพันธมิตรมนุษย์ ท้ายที่สุดตระกูลสกายวิงก็เป็นหนึ่งในตระกูลผู้นำที่คอยขับเคลื่อนอาณาจักรกฎของพวกเราเลยนะครับ” หยูฮัวเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ตระกูลสกายวิงเป็นตระกูลที่มีสายเลือดความเร็วโดยกำเนิด และถ้าหากว่าพวกเขาสามารถฝึกฝนความเร็วได้จนถึงขีดจำกัด มันก็จะเหมือนมีปีกงอกออกมาจากหลังของพวกเขา ซึ่งมันก็จะทำให้พวกเขาสามารถบินไปทั่วทั้งจักรวาลได้อย่างอิสระ และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันก็คงจะไม่มีใครกล้าเถียงว่าพวกเขาคือตระกูลผู้ใช้ความเร็วอันดับ 1”
“ส่วนเหตุผลที่เขามีนิสัยดื้อรั้นแบบนั้นมันก็เพราะว่านิสัยดื้อรั้นเป็นนิสัยประจำตระกูลสกายวิงอยู่แล้ว” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แต่สายเลือดสกายวิงเป็นสายเลือดที่มีเอกลักษณ์มากเลยนะครับ ทำไมผมถึงสัมผัสถึงสายเลือดของเขาไม่ได้?” หยูฮัวถามออกมาด้วยความสับสน
“สายเลือดสกายวิงในร่างของเซี่ยเฟยกลายพันธุ์จนทำให้พลังถูกกดเอาไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งในระหว่างที่ฉันพยายามกดดันเขาสายเลือดของเขาก็เริ่มส่งแรงต้านออกมาอย่างรุนแรง มันจึงทำให้ฉันพอจะตรวจจับพลังของสายเลือดสกายวิงได้เล็กน้อย” หยูเจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับ
“ผมขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่ตระกูลจะได้รับสมาชิกรุ่นใหม่ที่ทรงพลัง ว่าแต่ทำไมคนของตระกูลสกายวิงถึงได้ทิ้งทายาทเอาไว้ในพันธมิตรแบบนั้น ผมควรจะตามไปสืบเรื่องนี้ดูดีไหมครับ?” หยูฮัวกล่าว
“ไม่จำเป็น พวกตระกูลสกายวิงเป็นพวกคนบ้าที่ไม่ทำอะไรตามสามัญสำนึกของชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรมันก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดของพวกเขาเลย แต่ถ้าหากว่าเรื่องของเซี่ยเฟยเกี่ยวพันกับความลับของคนในตระกูลนั้น เราก็ไม่สมควรรู้เรื่องนั้นมากขึ้นกว่าเดิม”
“สาเหตุที่ตระกูลหยูสามารถยืนหยัดในดินแดนกฎมาได้จนถึงในปัจจุบัน นั่นก็เพราะว่าเราพยายามไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และจำเอาไว้ว่าการรู้เห็นอะไรมากเกินไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเราเสมอไป” หยูเจียงกล่าว
“ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนครับ ว่าแต่ทำไมท่านผู้นำถึงให้เวลาเขาตั้ง 3 ปี ในความเป็นจริงการให้เวลาเขาสักปีหนึ่งก็น่าจะพอแล้ว ถ้าในช่วง 3 ปีนี้คนจากตระกูลสกายวิงมาพบกับเซี่ยเฟยเข้า มันจะกลายเป็นว่าเราคงจะต้องเสียเขาไปให้กับตระกูลของเขาเอง” หยูฮัวกล่าว
“ความฉลาดตามปกติของนายหายไปไหนหมดแล้ว? นายยังไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของปัญหานี้ด้วยซ้ำ”
“การกลายพันธุ์ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป เพราะด้วยการกลายพันธุ์ของสายเลือดนี่เองมันจึงทำให้พลังของสายเลือดเซี่ยเฟยแทบที่จะไม่หลงเหลืออยู่เลย ดังนั้นถ้าหากว่าเขาไม่ได้ระบายความโกรธออกมา มันก็แทบที่จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นร่องรอยของสายเลือดสกายวิงได้ และเราก็หลงเหลือความเสี่ยงเพียงแค่เล็กน้อยที่เราจะเสียเขาให้กับตระกูลอื่น”
“ส่วนวันนี้นายก็ได้เห็นพลังของมารขาวแล้วใช่ไหม? นี่ขนาดว่ามันยังเด็กมันยังสามารถแสดงพลังออกมาได้มากขนาดนี้ หากว่ามันโตขึ้นมันก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับตระกูลของเราได้” หยูเจียงกล่าวอย่างมีความสุข
“พลังของมารขาวตัวน้อยนั่นน่ากลัวจริง ๆ พูดตามตรงตอนนั้นผมรู้สึกกลัวจนเหงื่อแตกไปทั่วทั้งร่างเลยครับ” หยูฮัวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขาได้นึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น
“ในอนาคตมารขาวตัวนี้คงจะสามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้นการรอให้เขาเดินทางมากับเราอย่างเต็มใจจึงถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง นอกจากนี้ถึงแม้ว่าตระกูลสกายวิงจะได้พบกับเซี่ยเฟยในช่วงเวลา 3 ปี อย่างแย่ที่สุดเราก็แค่ส่งตัวเซี่ยเฟยกลับตระกูลไป แต่อย่าลืมว่าเราก็จะได้ความโปรดปรานจากตระกูลสกายวิงกลับมาด้วยเช่นเดียวกัน” หยูเจียงกล่าวด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยได้รับความเสียหายอย่างหนัก และชั่วชีวิตนี้เขาก็คงจะไม่สามารถขึ้นมายืนในอาณาจักรกฎด้วยพลังของตัวเองได้ ถ้าหากว่าเขาได้เข้ามาในอาณาจักรกฎจริง ๆ ในวันนั้นเขาจะต้องรู้สึกขอบคุณท่านผู้นำที่ให้โอกาสเขาอย่างแน่นอน” หยูฮัวกล่าวด้วยน้ำเสียงประจบประแจง
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นทุ่นลอยบนสายเบ็ดก็จมลงไปในน้ำ หยูเจียงจึงรีบดึงคันเบ็ดในมืออย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างของปลาสีทองตัวใหญ่จะถูกกระชากขึ้นมาจากน้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ คืนนี้ฉันได้กินซุปปลาสด ๆ แล้ว คืนนี้นายอยู่กินอาหารกับฉันก็แล้วกัน”
หยูฮัวพยักหน้ารับ แต่ในทันใดนั้นเขาก็นึกถึงลูกบอลพลังงานที่หยูเจียงได้ทิ้งเอาไว้ให้กับเซี่ยเฟย
“ท่านผู้นำของขวัญที่คุณทิ้งเอาไว้ให้กับเซี่ยเฟยคืออะไรงั้นเหรอครับ?”
“สิ่งที่ฉันให้เขาไปมันก็คือสิ่งที่เขากลัวที่สุดนั่นแหละ” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
***************
เปิดฉากพื้นหลังครอบครัวพี่เฟยแล้วหรอเนี่ย! ดูจากนิสัยแล้วตระกูลสกายวิงคงจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนแน่ๆ ว่างั้นไหม?